จขกท.มีประสบการณ์เรื่องความรักจะมาแชร์แบบที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ซึ่งมันเกิดจากความผิดพลาดของตัว จขกท.เอง ถือว่าเป็นบทเรียนของชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่อยากให้ใครต้องมานั่งเสียใจ และเสียโอกาศดีๆที่เข้ามาในชีวิตแบบ จขกท.
เรื่องมีอยู่ว่า ต้องย้อนไปเรื่องบทเรียนความรักครั้งแรก จะด้วยความผิดพลาดความไม่ใส่ใจของ จขกท.เอง ความไม่เข้าใจกัน ระยะทาง อุปสักต่างๆ มันก็ทำให้ความรักครั้งนั้นจบไป ///ครั้งนั้นเนื่องจากว่าเราทำงานกันต่างสายอาชีพกัน ของเขาอยู่ในระดับที่มีฐานะดีกว่ามากโข คหสต. ของ จขกท. เองคนเดียวคิดว่าข้อนี้อาจอยู่ในเหตุผลที่ไปกันไม่ได้ มันเลยติดอยู่ในหัวว่า จะทำอย่างไรให้ จขกท.เองสามารถที่จะมีระดับฐานะให้ได้ดีเท่าๆแบบนั้นบ้าง (จขกท. มองในมุมของตัว จขกท. เอง ไม่เกี่ยวกับฐานะทางครอบครัว ประมาณด้วยลำแข้งของ จขกท. เองนะครับ) ซึ่งนั้นก็หมายความว่า จขกท. เองคงต้องเปลี่ยนแนวสายอาชีพ เพื่อให้มีฐานะที่ดีที่สุดเพื่อที่จะมาดูแลคนที่จะเข้ามาเป็นคู่ชีวิตเราได้ ครับ นั้นคือปณิธาน ของ จขกท. ที่ตั้งไว้ ซึ่งได้จากบทเรียนครั้งนั้น เมื่อเลิกก็มีจากลาแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ตัว จขกท. เองก็ยังเสียใจมาก ตามประสาคนถูกบอกเลิก และแล้วก็เริ่มมี "เธอ" เข้ามาในชีวิต เธอ เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที จขกท.ได้เริ่มพูดคุยกับ เธอ คนนี้ คุยกันบ่อยๆนานฯเข้า มันเหมือนมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว การถ่ายรูป พอสนิทกันมากขึ้น จขกท. ก็ชวนไปเที่ยวโน้นไปนี้กัน ไปกินข้าว ดูหนัง ตอนนั้นโคตรรู้สึกดี คุยกันได้ทุกเรื่องยิ่งเรื่องเที่ยวด้วยแล้ว ไปไหนด้วยกันบ่อยๆ เวลาเราต่างไปเที่ยวไหนกันเราก็จะส่งโปสการ์ดให้กัน จขกท.เพิ่งมาหัดเขียนโปสการ์ดก็เพราะเธอคนนี้แหละ หรือเธอกำลังสื่ออะไรกับเราบ้างอย่าง... แต่ด้วยปณิฐานของ จขกท.เอง ถ้ายังรู้สึกว่าตัวเราฐานะยังไม่ได้พอ คือ จขกท. มีเป้าหมายชีวิตใหม่ว่า ต้องเปลี่ยนสายอาชีพการทำงานให้ได้ จึงยังไม่ได้คบหาดูใจกับเธอคนนั้น คบกันไปแบบเพื่อนที่สนิท ไปไหนไปกันหมด เที่ยวไปทุกที่ อารมณ์คนโสด ไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่าเพื่อน เพราะ จขกท.จริงจังและวางตัวให้เหมาะสม ไม่เคยคิดเอาเปรียบผู้หญิง เราสองคนเคยกันพูดเล่นๆ ว่าอย่าเพิ่งหนีไปมีแฟนกันซะก่อนนะ ขอไปไหน มาไหนด้วยกันก่อน ซึ่งในใจ จขกท.เองก็คิดนะอยากมี เธอ เป็นแฟน (...หรือใจยังโลเลอยู่ เอาให้ดีๆ...) จขกท. เองคิดได้แค่นี้ ขอเป็นเพื่อนสนิทแบบนี้ไปก่อนนะ ถึงวันที่ จขกท.เอง สามารถสอบเปลี่ยนสายอาชีพสำเร็จแล้ว ก็จะขอคบกันเป็นแฟน นั้นคือสิ่งที่อยู่ในใจของ จขกท. ที่ไม่ได้แสดงออกมาให้ใครรู้
