ตอนนี้เราเครียดมาก ไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องไหนก่อนดี และจะเลือกที่จะอยู่กับครอบครัว หรือจะไปมีชีวิตอิสระของเราดี
คือตอนนี้เราอยู่ กทม พึ่งย้ายมาอยู่ทำงานกับพี่สาว พี่สาวเราพึ่งเปิดบริษัท แต่ตัวพี่สาวเองเค้าก็ทำงานประจำที่อื่น เค้าเลยบอกว่าอยากให้เราขึ้นมาช่วยทำ ไอ้เราก็ดีใจ ว่าจะได้ออกจากบ้านบ้าง เพราะที่บ้านอย่างว่าต่างจังหวัด มันค่อนข้างน่าเบื่อ เราเองเรียนจบ กทม แล้วก็ทำงานอยู่ถึงอายุประมาณ 25 ปี ตอนนั้นหมดสัญญาของบริษัทพอดี ประจวบกับพ่อช็อกเข้าโรงพยาบาล เราเลยตัดสินใจไม่ต่อสัญญาคิดว่ากลับบ้านสักพักค่อยขึ้นมาหางานใหม่ก็ได้ ตอนนั้นที่บ้านแม่เปิดร้นอาหาร เราก็ช่วยแม่ทำไปได้สักพัก พอพ่อเริ่มอาการดีขึ้นพ่อก็ไปบวช 3 พรรษา เพราะยายบ่นไว้ว่าถ้าพ่อหายให้บวช ตอนนั้นหมอบอกพ่อมี%รวดแค่ 10% พอพ่อบวช เราเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ต่อ ช่วยแม่ขายของไปสักพัก แม่ป่วย ต้องหยุดทำงาน หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกเสื่อม ห้ามทำงานหนัก แม่เลยต้องปิดร้านอาหาร ช่วงนั้นตาเราก็ดันตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะ3 แม่เลยต้องไปเฝ้าตาบ้าง เลยปิดร้านถาวร ส่วนพอที่พออาการดีขึ้น ก็บ่นว่าเหนื่อยง่าย เลยพาไปเช็คสุขภาพ ปรากฎว่า เริ่มมีเชื่อมะเร็ง แค่เริ่มนะค่ะ แต่ยังไม่ได้เป็น หลังจากนั้น ประมาณ 6 เดือนตาก็เสีย ปู่ซึ่งอยู่ที่บ้านเราด้วย เราก็ช่วยดูแลปู่บ้างป้อนข้าวป้อนน้ำ บ้างที่พ่อก็มาดูแลเอง ปู๋อายุ 93 ปี หลังจากตาเสียไม่นานปีถัดมาปู่ก็เสียด้วยวัยชราค่ะ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เรา อายุ29 ปีแล้ว เหรอเนี้ย แต่มีชีวิตที่อยู่บ้านไปวันๆ พอวันหนึ่งพี่สาวบอกจะเปิดบริษัทเราก็ดีใจว่าจะได้มีชีวิตแบบคนทำงานนอกบ้านงานบริษัทบ้าง ด้วยตอนที่เราตัดสินใจย้ายของขึ้นมา กทม เราก็ดีใจว่าจะได้มีงานประจำ เงินเดือนประจำทำ อีกอย่างได้ทำกับพี่สาว ถ้าพ่อแม่ไม่สบายยังไงเราก็กลับไปที่บ้านได้ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด บริษัทพี่สาวเรายังไม่มีการวางระบบการทำงานอะไร เพราะพี่สาวไม่มีเวลา เพราะต้องทำงานประจำด้วย เค้าเลยทิ้งให้เราอยู่บริษัทคนเดียว โดยมีต่ำแหน่งเป็น