นอกเหนือจากคุณอภิสิทธิ์แล้ว   ดูเหมือนว่าเส้นทางเดินการเมืองของสุเทพเมื่อเปรียบเทียบกับสส. อื่นๆ ในประชาธิปัตย์แล้ว  เส้นทางของสุเทพนั้นสวยหรูทีเดียว    สวยหรูแม้กระทั่งยามที่ต้องเดินเผชิญกับมรสุมกรณีที่ดิน สปก. 4-01   เขาได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีจากนายหัวชวน    ถ้าเป็น สส. คนอื่นที่อื้อฉาวหรือทำให้พรรคเสียชื่อเสียงขนาดนี้   สส. คนนั้นจะกลายเป็นนิ้วร้ายที่ต้องถูกตัดทิ้งไปตามสไตส์ของประชาธิปัตย์  อดีต สส. ประชาธิปัตย์ อย่าง สมัคร สุนทรเวช  อุทัย  พิมพ์ใจชน  เฉลิม  อยู่บำรุง  วีระกานต์ มุกสิกพงษ์  อลงกรณ์  พลบุตร  หรือแม้แต่ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตอย่างคุณชายหมู  คงรับรู้รสชาติสไตส์การตัดนิ้วร้ายทิ้งของประชาธิปัตย์ได้ดี



ที่ดินสปก. 4-01 ทั้งอื้อฉาวทั้งโจ่งครึมขนาดนี้   ถึงขนาดพรรคประชาธิปัตย์ต้องรีบยุบสภาหนีการอภิปรายขนาดนี้   คนที่ก่อเรื่องอื้อฉาวได้อย่างนี้ถ้าไม่จมธรณีไปก็คงจะหลบหนีหายหน้าไปจากสังคมไปเลย     แต่คนอย่างสุเทพ เทือกสุบรรณที่มีแบลคกราวน์หนุนหลังยังยืนหยัดอยู่ได้โดยอาศัยความด้านส่วนตัวและความด้านของหัวหน้าพรรคค้ำยันให้    แถมยังเหยียบหัวรุ่นพี่ที่เป็น “เซเลป” ดาวรุ่งในพรรคประชาธิปัตย์หลายคน  อย่างสัมพันธ์  ทองสมัคร  บัญญัติ  บรรทัดฐาน   ไตรรงค์  สุวรรณคีรี  หรือแม้แต่ "สุภาพบุรุษนักการเมือง” อย่างปราโมทย์ สุขุม  ทะลุทะลวงพุ่งพรวดขึ้นมาสส. แนวหน้าของประชาธิปัตย์  และอันดับต่อไปก็แค่รอพลตรีสนั่น  ขจรประสาทพลาดแค่นั้นเอง


พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความเหนียมอายต่อสังคมเลยแม้แต่น้อยนิดที่แต่งตั้งคนมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างสุเทพขึ้นเป็นเลขาธิการโดยที่ยังมีชนัก สปก. 4-01 ปักหลัง/คาใจประชาชนทั้งประเทศอยู่    การพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้ถูกนำมาเป็นบทเรียนเพื่อสอดส่องดู “ภายใน” พรรคตัวเอง   แต่กลับโยนอุนจิไปให้สังคมกลุ่มหนึ่งว่าที่พ่ายแพ้เพราะคนกลุ่มนั้นขายเสียงต่างหาก!!   และการเล่นการเมืองนอกกติกาจากพรรคนี้ก็เริ่มขึ้น   ใช่...มันเริ่มจากการที่ผิดหลังที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งมาเกือบยี่สิบปีของพรรคประชาธิปัตย์