แต่แล้วประมาณ หกเดือนก่อนสอบเปลี่ยนสายอาชีพ จขกท. ทำตัวห่างกับเธอคนนี้ซะเอง เธอชวนไปเที่ยวไหนด้วยกันก็ไม่ไป และ จขกท. ก็ ไม่ได้ชวนไปไหนเหมือนกัน คุยกันก็น้อยลงทุกที ซึ่งก่อนหน้านี้ จขกท. ไปไหนมาไหนกับเพื่อนคนนี้บ่อยมาก ม๊ากมาก จขกท. เห็นว่า เดียวจะไม่มีเวลาเตรียมตัวสอบ เลยบอกเธอไป ว่าจะขอหยุดเที่ยวซักพักได้มั้ยขออ่านหนังสือเตรียมสอบก่อน (คือเที่ยวบ่อยจนพีคมากๆ เที่ยวเกือบทุกเดือน คิดทริปมาได้ตลอด อยากไปไหนละ จขกท. มีเธอเป็นเพื่อนร่วมทาง รู้สึกสบายใจมากเลยนะ) ว่าแล้วก็ไปตั้งใจอ่านหนังสือ ถึงขนาดพี่ที่ทำงาน สนิทกันชวนไปกินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ มาชวน ผมยังไม่ไปเลย พี่เขาก็ไม่ว่า เขารู้ว่า เพื่อให้สุขภาพดีที่สุดสำหรับการสอบ ช่วงนี้แหละครับ จขกท.ละเลยเพื่อนสนิท คนสำคัญคนนี้ไป ผมก็ อ่านหนังสือทำงานของผมไปไม่คิดอะไร ส่วนกับ เธอ คนนั้น ก็ยังมีคุยบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่าเมื่อก่อน ไม่ได้ชวนไปไหนมาไหน เจอกันก็แปปๆคุยกันน้อยลง จนช่วงก่อนสอบประมาณ 1 เดือน ยิ่งแทบไม่ได้คุยกันเลย เพราะยุ่งมาก ไหนจะอ่านหนังสือ ไหนจะเรื่องเดินเอกสารสมัครสอบอีก นั้นสิ ผมลืมอะไรไป... เรื่อยมาจนกระทั้งสอบรอบแรก ซึ่งเป็นการสอบที่เขาวัดกันที่ สติ ไอคิว ความถนัดทางวิชาชีพ ซึ่งผมสอบปีแรก เป็นไงละ สติสะตังหลุดหมด เป็นว่าสอบไม่ผ่านรอบแรก รอบสอง ที่อ่านๆมาไม่ต้องใช้แล้ว ผมเริ่มกลับไปมองหาเพื่อนคนนั้น คนที่ผมรู้สึกสนิทที่สุด แต่ปรากฎว่า ......เธอเริ่มมีรูปคู่ กับชายหนุ่มหน้าตาดี หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทั้งคู่ก็อัพสถานะ เป็นคบหากัน เอ้า!ก็เป็นแฟนกันแล้วนี้หว่า เฮ้ย คือ... คือ... แบบว่า ยังไงๆ ในหัว จขกท.เริ่มสับสน ทำอะไรไม่ถูกเลย เอ้า!!เพลงมา ...ไปเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไร เวลาตอนไหนเอาไปจีบกัน.... (จขกท.เป็นคนตลก) มันเป็นความรู้สึกช็อกอย่างแรง ก็เลยได้ลองคุยสอบถามกับเพื่อนคนนั้น ได้ความประมาณว่า
...เฮยไปเจอกันได้ไง ทำไมทิ้งกันไปมีแฟนซะก่อนละ(พูดติดเล่นๆ)...
...ก็แกทำตัวห่างฉันเองนิ... (อืมก็จริง)
...ก็ฉันอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ หลังๆ ยุ่งๆด้วยไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องเตรียมตัวสอบ ไหนจะเรื่องสมัครอีก... (ช่วงนั้นเหมือนงานเข้า จขกท. หนักมาก)
นั้นคือสาเหตุที่ห่างกัน แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ถ้าลึกๆแล้วคิดมีใจกับเขาแล้วทำไม ไม่ขอคบกันไปเลยจะรออะไร(จำไว้นะครับ รออะไร รออะไร) จขกท. ก็บอกไปว่า จขกท. ตั้งใจจะสอบเพื่อว่าถ้าสอบเปลี่ยนสายอาชีพแล้ว การงานจะได้มั่นคง มีรายได้เยอะๆ ไว้ดูแลคนที่จะอยู่ข้างๆ (เอาปณิธารของตัวเองมาตอบ) แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าคนข้างๆคนนั้นเป็นใคร พูดอ้อมๆ (ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ สมน้ำหน้า) และเขาก็ตอบมาว่า
...ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงขนาดนั้นหลอกหรือป่าววะ บางทีผู้หญิงเขาไม่ต้องการเข้ามาตอนนั้น ฐานะมันร่วมกันสร้างขึ้นมาได้... (ไห้ตายเถอะ จขกท. สตันไปสิบวิ)