Marketing งานที่เค้าให้เราคือ ไปหาสินค้า พวกออนไลน์ หรือสินค้าทั่วไปที่คิดว่าน่าสนใจน่าจะขายได้ ไปคิดวางแผนการตลาดว่าจะขายยังไงให้ขายดี แต่ด้วยความที่เราห่างจากงานบริษัทมานาน เราเลยเริ่มต้นไม่ถูกว่าจะเริ่มจากต้องไหนดี ต้องคิดทำอะไรก่อนอะไรหลัง เราก็เลยถามพี่สาวว่าจะให้เริ่มทำยังไง เค้าก็ไม่สอนบอกแต่ให้เราไปคิดเอาเอง ด่าว่าเรา ว่าของง่ายๆแค่นี้ไม่มีปัญญาคิด ก็ไม่ต้องทำ ว่าเราโง่บ้าง แล้วก็บลาๆๆๆๆเยอะอะ เค้าใช้คำพูดแรงมาก เราขอไม่เขียนนะ เราโครตเสียใจ เพราะเราแค่อยากปรึกษาเค้า ว่าทำแบบไหนยังไง ดีไหม อยากให้เค้าช่วยแนะนำสอน แค่นั้นเอง แต่พอถามก็โดยด่าอีก คือเราโครตเครียดมึนอะ นั่งอยู่ในบริษัทคนเดียว ไม่รู้จะหันหน้าไปคุย ปรึกษาใคร ตอนเรามา เราก็มีเงินเก็บประมาณสองหมื่น พอออกจากบ้าน ขึ้น อยู่กทมก็ต้องลงต่างจังหวัดบ้าง ในบางวัน พาพ่อแม่ไปหาหมอบ้าง เงินเราที่เก็บก็เลยต้องเอาออกมาใช้จนหมด ส่วนเงินบริษัทจากพี่สาวเหรอ ยังไม่มีค่ะ เพราะเค้าไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอันให้เราทำ ก็เลยไม่ได้ให้เงินเดือน เข้าเรื่องเครียด เราเคยไปกดบัตรเครดิตมาลงทุนขายของประมาณ 90,000บาท แล้วก็ขาดทุน เราก็ไม่กล้าบอกที่บ้านด้วย ตอนนี้ส่งไปแล้วเหลือ4เดือน เดือนละประมาณ 10,000บาทเหลือ4เดือน ปัญหาคือตอนนี้เราไม่มีเงินเลยสักบาท เพราะมาทำงานกับพี่สาว เราคิดว่าพี่สาวน่าจะให้อย่างน้อยๆสัก 20,000บาท ที่ไหนได้ ไม่มีเลย เงินเก็บก็หมด ตอนที่เราอยู่บ้านต่างจังหวัด เราสามารถจ่ายธนาคารได้ทุกเดือนเพราะ เราเก็บจากค่าเช่าหอพักที่บ้าน เดือนหนึ่งก็ได้ประมาณ20,000บาท ส่วนค่าสวนปาล์ม สวนยาง ให้พ่อเก็บ เหลือใช้ก้อประมาณ5000บาท แต่เราก็เครียดมากนะอยู่ที่บ้าน เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่า เกาะสมบัติพ่อแม่กิน เราเลยคิดมาตลอดว่าเราจะต้องหางานทำแล้ว อยู่ที่บ้านก็ทำแค่ดูแลพ่อแม่เล็กน้อยๆ พาท่านไปหาหมอ ทำธุระแทนท่านบ้าง แค่นั้น แล้วก็อยู่บ้านไปวันๆ เราพยายามหางานแถวบ้านทำแต่เงินเดือนมันน้อยมาก 6000-9000บาท พอเราจะไปทำ พ่อแม่ก็บอกว่าจะไปทำทำไหมให้เสียเวลา นั่งทำงานให้คนอื่นทั้งวัน ถ้าพ่อแม่จะใช้ให้ทำอะไร ไปไหนมาไหนแทน ไปทำธุระบ้าง พาไปหาหมอบ้าง แล้วจะทำไง