สวัสดีพี่ๆทุกคนที่อยู่ที่นี้นะครับ...ผมมีปัญหาชีวิตอยากจะรบกวนให้พี่ๆได้ออกความคิดเห็นให้กับผมหน่อยครับ เพราะผมไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครที่ไหนแล้วจริงๆครับ
เรื่องราวมีอยู่ว่า ย้อนกลับเมื่อสามปีก่อน พ.ศ.2556 ผมได้มีแฟนคนนึงแล้วแฟนผมก็ตั้งท้องขึ้นมา ตอนนั้นผมอายุ 19 และแฟนผมอายุ 22 จากนั้นไม่กี่วันทางครอบครัวทั้งผมและแฟนก็รู้เรื่องทั้งหมด ครอบครัวของทางแฟนผมก็ได้บอกวันที่จะต้องพูดคุยกันว่าจะตกลงกันยังไงกับทางครอบครัวผม พอถึงวันนัดผมก็พาแม่กับยายไปคุยกันที่บ้านของเขา(พ่อกับแม่ของผมแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมเลยอยู่กับแม่และยายมาโดยตลอดครับ)พอได้คุยตกลงกัน พ่อแม่ของแฟนผมอยากให้ครอบครัวผมจัดการแต่งงานแต่งงานให้กับลูกสาวเขาให้เรียบร้อย ค่าสินสอดคือเงินหนึ่งแสนบาท ทองหนึ่งบาท และอาหารเครื่องดื่มเหล้าเบียร์ต่างๆ ต้องเต็มที่เพราะพ่อแม่ของแฟนผมเขาบอกว่าเขาเชื้อสายส่วยเรื่องอาหารการกินภายในงานจะต้องดีๆหน่อย แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ครอบครัวผมฐานะค่อนข้างยากจนครับ คงมีให้พวกเขาไม่พอแน่ แม่ผมเลยบอกกับทางฝั่งพ่อแม่แฟนของผมว่า ขอลดเป็นสักห้าหรือหกหมื่นได้ไหม แสนนึงทางเรามีไม่ถึงจริงๆไหนๆเด็กมันก็มีลูกมีเต้าด้วยกันแล้ว จำนวนที่ขอลดยังต้องกะจะขอยืมจากญาติพี่น้องเผื่อเขาจะช่วยด้วยซ้ำ ทางพ่อแม่ของแฟนผมก็ตอบกลับมาว่าไม่ได้หรอกก็ต้องแสนนึงนั้นและถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากพ่อแม่ของแฟนผม เขาบอกว่าเรื่องเงินถ้ายังไม่มีก็ให้หามา หามาได้เมื่อไหร่ค่อยมาแต่งก็ได้ แต่ต้องเซ็นสัญญากันก่อน ว่าแล้วเขาก็บอกผู้ใหญ่บ้านที่เขาพามาด้วยกันเปิดสมุดที่เขาได้ร่างสัญญากันเอาไว้แล้ว ประมาณว่าครอบครัวผมจะต้องจ่ายเท่านี้ๆตามที่ตกลงกันไว้โดยให้ทั้งผม แม่และยายผมเซ็นทั้งหมดทุกคน โดยก่อนที่แม่ผมจะเซ็นก็ได้บอกกับเขาว่าเซ็นแล้วก็อย่าเร่งรัดเด็กๆมันนะ มันพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้มันทำงานหามาแต่งกันเอง ถ้ามันรักกันชอบกันจริงๆสักวันจะต้องได้มาแต่งแน่ ทางฝ่ายพ่อแม่ของแฟนผมก็บอกว่าไม่เร่งรัดอะไรหรอก เซ็นๆกันก่อนเถอะ พอจบจากวันนั้นผมก็ดำเนินชีวิตปกติทำงานหาเงินมาได้ก็เอามาซื้อของใช้ที่จำเป็นต่างๆหรืออาหารการกินดูแลแฟนผมที่กำลังตั้งท้องอยู่ ผมเคยถามกับแฟนผมว่าทำไมไม่มาอยู่ด้วยกันที่บ้านผมเลย ผมยังไม่ได้แต่งให้พ่อแม่เขาแต่เป็นผัวเมียกันแล้วน่าจะมาอยู่ที่บ้านผมให้ผมดูแลดีกว่าแทนที่จะให้ผมอยู่กับเขาที่บ้านของเขา