มีจุดอ่อน 5 จุด
1.แนวรับที่อ่อนยวบ
เป็นปัญหามาตั้งแต่ ศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล โดยพวกเขาเสียประตูมากถึง 6 ประตู จาการลงเล่นเพียงแค่ 3 เกมในรอบแรก ซึ่งคู่ปราการหลังตัวจริงอย่าง มายะ โยชิดะ และ มาซาโตะ โมริชิเงะ ยังคงแสดงให้เห็นว่าเป็นจุดอ่อนของทีม การเคลื่อนตัวที่ช้าบวกกับการอ่านทางบอลที่ยังไม่ดีพอ แถมฟอร์มส่วนตัวก็ยังไม่แน่นอนอีก ส่งผลให้แนวรับของทีมยังมีปัญหาอยู่เรื่อยมา แต่อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองรายที่กล่าวมาคือ สองเซนเตอร์ที่ดีที่สุดที่ญี่ปุ่นมีในตอนนี้ เพราะยังหาตัวแทนขึ้นมาแทนไม่ได้ ยิ่งในรายของสายเลือดใหม่อย่าง วาตารุ เอนโดะ และ เกน โชจิ ก็ดูจะยังขาดประสบการณ์
2.ผู้รักษาประตูไว้ใจไม่ได้
เป็นผลพวงมาจากการที่มีกองหลังที่เล่นได้ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่หมดยุคของ โยชิคัตสึ คาวางุจิ และ เซโงะ นาราซากิ สองผู้รักษาประตูระดับตำนาน ญี่ปุ่นก็แทบจะหานายด่านดีๆที่ไว้ใจได้ไม่เจอเลย ในรายของ ชูซากุ นิชิคาวะ และ เออิจิ คาวาชิมะ สองผู้รักษาประตูที่ได้รับโอกาสมากกว่าใคร ต่างก็ยังมีชอตพลาดให้เห็นอยู่บ่อยๆ ส่วนในรายของ มาซาอากิ ฮิงาชิงุจิ นายทวารจาก กัมบะ โอซาก้า ดูจะเสียเครดิตไปเยอะ นับตั้งแต่โดน “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ปั่นลูกเตะมุมเข้าประตูไป ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงผมมองไปที่การที่ วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช นายใหญ่ของทีมไม่ยอมตัดสินใจว่าจะให้ใครเป็นมือหนึ่งของทีมนั่นเอง ทำให้มีการสลับใช้ประตูที่วนไปเรื่อยๆและทำให้พวกเขาไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นได้สม่ำเสมอ
3.ครองบอลได้แต่หาวิธีเจาะไม่ได้
นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ “ทัพซามูไรบลู” เจอมาตลอดในระยะหลัง นั่นคือการเจอกับทีมที่มาเน้นตั้งรับแน่น พวกเขาจะหาทางเจาะเข้าไปไม่ได้ อย่างในเกมที่ทำได้แค่เสมอกับ ยูเออี 1-1 ก่อนต้องไปแพ้ในช่วงการดวลจุดโทษ ตกรอบศึกเอเชียนคัพ หรืออย่างในเกมที่เปิดบ้านทำได้แค่เสมอกับ สิงคโปร์ 0-0 ทั้งที่เป็นฝ่ายพับสนามบุกอยู่ตลอดทั้งเกม และกับเกมล่าสุดที่แพ้ บอสเนียฯ 1-2 ก็เช่นกัน พวกเขาครองเกมเข้ากดดันได้เกือบตลอด แต่ไร้จินตนาการในการส่งบอลเข้าไปกองในก้นตาข่าย ซึ่งหากเจอกับบอลสไตล์อุดเมื่อไหร่ พวกเขาจะมีปัญหาเสมอ
4.ขาดตัวจบสกอร์ที่เด็ดขาด
นี่คือปัญหาที่หลายชาติในเอเชียกำลังเผชิญ อันเป็นผลมาจากการที่สโมสรในแต่ละลีก หันไปใช้บรรดากองหน้านำเข้าจากต่างประเทศแทนผู้เล่นตัวเอง แม้ เจลีก จะเป็นลีกที่ได้ชื่อว่าเป็นชาตินิยมคือไม่เน้นตัวนอกมากนัก แต่ในรายของกองหน้าของแต่ละสโมสรล้วนแต่เป็นแข้งสูงวัยและไม่ได้รับการเหลียวแลจากทีมชาติ ส่งผลให้ “ทัพซามูไรบลู” ฝากความหวังในการทำประตูไว้กับ ชินจิ โอคาซากิ กองหน้าแท้ๆจากเลสเตอร์ ซิตี้ เพียงคนเดียว ซึ่งหากวันไหน ดาวยิงจากจิ้งจอกสยาม ประสบปัญหาฟอร์มฝืดก็เป็นอันจบกัน