พวกท่านพูดซะนะ เราฟังแล้วไม่ไปก็ได้ คือประมาณว่า ถ้าเงินเดือนไม่ดี งานไม่ดี ท่านก็ไม่อยากให้ไปทำ แต่อย่างว่าต่างจังหวัดเริ่มทำงานเงินเดือนก็น้อยทั้งนั้น พอเราไปหาไกลๆหน่อยก็ไม่อยากให้ไป เราเลยอยู่บ้านแบบเซ็งๆเบื่อๆ พอพี่สาวบอกให้ไปช่วยงานบริษัทก็ดีใจ แต่อย่างที่เล่าข้างบน คือบริษัทยังไม่ได้เปิดเป็นทางการ ไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอันให้เราทำ เลยไม่มีเงินเดือน แถมเรากับพี่สาวก็ไม่ค่อยถูกกันอีก เราเลยเครียดยกกำลัง5เลย แถมเงินส่งธนาคารก็ไม่มี เราเลยไม่รู้จะทำไงดี จะกลับบ้านไปเกาะพ่อแม่กินอีกเหรอ หรือจะไปหางานทำที่อื่นดี เพราะทำกับพี่สาวแล้วทะเลาะกัน เครียด ยิ่งอยู่บ้านเดียวกับเค้าอีก ไม่กวาดบ้านไม่ทำความสะอาตบ้านออฟฟิตก็โดนบ่นอีก ที่จริงถ้าเราไม่มีหนี้บัตรเครดิต เราก็คงไม่คิดมากเท่าไร เพราะอยู่กับพี่สาวเราก็ไม่ต้องจ่ายอะไร กินอยู่กับเค้า แต่ไม่มีเงินเดือนอะดิ จะซื้ออะไรส่วนตัว ก็ไม่มีเงิน เงินเก็บที่มีก็แค่พอจะกลับไปบ้านค่ารถค่ากินเล็กๆน้อยๆ เราไม่รู้จะทำไงดี ถ้าจะหางานทำ ก็ต้อง30,000บาทขึ้นไป เพราะเราต้องใช้หนี้บัตรเดือนละ10,000บาท ค่ากินค่าอยู่อีก แต่เรามีประสบการณ์แค่เคยทำงานที่บริษัท ทรู เป็นเซลล์ แค่4ปี อายุก็ปีนี้30ปี แล้ว คงจะหางานอยาก เราเลยไม่รู้จะตัดสินใจเดินไปทางไหนกับชีวิตดี อยู่บ้านเราก็ไม่อิสระนะ ไปไหนพ่อแม่ก็ไม่ค่อยให้ไป อยู่บ้านก็เบื่อ เรามองไม่เห็นจุดมุงหมายในชีวิตตัวเองเลย เราจะเลือกอยู่ต้องไหนดี จะแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตยังไงดี ตอนนี้เราเครียดมาก ปวดหัว ปวดตา มีใครพูดอะไรให้เสียใจนิดๆหน่อยๆเราก็ร้องให้
บ้างทีเราก็คิดวนไปวนมา สงสารพ่อแม่ พ่ออายุ 64 ปี แม่ 62 ปี แล้วอยู่บ้านก็ดีได้ดูแลพ่อแม่บ้าง แต่แล้วชีวิตเราละ แล้วเมื่อไรเราจะมีแฟนมีครอบครัว ถ้าเราอยู่แต่บ้าน ไม่มีงานทำประจำ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน สังคมก็ไม่ค่อยมี ถ้าออกไปหางานทำที่อื่น ก็ต้องตัดใจจากพ่อแม่ และต้องหางานที่เงินเดือนที่ประมาณ30,000upให้ได้ ไม่งันพ่อแม่ไม่ให้ไป ทำกับพี่สาวก็ไปไหนมาไหนก็ได้ot แต่เครียด เพราะคุยกันไม่ค่อยดี เงินก็ไม่แน่นอนว่าจะมีให้เท่าไร เมื่อไร เอาไงดีชีวิตนี้