เกมส์นอกรัฐสภาจึงถูกกำหนดขึ้น   คนที่จะเป็นหัวหอกในการเล่นเกมส์นอกสภานี้ต้องมีความ “ด้าน” ในระดับที่สูงมากเพราะมันจะเป็นวิธีการที่ตรงข้ามกับสโลแกน “เราเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา” ที่ประกาศไปแล้ว     คุณสมบัติตรงนี้ย่อมไม่มีใครเกินคนที่ชื่อสุเทพ  เทือกสุบรรณไปได้เลย   อย่าว่าแต่หน้า “ด้าน” ทางการเมือง   ความ”ด้าน”ด้านอื่นก็สูงไม่แพ้กัน(ขออนุญาตเซ็นเขอร์  เพราะมันเป็นเรื่องครอบครัว)   สุเทพ และพรรคพวกขันอาสาออกมาเล่นเกมส์นอกสภา   โดยมีน้องชายนายเชน  เทือกสุบรรณป่วนเกมส์ในสภาทำลายทรัพย์สินราชการ(ทุ่มเก้าอี้ๆ.... ยังจำกันได้ไหม?)



การออกมาเล่นนอกสภาของนายสุเทพนั้นถือว่า “เข้าทาง” ของผู้มีอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งพอดี  เขาจึงได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยม  ชนิดที่ไม่เคยมีกลุ่มประท้วงกลุ่มใหนในประเทศไทยที่จะได้รับการบริการต่างๆ ได้ดีเยี่ยมเท่านี้มาก่อน(ชี้ให้เห็นว่าคนให้ท้ายนายสุเทพนั้นใหญ่ทีเดียว)    นายสุเทพจึงกลายเป็น proxy ให้กับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอำนาจลึกลับ   และตรงจุดนี้เองส่งให้นายสุเทพกลายเป็น “หนังหน้าไฟ” ระดับบรรดาศักดิ์    ความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขาทำให้เขาไม่หยุดแค่เวทีราชดำเนินประท้วงพรบ.สุดซอย   เขาประกาศก้องบนเวทีว่าขอเสนอตัวเป็น “องค์รัฐาธิปัตย์” เอง  นั่นแหละ.....เขากำลังเหลิงและก้าวล้ำเส้นพรรคประชาธิปัตย์ที่ขีดเส้นตกลงกันเอาไว้(เมื่อเกิดขัดใจกันตรงนี้  เขาจึงประกาศลาออกจากสมาชิกภาพอย่างไม่แยแส  เพื่อหนทางที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง)   อีกทางหนึ่งกลุ่มผู้มีอำนาจที่หนุนหลังเขากำลังมองเขาบนเวทีด้วยสายตาที่กร้าว    และต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่นายสุเทพจะไปไกลกว่านี้   จับพลัดจับพลูเกิดนายสุเทพได้เป็นองค์รัฐาธิปัตย์ขึ้นมาจริงๆ.......อำนาจที่จดจ้องอยู่ก็หลุดลอยไป



หลังจากกองทัพได้ยึดอำนาจนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่ง “รักษาการ” อยู่ในขณะนั้น    ทั้งนายสุเทพ  ทั้งพรรคประชาธิปัตย์  รวมทั้งพรรคเพื่อไทยก็เผ่นแน่บไปคนละทิศละทาง    สำหรับนายสุเทพนั้น  เขายังพอมีความดีอยู่บ้างที่อย่างน้อยๆ ได้ปูทางให้เกิดการรัฐประหาร    วิธีการหลบภัยแบบโบราณจึงถูกเสนอให้เขาโดยแสร้งไปบวชเสีย  เป็น “บันได” ที่พาดให้นายสุเทพได้ลง    เมื่อสึกออกมาก็มีการตอบแทนสินน้ำใจกันเล็กๆ น้อยๆ ด้านคดีความ....และนายสุเทพ  ก็ตอบแทนด้วยการประกาศว่าจะไม่ยุ่งการเมืองอีกต่อไป   แต่ผมไม่มีวันเชื่อ   และผมก็เชื่อว่า  พรรคประชาธิปัตย์  พรรคเพื่อไทย  คนเสื้อแดง  หรือแม้แต่กองทัพ  ก็ไม่มีวันเชื่อน้ำคำของคนมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนายสุเทพ   ถ้าจะมีคนเชื่อก็เห็นจะมีแต่ มวลมหาประชาชนของเขา   ที่เชื่อแม้กระทั่งว่า ตลอดชีวิตการเล่นการเมืองของเขา  เขาไม่เคยโกงสักบาทเดียว......