5.การขาดสตาร์ที่ค้าแข้งในยุโรป
กับเกมนัดชิงชนะเลิศ การไร้ชื่อของ เคสุเกะ ฮอนดะ และ ชินจิ คางาวะ ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ดูจะส่งผลต่อระบบการเดินเกมรุกในทีมมากพอสมควร จริงอยู่ฟุตบอลสมัยใหม่ต้องยึดระบบทีมเป็นศูนย์กลาง แต่กับบางสถานการณ์นักเตะเพียงคนเดียวสามมารถเปลี่ยนมันให้เป็นประตูได้ อย่างเช่นชื่อของสองรายที่ผ่านมา ที่มักจะได้ขึ้นไปอยู่บนสกอร์บอร์ดบ่อยกว่าใครเพื่อน ดังนั้นการขาดสองสตาร์ของทีมไปจึงส่งผลกับทีมไม่น้อย จะว่าไปแล้วอย่างในกรณีของฟุตบอลอีสต์เอเชียน คัพ ครั้งที่ผ่านมา ที่พวกเขาส่งบรรดาแข้งในประเทศลงเล่นแบบฟูลทีม ผลปรากฏว่าลงเล่นไป 3 เกม ทำได้เพียงแค่เสมอ 2 นัด และแพ้ไปอีก 1 นัด เก็บชัยไม่ได้เลย
ทั้งหมดที่ร่ายยาวมาคือปัญหาที่ “ทัพซามูไรบลู” กำลังเจอในตอนนี้ แต่เชื่อเหลือเกินว่าทีมอย่างพวกเขาคงจะเห็นถึงปัญหาเช่นเดียวกัน และ วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช เทรนเนอร์ชาวบอสเนียฯของทีม คงไม่ปล่อยให้ปัญหามันคาราคาซังอยู่แบบนี้ เพราะนั่นหมายถึงความมั่นคงในเก้าอี้ตำแหน่งของตัวเองด้วยเช่นกัน
เจอกันวันที่ 6 กันยายน 2559
จุดอ่อนของทีมชาติญี่ปุ่นไทยจะสู้ได้ไหม
1.แนวรับที่อ่อนยวบ
เป็นปัญหามาตั้งแต่ ศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล โดยพวกเขาเสียประตูมากถึง 6 ประตู จาการลงเล่นเพียงแค่ 3 เกมในรอบแรก ซึ่งคู่ปราการหลังตัวจริงอย่าง มายะ โยชิดะ และ มาซาโตะ โมริชิเงะ ยังคงแสดงให้เห็นว่าเป็นจุดอ่อนของทีม การเคลื่อนตัวที่ช้าบวกกับการอ่านทางบอลที่ยังไม่ดีพอ แถมฟอร์มส่วนตัวก็ยังไม่แน่นอนอีก ส่งผลให้แนวรับของทีมยังมีปัญหาอยู่เรื่อยมา แต่อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองรายที่กล่าวมาคือ สองเซนเตอร์ที่ดีที่สุดที่ญี่ปุ่นมีในตอนนี้ เพราะยังหาตัวแทนขึ้นมาแทนไม่ได้ ยิ่งในรายของสายเลือดใหม่อย่าง วาตารุ เอนโดะ และ เกน โชจิ ก็ดูจะยังขาดประสบการณ์
2.ผู้รักษาประตูไว้ใจไม่ได้
เป็นผลพวงมาจากการที่มีกองหลังที่เล่นได้ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่หมดยุคของ โยชิคัตสึ คาวางุจิ และ เซโงะ นาราซากิ สองผู้รักษาประตูระดับตำนาน ญี่ปุ่นก็แทบจะหานายด่านดีๆที่ไว้ใจได้ไม่เจอเลย ในรายของ ชูซากุ นิชิคาวะ และ เออิจิ คาวาชิมะ สองผู้รักษาประตูที่ได้รับโอกาสมากกว่าใคร ต่างก็ยังมีชอตพลาดให้เห็นอยู่บ่อยๆ ส่วนในรายของ มาซาอากิ ฮิงาชิงุจิ นายทวารจาก กัมบะ โอซาก้า ดูจะเสียเครดิตไปเยอะ นับตั้งแต่โดน “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ปั่นลูกเตะมุมเข้าประตูไป ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงผมมองไปที่การที่ วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช นายใหญ่ของทีมไม่ยอมตัดสินใจว่าจะให้ใครเป็นมือหนึ่งของทีมนั่นเอง ทำให้มีการสลับใช้ประตูที่วนไปเรื่อยๆและทำให้พวกเขาไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นได้สม่ำเสมอ