จขกท.ก็พูดอะไรไม่ถูกเลย แบบว่า จขกท.พลาดแล้ว เขาคิดได้ขนาดนี้เลย จะทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน จะสุขก็สุขด้วยกัน อนาคตมันร่วมกันสร้างได้ อืม.... จขกท.แค่อยากถมที่ดินให้มันแน่นก่อนก็เท่านั้นเอง พอดินมันอยู่ตัวแล้ว เดียวจะเชิญมาช่วยกันสร้างฐานราก ลงเสาเข็ม แน่นอน จขกท. ไม่รู้ตอนนั้นมันสับสันอะไร หรือยังไม่รู้ตัว ก็ชวนคุยเหมือนปกติ คุยเรื่องเที่ยว อารมณ์คนเพิ่งสอยเสร็จ และผิดหวังกับการสอบ นอยๆ (เธอไม่รู้ผมคิดยังไงกับเธอ จขกท. บอกเพียงไปว่ารู้สึกเสียใจที่ต่อไปนี้คง ทำอะไร หรือไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว) เขาก็บอกว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทำงาน ตอนนั้น จขกท. สับสนมาก บวกกับอารมคนหลังสอบเซ็งๆ นั้นแหละ ก็เลยขอไปด้วย (ไปเปลี่ยนแผนเขาหมดเลย) ว่าแล้ว จขกท.ก็จัดแจง ติดต่อเพื่อนสมัยเรียนมัถยมพอดีมันทำงานเกี่ยวกับท่องเที่ยวที่ ตจว. พอดี ก็เลยขอให้มันหารถเช่า กับที่พัก ช่วงนั้นเป็นเวลาบ่าย หลังจากประสานเรื่องทั้งหมดแล้ว(นี่แหละครับความสามารถพิเศษของ จขกท. การจักการด้านการท่องเที่ยว) หมดเรื่องให้ทำ คิดนูนคิดนี้ แล้วก็ได้คิดจนจิตตก ว่าทำไมๆ ทำไมมันเป็นแบบนั้น แบบนี้ แล้วที่เราไปกับเขาแบบนี้มันจะดีหลอ มันถูกหลอ ที่ได้ไปไหนด้วยกันอีก ซึ่งความจริงมันทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อก่อน เราไปไหนมาไหนด้วยกัน น่ะได้ ก็โสดอยู่ทั้งคู่ แต่ตอนนี้ อีกคนมีคู่ไปแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับคู่ของเขาสิ (แต่ก็ยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนไปด้วยนะ สมัยก่อนก็ไปกับแบบนี้แหละ มีผู้ชายที่ไว้ไใจได้ไปด้วยซะคนมันก็จะปลอดภัยขึ้น) แวบแรกคิดว่าจะยกเลิกรถเช่า ที่พักกับเพื่อนที่ต่างจังหวัด แต่จะยกเลิกก็ไม่ได้ จ่ายเงินจองไว้หมดแล้ว แล้วเราก็รับปากเขาไว้แล้ว คืออารมณ์ตอนนั้นมันอัดอั้นมาก ระหว่างนั้นพอดี เพื่อนมันก็ข้อความมาบอกเรื่องรถที่เช่าไว้ จขกท. ด้วยความอัดอั้นตันใจ เลยข้อความไปว่า ..."ไม่สบายใจวะ "... ..."อยากมีคนคุยด้วย ได้ระบายความในใจออกมาก็ยังดี"... มันบอกเออโทรมา...ว่าแล้วก็โทรหาทันที่ เล่าเรื่องทั่งหมดตั้งแต่พื้นความในตอนต้น มันก็เล่าเรื่องความรักแบบนาฬิกาทรายให้ จขกท.ฟังว่า ตอนที่ฝ่ายหนึ่งเขามีใจทุ่มความรักให้อย่างเต็มที่นั้น ตอนนั้นอีกฝ่าย(ฝ่าย จขกท.) ยังไม่คิดอะไรถึงเรื่องความรัก หรือยังไม่ทันสังเกตก็เถอะ แต่พอฝ่าย จขกท. คิดได้ และคิดจะมีความรักตอบไป อีกฝ่ายหนึ่งเขาก็หมดรักไปแล้ว แล้วการที่ จขกท. ทำแบบนี้ มันจะเสียโอกาสดีๆไป ฐานะมันร่วมกันสร้างได้ บางทีฝ่ายหญิงเขาไม่ได้เข้ามาเพื่อรอให้ถึงวันที่ จขกท. ทำสำเร็จ แล้ว จขกท.เป็นฝ่ายเลือกเขานะ บางที่ฝ่ายหญิงเขาอาจจะเข้ามาตั้งแต่วันที่แกไม่พร้อม และร่วมสร้างกันไป เขาไม่รอให้ถึงวันนั่นแล้วให้แกเลือกเขาหลอ (เหมือนแป๊ะ เหมือนประมาณที่เพื่อนคนนั้นพูดเลย) ผู้หญิงเขาก็มีสิทธิที่จะเลือกของเขาถ้าเขาเห็นว่ายังไง ถ้ารอ จขกท. มันก็ดูเรือนราง มันไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้ว่าถ้าถึงวันนั้นแล้ว จขกท. จะมีใจให้ มันไม่มีอะไรมารับประกันได้ เขาก็ต้องทำ เพื่อปกป้องตัวเขาเอง แล้วก็บอกว่า เวลามันเดินเป็นเส้นตรงนะ ไม่ได้เดินวน เหมือนกับที่แขวนอยู่บนผนัง เพราะฉะนั่นมันย้อนกลับมาแก้ไขไม่ได้ เข้าใจอย่างนี้แล้วก็ให้มันเป็นบทเรียนชีวิตละกัน ผ่านมาผ่านไป จขกท. ก็พอเข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าแล้วก็ทำใจ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เพราะลึกๆก็กลัว ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม คือเคยไงวันที่เลิกกับแฟนคนแรก ผมไปหาเขาที่ ตจว. จขกท.เองนะความรู้สึกยังไงก็เหมือนเดิม แต่เขาละจะรู้สึกอย่างไร ระหว่างทางที่นั่งรถไปเที่ยวกัน มันตรึงมา เขาไม่คุยกับเราเลย เงียบ ถามคำตอบคำ ชวนคุยก็ไม่คุย มันอึดอัดมาก เราอุตส่านั่งรถทัวร์ไปหา เพียงเพื่อถูกบอกเลิกและการเฉยชา พอเถอะครับเรื่องนี้นานมากแล้ว จขกท. กลัวจะเป็นแบบนั้น เวลาใกล้ออกเดินทาง จขกท.สะพายกระเป๋าลงมาจากที่พัก ก็เดินสวนกับน้องที่ทำงาน มันก็เลยแซวว่า ...เอ้าเฮียจะไปเที่ยวไหนอีกแล้วเนี่ย แต่หน้าเหมือนไม่ใช่คนจะไปเที่ยวไหนเลย (ก็อมทุกข์ซะขนาดนั้น) ก็เลยเล่าเรื่องคราวๆให้น้องมันฟัง คือตอนนั้นแบบ...อยากระบายมากความอัดอั้นในใจมาก...กับคนที่สนิทด้วยจริงๆ ว่าแล้วเราน้องๆที่ทำงาน ก็เลยยกขโยงทีมงานไปส่ง จขกท. ที่ท่ารถทัวร์ มันก็ทำให้ จขกท. มีกำลังใจบ้าง ช่างยุเสียจริงๆนะน้อง นั่งรถมาก็นานแสนนานกว่าจะถึง นอนก็นอนไม่หลับ จขกท. ล่วงหน้ามาก่อนเพราะมาเพิ่มเติมกับเขาที่หลัง เพื่อนเขาจองนั่งเครื่องกันมา มาถึงก็ไปรับเพื่อนที่สนามบิน (ทำไมต้องทำขนาดนั้นเลยวะ...) ระหว่างทางที่ขับรถไปที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง จขกท. ก็ทำเป็นเหมือนเดิม พูดคุยแล้วก็แซวเรื่องทิ้งกันไปมีแฟนก่อนบ้าง แต่ก็เผลอเผยอาการเศร้าเสียใจไปบ้าง เพื่อนคนนั้นจะจับอาการได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ จขกท. ก็บอกไป หลังจากนี้คงทำเหมือนอย่างเคยไม่ได้แล้ว คงต้องเปลี่ยนไป ใช่ครับตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว มองแววตาก็รู้ เพื่อนเขาพูดกับเราน้อยลง แซวนิดหน่อยก็ไม่ฮา มันดูตรึงๆ เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน สายธารแห่งกาลเวลาไม่เคยไหลย้อนกลับ ความรู้สึกคนมันเปลี่ยนไปแล้ว (ก็อ่านะ คบเป็นเพื่อนซะขนาดนี้ ไม่เคยแสดงท่าทีให้เขาเห็น แล้วใครเขาจะรู้ เขาก็ต้องคิดเป็นเพื่อนแบบนี้แหละ) จะว่าไปมันก็นานอยู่ที่ห่างหายกันไป ก็ต่างคนต่างทำงานต่างใช้ชีวิตของใครของมัน ที่จริงเรื่องนี้มันก็ทำให้ จขกท. เศร้าใจ ตั้งแต่วันแรกที่เจอเรื่องแล้ว คราวนี้ตอนที่พัก จขกท. พยายามทำตัวให้เหมือนเดิมแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เขากะแฟนเขาจะคุยอะไรกันว้า ทำไมไม่เป็นเราว้า คิดอย่างนี้ไม่ดีจริงๆ มันทำให้เราทำอะไรฟุ้งซ่านได้ แล้วก็จริง จขกท. คิดว่าถ้าอยู่ใกล้ๆเพื่อนคนนี้แล้ว จขกท. อาจพูดอะไร หรือถามอะไรที่มันโง่ๆ มันก็จะเสียเรื่องอีก ก็เลยออกมานั่งอยู่ที่ชานนอกบ้านคนเดียว เปิดเพลงฟังไป คิดโน้นคิดนี้ แล้วก็หยิบโทรศัพท์มาเล่นดูเรื่องราวต่างๆในโซเชียล แล้วก็เจอรูปคู่ เขาเจอกันตลอด เจอกันแถบจะทุกวัน เขาติดกันยิ่งกว่าแตงเม ในขณะนั้นก็จิตตกอยู่แล้ว เจอแบบนี้แล้วไปกันใหญ่ บรรยากาศมันก็เงียบช่างเป็นใจมากคนให้หมู่บ้านปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เสียงน้ำไหล เสียงจิ่งหรีดเรไร ความหนาวเย็นของธรรมชาติ แล้วก็เกิดเหตุการณ์นี้...