ทางแฟนผมก็ได้ตอบกลับมาว่าก็ให้ผมมาแต่งเขาให้เสร็จสิเขาจะได้มาอยู่กับผมที่บ้านได้ พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะในใจก็คิดว่าเราคงไม่ดีพอที่จะทำให้เขาได้ เป็นอยู่อย่างนี้จนกระทั่งลูกผมคลอด ผมดีใจมากที่รู้สึกว่าการได้เป็นพ่อคนมันรู้สึกดียังไง พอลูกคลอดมาแล้วผมกับแฟนก็ช่วยกันเลี้ยงลูกตามปกติ ค่าใช้จ่ายที่มีเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ลูกคลอดออกมา รายได้ต่อวันของผมก็แทบไม่เหลือ แต่พวกเราก็อยู่กันได้แม้มันลำบากน่อยแต่ก็อยู่กันได้ เวลาผ่านจนลูกผมได้สี่เดือน ทางฝั่งพ่อแม่ของแฟนผมก็ได้มาพูดคุยกับแม่ผมที่บ้าน มาพูดว่าทำนาข้าวเสร็จปีนี้แล้วก็น่าจะมีเงินค่าสินสอดได้แล้ว ให้มาทำให้เสร็จกันภายในสิ้นปีนี้(ที่นาผมก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนะครับแต่ละปีได้แค่ข้าวเก็บไว้กินในครอบครัวเท่านั้นเอง)แม่ผมถามว่าอ่าวทำไมเร็วจัง เด็กๆมันยังไม่ได้ไปไหนกันเลย เขาก็บอกว่ามันนานแล้ว แม่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง พอทำนาเสร็จก็ไม่เหลือเงินพอที่จะทำอะไรตามที่ตกลงกับเขาไว้เลย เพราะว่าข้าวราคาต่ำขาดทุนเสียด้วยซ้ำ พอจากวันนั้นพ่อแม่ของแฟนผมก็คอยมาเร่งรัดครอบครัวผมเป็นระยะ แม่กับยายผมก็คิดมาก เพราโดนเขามาเร่งรัดบ้าง ต่อว่าบ้าง ดูถูกบ้างเรื่อยมา ผมก็ได้แต่สงสารแกเพราะว่าแกก็แก่แล้ว จนถึงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วผมกับแม่และยายก็ต้องขึ้นบ้านผู้ใหญ่บ้านอีกเพราะพ่อแม่ของแฟนผมได้ไปร้องเรียนกับผู้ใหญ่บ้านว่าครอบครัวผมไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรให้เขาเลย ผู้ใหญ่บ้านก็ซักถามผมว่าทำไมไม่มาทำให้เสร็จๆนี่มันก็นานแล้วนะผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงได้แต่บอกว่าผมยังไม่มีด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนกับม่านน้ำตาที่มันไหลลงมาคลอในเบ้าตาของผมในเวลาที่ครอบครัวตัวเองเหมือนโดนรุมทึ้งอยู่ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมด้ยินกับคำว่าตกลงกันไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่งจากปากของพ่อแม่ของแฟนผม บทสรุปจากการที่เราคุยกันในวันนั้นคือทางฝ่ายพ่อแม่ของแฟนผมยอมลดค่าสินสอดจากหนึ่งแสนเหลือห้าหมื่น นอกนั้นก็เหมือนเดิมกับที่ตกลงไว้ในตอนแรก วันต่อมาผมตัดสินใจขึ้นกรุงเทพมาหางานทำกับแฟนของผม ลาออกจากงานที่เคยทำเข้ามาในเมืองเพื่อที่มันจะมีรายได้ที่ดีกว่า โดยปล่อยให้ลูกอยู่กับพ่อแม่ของแฟนผม แต่อยู่กันได้แค่สองเดือนกว่าก็ต้องตัดสินใจกลับบ้านกันเพราะได้ข่าวว่าทางพ่อแม่ของแฟนผมเลี้ยงลูกเราไม่ดีพอ ไม่เอาใจใส่ ทิ้งๆ ขว้างๆ ปล่อยให้หลานตัวเองที่อยู่บ้านด้วยกันดูซะมากกว่าและหลานคนนั้นก็ชอบตะคอกใส่ลูกผมเวลาเขางอแงและก็ปล่อยให้ร้องอยู่อย่างนั้นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆกันได้โทรมาบอกผม และผมได้อยู่บ้านหลังนั้นจนรู้ว่าพ่อแม่ของแฟนผมมีนิสัยชอบดื่มเหล้าเมายา ชอบตีสนิทกับข้าราชการแล้วพาเขามานั่งดื่มเหล้าเฮฮากันที่บ้าน ตกเย็นมากลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่เต็มไปหมด ที่มีที่ดินเหมาะๆทำกิน ตัดไม้โตๆจากในป่ามาสร้างบ้านได้ก็เพราะเขามีนิสัยที่ชอบเข้าหาข้าราชการแบบนี้แหละครับ ผมกับแฟนด้วยความที่เราดูแลเลี้ยงดูลูกเองมาตั้งแต่แรกพอรู้ตัวว่าเขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็ไม่คิดที่จะทำงานเก็บเงินเลย เก็บเสื้อผ้าเดินทางกลับบ้านหาลูกเพื่อดูแลเขาอย่างเดิมดีกว่า ส่วนผมก็จะหางานทำแถวบ้านแม้รู้ดีว่ารายได้มันไม่พอที่ทำให้ผมได้มีเงินเก็บ แต่ก็ยังอุ่นใจที่เราได้อยู่บ้านได้อยู่กับลูก ระยะเวลาที่ผมทำงานอยู่กรุงเทพ ทุกวันหลังเลิกงานต้องกลับมานั่งคิดเรื่องลูกเรื่องครอบครัวอยู่เสมอ มันไม่มีความสุขเลย ก็ได้แต่วังว่าถ้าทางฝ่ายของพ่อแม่แฟนได้รับรู้ว่าเราทั้งสองรักที่จะดูแลกันจริงๆก็หวังให้เขาได้เห็นใจผม ให้โอกาศผมในวันที่ผมพร้อมจริงๆผมจะทำให้ดีกว่านี้ ผมมีเมียคนเดียวในชีวิตยังไงเรื่องแต่งงานนั้นผมคิดไว้แน่นอน..... จนมาถึงวันนี้พวกเขาก็ได้นำพาครอบครัวของผมขึ้นบ้านผู้ใหญ่บ้านคนเดิมอีกครั้ง ก็เจอกับคำถามเดิมๆ มีแต่คำถามว่าทำไม ทำไมเต็มไปหมด และในเวลานั้นผมก็ฉุดคิดขึ้นได้ว่า... แล้วทำไม ผมกับครอบครัวผมถึงได้มานั่งตอบคำถามที่คนเหล่านี้คอยถามผม พวกผมไม่ได้มีหน้าที่มาทำตามความอยากของคนอื่นด้วยซ้ำ ผมไม่ใช่ขี้ข้าใคร ไม่ใช่คนผิดหรือว่าข่มขืนใครที่ไหนมา เรามีให้เขาเท่านี้แต่ว่าเขาไม่พอใจที่จะรับมันก็น่าจะปล่อยพวกเขาไม่ต้องสนใจแล้ว ตลอดเวลาที่ผมยังอยู่ดูแลกันกับแฟนผมได้ก็เพราะทางครอบครัวผมต้องยอมรับปากทำตามความอยากของคนอื่นเสมอเพื่อให้พวกเขาสบายใจ แต่การที่เรายอมรับทำตามความอยากของคนอื่น สุดท้าย มันก็เกินตัวเราแล้วเราก็ทำมันไม่ไหว เลยเป็นเหตุให้คนเหล่านั้นมาพูดถึงครอบครัวผมได้เสมอ ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันมีแต่ความโกรธแค้น เกลียดชัง ให้กับใครก็ตามที่กำลังมารังแกครอบครัวของผม..... เรื่องที่พ่อแม่ของแฟนผมร้องเรียนล่าสุดคือพวกเขาจะเขียนนังสือให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะขอความเป็นธรรมให้กับลูกสาว เพื่อที่จะนำเรื่องขึ้นศาล ผมไม่รู้จะทำอะไรแล้วจริงๆ ใจนึงก็คิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงคงไม่ต้องกลัว แต่อีกใจนึงก็นึกกลัวเมื่อได้เห็นว่าคนในสังคมตรงนี้ มีแต่คนที่คอยเข้าข้างคนพวกนั้นอยู่เสมอไป