สับสนชีวิต ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ไม่รู้จะทำอะไรก่อนอะไรหลัง อายุก็จะขึ้นเลข 3แล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย
คือตอนนี้เราอยู่ กทม พึ่งย้ายมาอยู่ทำงานกับพี่สาว พี่สาวเราพึ่งเปิดบริษัท แต่ตัวพี่สาวเองเค้าก็ทำงานประจำที่อื่น เค้าเลยบอกว่าอยากให้เราขึ้นมาช่วยทำ ไอ้เราก็ดีใจ ว่าจะได้ออกจากบ้านบ้าง เพราะที่บ้านอย่างว่าต่างจังหวัด มันค่อนข้างน่าเบื่อ เราเองเรียนจบ กทม แล้วก็ทำงานอยู่ถึงอายุประมาณ 25 ปี ตอนนั้นหมดสัญญาของบริษัทพอดี ประจวบกับพ่อช็อกเข้าโรงพยาบาล เราเลยตัดสินใจไม่ต่อสัญญาคิดว่ากลับบ้านสักพักค่อยขึ้นมาหางานใหม่ก็ได้ ตอนนั้นที่บ้านแม่เปิดร้นอาหาร เราก็ช่วยแม่ทำไปได้สักพัก พอพ่อเริ่มอาการดีขึ้นพ่อก็ไปบวช 3 พรรษา เพราะยายบ่นไว้ว่าถ้าพ่อหายให้บวช ตอนนั้นหมอบอกพ่อมี%รวดแค่ 10% พอพ่อบวช เราเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ต่อ ช่วยแม่ขายของไปสักพัก แม่ป่วย ต้องหยุดทำงาน หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกเสื่อม ห้ามทำงานหนัก แม่เลยต้องปิดร้านอาหาร ช่วงนั้นตาเราก็ดันตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะ3 แม่เลยต้องไปเฝ้าตาบ้าง เลยปิดร้านถาวร ส่วนพอที่พออาการดีขึ้น ก็บ่นว่าเหนื่อยง่าย เลยพาไปเช็คสุขภาพ ปรากฎว่า เริ่มมีเชื่อมะเร็ง แค่เริ่มนะค่ะ แต่ยังไม่ได้เป็น หลังจากนั้น ประมาณ 6 เดือนตาก็เสีย ปู่ซึ่งอยู่ที่บ้านเราด้วย เราก็ช่วยดูแลปู่บ้างป้อนข้าวป้อนน้ำ บ้างที่พ่อก็มาดูแลเอง ปู๋อายุ 93 ปี หลังจากตาเสียไม่นานปีถัดมาปู่ก็เสียด้วยวัยชราค่ะ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เรา อายุ29 ปีแล้ว เหรอเนี้ย แต่มีชีวิตที่อยู่บ้านไปวันๆ พอวันหนึ่งพี่สาวบอกจะเปิดบริษัทเราก็ดีใจว่าจะได้มีชีวิตแบบคนทำงานนอกบ้านงานบริษัทบ้าง ด้วยตอนที่เราตัดสินใจย้ายของขึ้นมา กทม เราก็ดีใจว่าจะได้มีงานประจำ เงินเดือนประจำทำ อีกอย่างได้ทำกับพี่สาว ถ้าพ่อแม่ไม่สบายยังไงเราก็กลับไปที่บ้านได้ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด บริษัทพี่สาวเรายังไม่มีการวางระบบการทำงานอะไร เพราะพี่สาวไม่มีเวลา เพราะต้องทำงานประจำด้วย เค้าเลยทิ้งให้เราอยู่บริษัทคนเดียว