"รักนะ แต่ไม่แสดงออก"
เรื่องมีอยู่ว่า ต้องย้อนไปเรื่องบทเรียนความรักครั้งแรก จะด้วยความผิดพลาดความไม่ใส่ใจของ จขกท.เอง ความไม่เข้าใจกัน ระยะทาง อุปสักต่างๆ มันก็ทำให้ความรักครั้งนั้นจบไป ///ครั้งนั้นเนื่องจากว่าเราทำงานกันต่างสายอาชีพกัน ของเขาอยู่ในระดับที่มีฐานะดีกว่ามากโข คหสต. ของ จขกท. เองคนเดียวคิดว่าข้อนี้อาจอยู่ในเหตุผลที่ไปกันไม่ได้ มันเลยติดอยู่ในหัวว่า จะทำอย่างไรให้ จขกท.เองสามารถที่จะมีระดับฐานะให้ได้ดีเท่าๆแบบนั้นบ้าง (จขกท. มองในมุมของตัว จขกท. เอง ไม่เกี่ยวกับฐานะทางครอบครัว ประมาณด้วยลำแข้งของ จขกท. เองนะครับ) ซึ่งนั้นก็หมายความว่า จขกท. เองคงต้องเปลี่ยนแนวสายอาชีพ เพื่อให้มีฐานะที่ดีที่สุดเพื่อที่จะมาดูแลคนที่จะเข้ามาเป็นคู่ชีวิตเราได้ ครับ นั้นคือปณิธาน ของ จขกท. ที่ตั้งไว้ ซึ่งได้จากบทเรียนครั้งนั้น เมื่อเลิกก็มีจากลาแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ตัว จขกท. เองก็ยังเสียใจมาก ตามประสาคนถูกบอกเลิก และแล้วก็เริ่มมี "เธอ" เข้ามาในชีวิต เธอ เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที จขกท.ได้เริ่มพูดคุยกับ เธอ คนนี้ คุยกันบ่อยๆนานฯเข้า มันเหมือนมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว การถ่ายรูป พอสนิทกันมากขึ้น จขกท. ก็ชวนไปเที่ยวโน้นไปนี้กัน ไปกินข้าว ดูหนัง ตอนนั้นโคตรรู้สึกดี คุยกันได้ทุกเรื่องยิ่งเรื่องเที่ยวด้วยแล้ว ไปไหนด้วยกันบ่อยๆ เวลาเราต่างไปเที่ยวไหนกันเราก็จะส่งโปสการ์ดให้กัน จขกท.เพิ่งมาหัดเขียนโปสการ์ดก็เพราะเธอคนนี้แหละ หรือเธอกำลังสื่ออะไรกับเราบ้างอย่าง... แต่ด้วยปณิฐานของ จขกท.เอง ถ้ายังรู้สึกว่าตัวเราฐานะยังไม่ได้พอ คือ จขกท. มีเป้าหมายชีวิตใหม่ว่า ต้องเปลี่ยนสายอาชีพการทำงานให้ได้ จึงยังไม่ได้คบหาดูใจกับเธอคนนั้น คบกันไปแบบเพื่อนที่สนิท ไปไหนไปกันหมด เที่ยวไปทุกที่ อารมณ์คนโสด ไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่าเพื่อน เพราะ จขกท.จริงจังและวางตัวให้เหมาะสม ไม่เคยคิดเอาเปรียบผู้หญิง เราสองคนเคยกันพูดเล่นๆ ว่าอย่าเพิ่งหนีไปมีแฟนกันซะก่อนนะ ขอไปไหน มาไหนด้วยกันก่อน ซึ่งในใจ จขกท.เองก็คิดนะอยากมี เธอ เป็นแฟน (...หรือใจยังโลเลอยู่ เอาให้ดีๆ...) จขกท. เองคิดได้แค่นี้ ขอเป็นเพื่อนสนิทแบบนี้ไปก่อนนะ ถึงวันที่ จขกท.เอง สามารถสอบเปลี่ยนสายอาชีพสำเร็จแล้ว ก็จะขอคบกันเป็นแฟน นั้นคือสิ่งที่อยู่ในใจของ จขกท. ที่ไม่ได้แสดงออกมาให้ใครรู้
แต่แล้วประมาณ หกเดือนก่อนสอบเปลี่ยนสายอาชีพ จขกท. ทำตัวห่างกับเธอคนนี้ซะเอง เธอชวนไปเที่ยวไหนด้วยกันก็ไม่ไป และ จขกท. ก็ ไม่ได้ชวนไปไหนเหมือนกัน คุยกันก็น้อยลงทุกที ซึ่งก่อนหน้านี้ จขกท. ไปไหนมาไหนกับเพื่อนคนนี้บ่อยมาก ม๊ากมาก จขกท. เห็นว่า เดียวจะไม่มีเวลาเตรียมตัวสอบ เลยบอกเธอไป ว่าจะขอหยุดเที่ยวซักพักได้มั้ยขออ่านหนังสือเตรียมสอบก่อน (คือเที่ยวบ่อยจนพีคมากๆ เที่ยวเกือบทุกเดือน คิดทริปมาได้ตลอด อยากไปไหนละ จขกท. มีเธอเป็นเพื่อนร่วมทาง รู้สึกสบายใจมากเลยนะ) ว่าแล้วก็ไปตั้งใจอ่านหนังสือ ถึงขนาดพี่ที่ทำงาน สนิทกันชวนไปกินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ มาชวน ผมยังไม่ไปเลย พี่เขาก็ไม่ว่า เขารู้ว่า เพื่อให้สุขภาพดีที่สุดสำหรับการสอบ ช่วงนี้แหละครับ จขกท.