เรื่องเศร้าของผม
เรื่องราวมีอยู่ว่า ย้อนกลับเมื่อสามปีก่อน พ.ศ.2556 ผมได้มีแฟนคนนึงแล้วแฟนผมก็ตั้งท้องขึ้นมา ตอนนั้นผมอายุ 19 และแฟนผมอายุ 22 จากนั้นไม่กี่วันทางครอบครัวทั้งผมและแฟนก็รู้เรื่องทั้งหมด ครอบครัวของทางแฟนผมก็ได้บอกวันที่จะต้องพูดคุยกันว่าจะตกลงกันยังไงกับทางครอบครัวผม พอถึงวันนัดผมก็พาแม่กับยายไปคุยกันที่บ้านของเขา(พ่อกับแม่ของผมแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมเลยอยู่กับแม่และยายมาโดยตลอดครับ)พอได้คุยตกลงกัน พ่อแม่ของแฟนผมอยากให้ครอบครัวผมจัดการแต่งงานแต่งงานให้กับลูกสาวเขาให้เรียบร้อย ค่าสินสอดคือเงินหนึ่งแสนบาท ทองหนึ่งบาท และอาหารเครื่องดื่มเหล้าเบียร์ต่างๆ ต้องเต็มที่เพราะพ่อแม่ของแฟนผมเขาบอกว่าเขาเชื้อสายส่วยเรื่องอาหารการกินภายในงานจะต้องดีๆหน่อย แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ครอบครัวผมฐานะค่อนข้างยากจนครับ คงมีให้พวกเขาไม่พอแน่ แม่ผมเลยบอกกับทางฝั่งพ่อแม่แฟนของผมว่า ขอลดเป็นสักห้าหรือหกหมื่นได้ไหม แสนนึงทางเรามีไม่ถึงจริงๆไหนๆเด็กมันก็มีลูกมีเต้าด้วยกันแล้ว จำนวนที่ขอลดยังต้องกะจะขอยืมจากญาติพี่น้องเผื่อเขาจะช่วยด้วยซ้ำ ทางพ่อแม่ของแฟนผมก็ตอบกลับมาว่าไม่ได้หรอกก็ต้องแสนนึงนั้นและถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากพ่อแม่ของแฟนผม เขาบอกว่าเรื่องเงินถ้ายังไม่มีก็ให้หามา หามาได้เมื่อไหร่ค่อยมาแต่งก็ได้ แต่ต้องเซ็นสัญญากันก่อน ว่าแล้วเขาก็บอกผู้ใหญ่บ้านที่เขาพามาด้วยกันเปิดสมุดที่เขาได้ร่างสัญญากันเอาไว้แล้ว ประมาณว่าครอบครัวผมจะต้องจ่ายเท่านี้ๆตามที่ตกลงกันไว้โดยให้ทั้งผม แม่และยายผมเซ็นทั้งหมดทุกคน โดยก่อนที่แม่ผมจะเซ็นก็ได้บอกกับเขาว่าเซ็นแล้วก็อย่าเร่งรัดเด็กๆมันนะ มันพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้มันทำงานหามาแต่งกันเอง ถ้ามันรักกันชอบกันจริงๆสักวันจะต้องได้มาแต่งแน่ ทางฝ่ายพ่อแม่ของแฟนผมก็บอกว่าไม่เร่งรัดอะไรหรอก เซ็นๆกันก่อนเถอะ พอจบจากวันนั้นผมก็ดำเนินชีวิตปกติทำงานหาเงินมาได้ก็เอามาซื้อของใช้ที่จำเป็นต่างๆหรืออาหารการกินดูแลแฟนผมที่กำลังตั้งท้องอยู่ ผมเคยถามกับแฟนผมว่าทำไมไม่มาอยู่ด้วยกันที่บ้านผมเลย ผมยังไม่ได้แต่งให้พ่อแม่เขาแต่เป็นผัวเมียกันแล้วน่าจะมาอยู่ที่บ้านผมให้ผมดูแลดีกว่าแทนที่จะให้ผมอยู่กับเขาที่บ้านของเขา