3.ครองบอลได้แต่หาวิธีเจาะไม่ได้
นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ “ทัพซามูไรบลู” เจอมาตลอดในระยะหลัง นั่นคือการเจอกับทีมที่มาเน้นตั้งรับแน่น พวกเขาจะหาทางเจาะเข้าไปไม่ได้ อย่างในเกมที่ทำได้แค่เสมอกับ ยูเออี 1-1 ก่อนต้องไปแพ้ในช่วงการดวลจุดโทษ ตกรอบศึกเอเชียนคัพ หรืออย่างในเกมที่เปิดบ้านทำได้แค่เสมอกับ สิงคโปร์ 0-0 ทั้งที่เป็นฝ่ายพับสนามบุกอยู่ตลอดทั้งเกม และกับเกมล่าสุดที่แพ้ บอสเนียฯ 1-2 ก็เช่นกัน พวกเขาครองเกมเข้ากดดันได้เกือบตลอด แต่ไร้จินตนาการในการส่งบอลเข้าไปกองในก้นตาข่าย ซึ่งหากเจอกับบอลสไตล์อุดเมื่อไหร่ พวกเขาจะมีปัญหาเสมอ
4.ขาดตัวจบสกอร์ที่เด็ดขาด
นี่คือปัญหาที่หลายชาติในเอเชียกำลังเผชิญ อันเป็นผลมาจากการที่สโมสรในแต่ละลีก หันไปใช้บรรดากองหน้านำเข้าจากต่างประเทศแทนผู้เล่นตัวเอง แม้ เจลีก จะเป็นลีกที่ได้ชื่อว่าเป็นชาตินิยมคือไม่เน้นตัวนอกมากนัก แต่ในรายของกองหน้าของแต่ละสโมสรล้วนแต่เป็นแข้งสูงวัยและไม่ได้รับการเหลียวแลจากทีมชาติ ส่งผลให้ “ทัพซามูไรบลู” ฝากความหวังในการทำประตูไว้กับ ชินจิ โอคาซากิ กองหน้าแท้ๆจากเลสเตอร์ ซิตี้ เพียงคนเดียว ซึ่งหากวันไหน ดาวยิงจากจิ้งจอกสยาม ประสบปัญหาฟอร์มฝืดก็เป็นอันจบกัน
5.การขาดสตาร์ที่ค้าแข้งในยุโรป
กับเกมนัดชิงชนะเลิศ การไร้ชื่อของ เคสุเกะ ฮอนดะ และ ชินจิ คางาวะ ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ดูจะส่งผลต่อระบบการเดินเกมรุกในทีมมากพอสมควร จริงอยู่ฟุตบอลสมัยใหม่ต้องยึดระบบทีมเป็นศูนย์กลาง แต่กับบางสถานการณ์นักเตะเพียงคนเดียวสามมารถเปลี่ยนมันให้เป็นประตูได้ อย่างเช่นชื่อของสองรายที่ผ่านมา ที่มักจะได้ขึ้นไปอยู่บนสกอร์บอร์ดบ่อยกว่าใครเพื่อน ดังนั้นการขาดสองสตาร์ของทีมไปจึงส่งผลกับทีมไม่น้อย จะว่าไปแล้วอย่างในกรณีของฟุตบอลอีสต์เอเชียน คัพ ครั้งที่ผ่านมา ที่พวกเขาส่งบรรดาแข้งในประเทศลงเล่นแบบฟูลทีม ผลปรากฏว่าลงเล่นไป 3 เกม ทำได้เพียงแค่เสมอ 2 นัด และแพ้ไปอีก 1 นัด เก็บชัยไม่ได้เลย
ทั้งหมดที่ร่ายยาวมาคือปัญหาที่ “ทัพซามูไรบลู” กำลังเจอในตอนนี้ แต่เชื่อเหลือเกินว่าทีมอย่างพวกเขาคงจะเห็นถึงปัญหาเช่นเดียวกัน และ วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช เทรนเนอร์ชาวบอสเนียฯของทีม คงไม่ปล่อยให้ปัญหามันคาราคาซังอยู่แบบนี้ เพราะนั่นหมายถึงความมั่นคงในเก้าอี้ตำแหน่งของตัวเองด้วยเช่นกัน
เจอกันวันที่ 6 กันยายน 2559