ละเลยเพื่อนสนิท คนสำคัญคนนี้ไป ผมก็ อ่านหนังสือทำงานของผมไปไม่คิดอะไร ส่วนกับ เธอ คนนั้น ก็ยังมีคุยบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่าเมื่อก่อน ไม่ได้ชวนไปไหนมาไหน เจอกันก็แปปๆคุยกันน้อยลง จนช่วงก่อนสอบประมาณ 1 เดือน ยิ่งแทบไม่ได้คุยกันเลย เพราะยุ่งมาก ไหนจะอ่านหนังสือ ไหนจะเรื่องเดินเอกสารสมัครสอบอีก นั้นสิ ผมลืมอะไรไป... เรื่อยมาจนกระทั้งสอบรอบแรก ซึ่งเป็นการสอบที่เขาวัดกันที่ สติ ไอคิว ความถนัดทางวิชาชีพ ซึ่งผมสอบปีแรก เป็นไงละ สติสะตังหลุดหมด เป็นว่าสอบไม่ผ่านรอบแรก รอบสอง ที่อ่านๆมาไม่ต้องใช้แล้ว ผมเริ่มกลับไปมองหาเพื่อนคนนั้น คนที่ผมรู้สึกสนิทที่สุด แต่ปรากฎว่า ......เธอเริ่มมีรูปคู่ กับชายหนุ่มหน้าตาดี หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทั้งคู่ก็อัพสถานะ เป็นคบหากัน เอ้า!ก็เป็นแฟนกันแล้วนี้หว่า เฮ้ย คือ... คือ... แบบว่า ยังไงๆ ในหัว จขกท.เริ่มสับสน ทำอะไรไม่ถูกเลย เอ้า!!เพลงมา ...ไปเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไร เวลาตอนไหนเอาไปจีบกัน.... (จขกท.เป็นคนตลก) มันเป็นความรู้สึกช็อกอย่างแรง ก็เลยได้ลองคุยสอบถามกับเพื่อนคนนั้น ได้ความประมาณว่า
...เฮยไปเจอกันได้ไง ทำไมทิ้งกันไปมีแฟนซะก่อนละ(พูดติดเล่นๆ)...
...ก็แกทำตัวห่างฉันเองนิ... (อืมก็จริง)
...ก็ฉันอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ หลังๆ ยุ่งๆด้วยไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องเตรียมตัวสอบ ไหนจะเรื่องสมัครอีก... (ช่วงนั้นเหมือนงานเข้า จขกท. หนักมาก)
นั้นคือสาเหตุที่ห่างกัน แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ถ้าลึกๆแล้วคิดมีใจกับเขาแล้วทำไม ไม่ขอคบกันไปเลยจะรออะไร(จำไว้นะครับ รออะไร รออะไร) จขกท. ก็บอกไปว่า จขกท. ตั้งใจจะสอบเพื่อว่าถ้าสอบเปลี่ยนสายอาชีพแล้ว การงานจะได้มั่นคง มีรายได้เยอะๆ ไว้ดูแลคนที่จะอยู่ข้างๆ (เอาปณิธารของตัวเองมาตอบ) แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าคนข้างๆคนนั้นเป็นใคร พูดอ้อมๆ (ไอ้พวกปากไม่ตรงกับใจ สมน้ำหน้า) และเขาก็ตอบมาว่า
...ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงขนาดนั้นหลอกหรือป่าววะ บางทีผู้หญิงเขาไม่ต้องการเข้ามาตอนนั้น ฐานะมันร่วมกันสร้างขึ้นมาได้... (ไห้ตายเถอะ จขกท. สตันไปสิบวิ)
จขกท.ก็พูดอะไรไม่ถูกเลย แบบว่า จขกท.พลาดแล้ว เขาคิดได้ขนาดนี้เลย จะทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน จะสุขก็สุขด้วยกัน อนาคตมันร่วมกันสร้างได้ อืม.... จขกท.