โดยมีต่ำแหน่งเป็น Marketing งานที่เค้าให้เราคือ ไปหาสินค้า พวกออนไลน์ หรือสินค้าทั่วไปที่คิดว่าน่าสนใจน่าจะขายได้ ไปคิดวางแผนการตลาดว่าจะขายยังไงให้ขายดี แต่ด้วยความที่เราห่างจากงานบริษัทมานาน เราเลยเริ่มต้นไม่ถูกว่าจะเริ่มจากต้องไหนดี ต้องคิดทำอะไรก่อนอะไรหลัง เราก็เลยถามพี่สาวว่าจะให้เริ่มทำยังไง เค้าก็ไม่สอนบอกแต่ให้เราไปคิดเอาเอง ด่าว่าเรา ว่าของง่ายๆแค่นี้ไม่มีปัญญาคิด ก็ไม่ต้องทำ ว่าเราโง่บ้าง แล้วก็บลาๆๆๆๆเยอะอะ เค้าใช้คำพูดแรงมาก เราขอไม่เขียนนะ เราโครตเสียใจ เพราะเราแค่อยากปรึกษาเค้า ว่าทำแบบไหนยังไง ดีไหม อยากให้เค้าช่วยแนะนำสอน แค่นั้นเอง แต่พอถามก็โดยด่าอีก คือเราโครตเครียดมึนอะ นั่งอยู่ในบริษัทคนเดียว ไม่รู้จะหันหน้าไปคุย ปรึกษาใคร ตอนเรามา เราก็มีเงินเก็บประมาณสองหมื่น พอออกจากบ้าน ขึ้น อยู่กทมก็ต้องลงต่างจังหวัดบ้าง ในบางวัน พาพ่อแม่ไปหาหมอบ้าง เงินเราที่เก็บก็เลยต้องเอาออกมาใช้จนหมด ส่วนเงินบริษัทจากพี่สาวเหรอ ยังไม่มีค่ะ เพราะเค้าไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอันให้เราทำ ก็เลยไม่ได้ให้เงินเดือน เข้าเรื่องเครียด เราเคยไปกดบัตรเครดิตมาลงทุนขายของประมาณ 90,000บาท แล้วก็ขาดทุน เราก็ไม่กล้าบอกที่บ้านด้วย ตอนนี้ส่งไปแล้วเหลือ4เดือน เดือนละประมาณ 10,000บาทเหลือ4เดือน ปัญหาคือตอนนี้เราไม่มีเงินเลยสักบาท เพราะมาทำงานกับพี่สาว เราคิดว่าพี่สาวน่าจะให้อย่างน้อยๆสัก 20,000บาท ที่ไหนได้ ไม่มีเลย เงินเก็บก็หมด ตอนที่เราอยู่บ้านต่างจังหวัด เราสามารถจ่ายธนาคารได้ทุกเดือนเพราะ เราเก็บจากค่าเช่าหอพักที่บ้าน เดือนหนึ่งก็ได้ประมาณ20,000บาท ส่วนค่าสวนปาล์ม สวนยาง ให้พ่อเก็บ เหลือใช้ก้อประมาณ5000บาท แต่เราก็เครียดมากนะอยู่ที่บ้าน เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่า เกาะสมบัติพ่อแม่กิน เราเลยคิดมาตลอดว่าเราจะต้องหางานทำแล้ว อยู่ที่บ้านก็ทำแค่ดูแลพ่อแม่เล็กน้อยๆ พาท่านไปหาหมอ ทำธุระแทนท่านบ้าง แค่นั้น แล้วก็อยู่บ้านไปวันๆ เราพยายามหางานแถวบ้านทำแต่เงินเดือนมันน้อยมาก 6000-9000บาท พอเราจะไปทำ พ่อแม่ก็บอกว่าจะไปทำทำไหมให้เสียเวลา นั่งทำงานให้คนอื่นทั้งวัน ถ้าพ่อแม่จะใช้ให้ทำอะไร ไปไหนมาไหนแทน ไปทำธุระบ้าง พาไปหาหมอบ้าง