แค่อยากถมที่ดินให้มันแน่นก่อนก็เท่านั้นเอง พอดินมันอยู่ตัวแล้ว เดียวจะเชิญมาช่วยกันสร้างฐานราก ลงเสาเข็ม แน่นอน จขกท. ไม่รู้ตอนนั้นมันสับสันอะไร หรือยังไม่รู้ตัว ก็ชวนคุยเหมือนปกติ คุยเรื่องเที่ยว อารมณ์คนเพิ่งสอยเสร็จ และผิดหวังกับการสอบ นอยๆ (เธอไม่รู้ผมคิดยังไงกับเธอ จขกท. บอกเพียงไปว่ารู้สึกเสียใจที่ต่อไปนี้คง ทำอะไร หรือไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว) เขาก็บอกว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทำงาน ตอนนั้น จขกท. สับสนมาก บวกกับอารมคนหลังสอบเซ็งๆ นั้นแหละ ก็เลยขอไปด้วย (ไปเปลี่ยนแผนเขาหมดเลย) ว่าแล้ว จขกท.ก็จัดแจง ติดต่อเพื่อนสมัยเรียนมัถยมพอดีมันทำงานเกี่ยวกับท่องเที่ยวที่ ตจว. พอดี ก็เลยขอให้มันหารถเช่า กับที่พัก ช่วงนั้นเป็นเวลาบ่าย หลังจากประสานเรื่องทั้งหมดแล้ว(นี่แหละครับความสามารถพิเศษของ จขกท. การจักการด้านการท่องเที่ยว) หมดเรื่องให้ทำ คิดนูนคิดนี้ แล้วก็ได้คิดจนจิตตก ว่าทำไมๆ ทำไมมันเป็นแบบนั้น แบบนี้ แล้วที่เราไปกับเขาแบบนี้มันจะดีหลอ มันถูกหลอ ที่ได้ไปไหนด้วยกันอีก ซึ่งความจริงมันทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อก่อน เราไปไหนมาไหนด้วยกัน น่ะได้ ก็โสดอยู่ทั้งคู่ แต่ตอนนี้ อีกคนมีคู่ไปแล้วเขาก็ต้องไปอยู่กับคู่ของเขาสิ (แต่ก็ยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนไปด้วยนะ สมัยก่อนก็ไปกับแบบนี้แหละ มีผู้ชายที่ไว้ไใจได้ไปด้วยซะคนมันก็จะปลอดภัยขึ้น) แวบแรกคิดว่าจะยกเลิกรถเช่า ที่พักกับเพื่อนที่ต่างจังหวัด แต่จะยกเลิกก็ไม่ได้ จ่ายเงินจองไว้หมดแล้ว แล้วเราก็รับปากเขาไว้แล้ว คืออารมณ์ตอนนั้นมันอัดอั้นมาก ระหว่างนั้นพอดี เพื่อนมันก็ข้อความมาบอกเรื่องรถที่เช่าไว้ จขกท. ด้วยความอัดอั้นตันใจ เลยข้อความไปว่า ..."ไม่สบายใจวะ "... ..."อยากมีคนคุยด้วย ได้ระบายความในใจออกมาก็ยังดี"... มันบอกเออโทรมา...ว่าแล้วก็โทรหาทันที่ เล่าเรื่องทั่งหมดตั้งแต่พื้นความในตอนต้น มันก็เล่าเรื่องความรักแบบนาฬิกาทรายให้ จขกท.ฟังว่า ตอนที่ฝ่ายหนึ่งเขามีใจทุ่มความรักให้อย่างเต็มที่นั้น ตอนนั้นอีกฝ่าย(ฝ่าย จขกท.) ยังไม่คิดอะไรถึงเรื่องความรัก หรือยังไม่ทันสังเกตก็เถอะ แต่พอฝ่าย จขกท. คิดได้ และคิดจะมีความรักตอบไป อีกฝ่ายหนึ่งเขาก็หมดรักไปแล้ว แล้วการที่ จขกท. ทำแบบนี้ มันจะเสียโอกาสดีๆไป ฐานะมันร่วมกันสร้างได้ บางทีฝ่ายหญิงเขาไม่ได้เข้ามาเพื่อรอให้ถึงวันที่ จขกท. ทำสำเร็จ แล้ว จขกท.เป็นฝ่ายเลือกเขานะ บางที่ฝ่ายหญิงเขาอาจจะเข้ามาตั้งแต่วันที่แกไม่พร้อม และร่วมสร้างกันไป เขาไม่รอให้ถึงวันนั่นแล้วให้แกเลือกเขาหลอ (เหมือนแป๊ะ เหมือนประมาณที่เพื่อนคนนั้นพูดเลย) ผู้หญิงเขาก็มีสิทธิที่จะเลือกของเขาถ้าเขาเห็นว่ายังไง ถ้ารอ จขกท. มันก็ดูเรือนราง มันไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้ว่าถ้าถึงวันนั้นแล้ว จขกท. จะมีใจให้ มันไม่มีอะไรมารับประกันได้ เขาก็ต้องทำ เพื่อปกป้องตัวเขาเอง แล้วก็บอกว่า เวลามันเดินเป็นเส้นตรงนะ ไม่ได้เดินวน เหมือนกับที่แขวนอยู่บนผนัง เพราะฉะนั่นมันย้อนกลับมาแก้ไขไม่ได้ เข้าใจอย่างนี้แล้วก็ให้มันเป็นบทเรียนชีวิตละกัน ผ่านมาผ่านไป จขกท. ก็พอเข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าแล้วก็ทำใจ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เพราะลึกๆก็กลัว ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม คือเคยไงวันที่เลิกกับแฟนคนแรก ผมไปหาเขาที่ ตจว. จขกท.เองนะความรู้สึกยังไงก็เหมือนเดิม แต่เขาละจะรู้สึกอย่างไร ระหว่างทางที่นั่งรถไปเที่ยวกัน มันตรึงมา เขาไม่คุยกับเราเลย เงียบ ถามคำตอบคำ ชวนคุยก็ไม่คุย มันอึดอัดมาก เราอุตส่านั่งรถทัวร์ไปหา เพียงเพื่อถูกบอกเลิกและการเฉยชา พอเถอะครับเรื่องนี้นานมากแล้ว จขกท. กลัวจะเป็นแบบนั้น เวลาใกล้ออกเดินทาง จขกท.สะพายกระเป๋าลงมาจากที่พัก ก็เดินสวนกับน้องที่ทำงาน มันก็เลยแซวว่า ...เอ้าเฮียจะไปเที่ยวไหนอีกแล้วเนี่ย แต่หน้าเหมือนไม่ใช่คนจะไปเที่ยวไหนเลย (ก็อมทุกข์ซะขนาดนั้น) ก็เลยเล่าเรื่องคราวๆให้น้องมันฟัง คือตอนนั้นแบบ...อยากระบายมากความอัดอั้นในใจมาก...กับคนที่สนิทด้วยจริงๆ ว่าแล้วเราน้องๆที่ทำงาน ก็เลยยกขโยงทีมงานไปส่ง จขกท. ที่ท่ารถทัวร์ มันก็ทำให้ จขกท. มีกำลังใจบ้าง ช่างยุเสียจริงๆนะน้อง นั่งรถมาก็นานแสนนานกว่าจะถึง นอนก็นอนไม่หลับ จขกท. ล่วงหน้ามาก่อนเพราะมาเพิ่มเติมกับเขาที่หลัง เพื่อนเขาจองนั่งเครื่องกันมา มาถึงก็ไปรับเพื่อนที่สนามบิน (ทำไมต้องทำขนาดนั้นเลยวะ...) ระหว่างทางที่ขับรถไปที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง จขกท. ก็ทำเป็นเหมือนเดิม พูดคุยแล้วก็แซวเรื่องทิ้งกันไปมีแฟนก่อนบ้าง แต่ก็เผลอเผยอาการเศร้าเสียใจไปบ้าง เพื่อนคนนั้นจะจับอาการได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ จขกท. ก็บอกไป หลังจากนี้คงทำเหมือนอย่างเคยไม่ได้แล้ว คงต้องเปลี่ยนไป ใช่ครับตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว มองแววตาก็รู้ เพื่อนเขาพูดกับเราน้อยลง แซวนิดหน่อยก็ไม่ฮา มันดูตรึงๆ เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน สายธารแห่งกาลเวลาไม่เคยไหลย้อนกลับ ความรู้สึกคนมันเปลี่ยนไปแล้ว (ก็อ่านะ คบเป็นเพื่อนซะขนาดนี้ ไม่เคยแสดงท่าทีให้เขาเห็น แล้วใครเขาจะรู้ เขาก็ต้องคิดเป็นเพื่อนแบบนี้แหละ) จะว่าไปมันก็นานอยู่ที่ห่างหายกันไป ก็ต่างคนต่างทำงานต่างใช้ชีวิตของใครของมัน ที่จริงเรื่องนี้มันก็ทำให้ จขกท. เศร้าใจ ตั้งแต่วันแรกที่เจอเรื่องแล้ว คราวนี้ตอนที่พัก จขกท. พยายามทำตัวให้เหมือนเดิมแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เขากะแฟนเขาจะคุยอะไรกันว้า ทำไมไม่เป็นเราว้า คิดอย่างนี้ไม่ดีจริงๆ มันทำให้เราทำอะไรฟุ้งซ่านได้ แล้วก็จริง จขกท. คิดว่าถ้าอยู่ใกล้ๆเพื่อนคนนี้แล้ว จขกท. อาจพูดอะไร หรือถามอะไรที่มันโง่ๆ มันก็จะเสียเรื่องอีก ก็เลยออกมานั่งอยู่ที่ชานนอกบ้านคนเดียว เปิดเพลงฟังไป คิดโน้นคิดนี้ แล้วก็หยิบโทรศัพท์มาเล่นดูเรื่องราวต่างๆในโซเชียล แล้วก็เจอรูปคู่ เขาเจอกันตลอด เจอกันแถบจะทุกวัน เขาติดกันยิ่งกว่าแตงเม ในขณะนั้นก็จิตตกอยู่แล้ว เจอแบบนี้แล้วไปกันใหญ่ บรรยากาศมันก็เงียบช่างเป็นใจมากคนให้หมู่บ้านปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เสียงน้ำไหล เสียงจิ่งหรีดเรไร ความหนาวเย็นของธรรมชาติ แล้วก็เกิดเหตุการณ์นี้...