แล้วจะทำไง พวกท่านพูดซะนะ เราฟังแล้วไม่ไปก็ได้ คือประมาณว่า ถ้าเงินเดือนไม่ดี งานไม่ดี ท่านก็ไม่อยากให้ไปทำ แต่อย่างว่าต่างจังหวัดเริ่มทำงานเงินเดือนก็น้อยทั้งนั้น พอเราไปหาไกลๆหน่อยก็ไม่อยากให้ไป เราเลยอยู่บ้านแบบเซ็งๆเบื่อๆ พอพี่สาวบอกให้ไปช่วยงานบริษัทก็ดีใจ แต่อย่างที่เล่าข้างบน คือบริษัทยังไม่ได้เปิดเป็นทางการ ไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอันให้เราทำ เลยไม่มีเงินเดือน แถมเรากับพี่สาวก็ไม่ค่อยถูกกันอีก เราเลยเครียดยกกำลัง5เลย แถมเงินส่งธนาคารก็ไม่มี เราเลยไม่รู้จะทำไงดี จะกลับบ้านไปเกาะพ่อแม่กินอีกเหรอ หรือจะไปหางานทำที่อื่นดี เพราะทำกับพี่สาวแล้วทะเลาะกัน เครียด ยิ่งอยู่บ้านเดียวกับเค้าอีก ไม่กวาดบ้านไม่ทำความสะอาตบ้านออฟฟิตก็โดนบ่นอีก ที่จริงถ้าเราไม่มีหนี้บัตรเครดิต เราก็คงไม่คิดมากเท่าไร เพราะอยู่กับพี่สาวเราก็ไม่ต้องจ่ายอะไร กินอยู่กับเค้า แต่ไม่มีเงินเดือนอะดิ จะซื้ออะไรส่วนตัว ก็ไม่มีเงิน เงินเก็บที่มีก็แค่พอจะกลับไปบ้านค่ารถค่ากินเล็กๆน้อยๆ เราไม่รู้จะทำไงดี ถ้าจะหางานทำ ก็ต้อง30,000บาทขึ้นไป เพราะเราต้องใช้หนี้บัตรเดือนละ10,000บาท ค่ากินค่าอยู่อีก แต่เรามีประสบการณ์แค่เคยทำงานที่บริษัท ทรู เป็นเซลล์ แค่4ปี อายุก็ปีนี้30ปี แล้ว คงจะหางานอยาก เราเลยไม่รู้จะตัดสินใจเดินไปทางไหนกับชีวิตดี อยู่บ้านเราก็ไม่อิสระนะ ไปไหนพ่อแม่ก็ไม่ค่อยให้ไป อยู่บ้านก็เบื่อ เรามองไม่เห็นจุดมุงหมายในชีวิตตัวเองเลย เราจะเลือกอยู่ต้องไหนดี จะแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตยังไงดี ตอนนี้เราเครียดมาก ปวดหัว ปวดตา มีใครพูดอะไรให้เสียใจนิดๆหน่อยๆเราก็ร้องให้
บ้างทีเราก็คิดวนไปวนมา สงสารพ่อแม่ พ่ออายุ 64 ปี แม่ 62 ปี แล้วอยู่บ้านก็ดีได้ดูแลพ่อแม่บ้าง แต่แล้วชีวิตเราละ แล้วเมื่อไรเราจะมีแฟนมีครอบครัว ถ้าเราอยู่แต่บ้าน ไม่มีงานทำประจำ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน สังคมก็ไม่ค่อยมี ถ้าออกไปหางานทำที่อื่น ก็ต้องตัดใจจากพ่อแม่ และต้องหางานที่เงินเดือนที่ประมาณ30,000upให้ได้ ไม่งันพ่อแม่ไม่ให้ไป ทำกับพี่สาวก็ไปไหนมาไหนก็ได้ot แต่เครียด เพราะคุยกันไม่ค่อยดี เงินก็ไม่แน่นอนว่าจะมีให้เท่าไร เมื่อไร เอาไงดีชีวิตนี้