ทางแฟนผมก็ได้ตอบกลับมาว่าก็ให้ผมมาแต่งเขาให้เสร็จสิเขาจะได้มาอยู่กับผมที่บ้านได้ พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะในใจก็คิดว่าเราคงไม่ดีพอที่จะทำให้เขาได้ เป็นอยู่อย่างนี้จนกระทั่งลูกผมคลอด ผมดีใจมากที่รู้สึกว่าการได้เป็นพ่อคนมันรู้สึกดียังไง พอลูกคลอดมาแล้วผมกับแฟนก็ช่วยกันเลี้ยงลูกตามปกติ ค่าใช้จ่ายที่มีเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ลูกคลอดออกมา รายได้ต่อวันของผมก็แทบไม่เหลือ แต่พวกเราก็อยู่กันได้แม้มันลำบากน่อยแต่ก็อยู่กันได้ เวลาผ่านจนลูกผมได้สี่เดือน ทางฝั่งพ่อแม่ของแฟนผมก็ได้มาพูดคุยกับแม่ผมที่บ้าน มาพูดว่าทำนาข้าวเสร็จปีนี้แล้วก็น่าจะมีเงินค่าสินสอดได้แล้ว ให้มาทำให้เสร็จกันภายในสิ้นปีนี้(ที่นาผมก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนะครับแต่ละปีได้แค่ข้าวเก็บไว้กินในครอบครัวเท่านั้นเอง)แม่ผมถามว่าอ่าวทำไมเร็วจัง เด็กๆมันยังไม่ได้ไปไหนกันเลย เขาก็บอกว่ามันนานแล้ว แม่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง พอทำนาเสร็จก็ไม่เหลือเงินพอที่จะทำอะไรตามที่ตกลงกับเขาไว้เลย เพราะว่าข้าวราคาต่ำขาดทุนเสียด้วยซ้ำ พอจากวันนั้นพ่อแม่ของแฟนผมก็คอยมาเร่งรัดครอบครัวผมเป็นระยะ แม่กับยายผมก็คิดมาก เพราโดนเขามาเร่งรัดบ้าง ต่อว่าบ้าง ดูถูกบ้างเรื่อยมา ผมก็ได้แต่สงสารแกเพราะว่าแกก็แก่แล้ว จนถึงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วผมกับแม่และยายก็ต้องขึ้นบ้านผู้ใหญ่บ้านอีกเพราะพ่อแม่ของแฟนผมได้ไปร้องเรียนกับผู้ใหญ่บ้านว่าครอบครัวผมไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรให้เขาเลย ผู้ใหญ่บ้านก็ซักถามผมว่าทำไมไม่มาทำให้เสร็จๆนี่มันก็นานแล้วนะผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงได้แต่บอกว่าผมยังไม่มีด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนกับม่านน้ำตาที่มันไหลลงมาคลอในเบ้าตาของผมในเวลาที่ครอบครัวตัวเองเหมือนโดนรุมทึ้งอยู่ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมด้ยินกับคำว่าตกลงกันไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่งจากปากของพ่อแม่ของแฟนผม บทสรุปจากการที่เราคุยกันในวันนั้นคือทางฝ่ายพ่อแม่ของแฟนผมยอมลดค่าสินสอดจากหนึ่งแสนเหลือห้าหมื่น นอกนั้นก็เหมือนเดิมกับที่ตกลงไว้ในตอนแรก วันต่อมาผมตัดสินใจขึ้นกรุงเทพมาหางานทำกับแฟนของผม ลาออกจากงานที่เคยทำเข้ามาในเมืองเพื่อที่มันจะมีรายได้ที่ดีกว่า โดยปล่อยให้ลูกอยู่กับพ่อแม่ของแฟนผม แต่อยู่กันได้แค่สองเดือนกว่าก็ต้องตัดสินใจกลับบ้านกันเพราะได้ข่าวว่าทางพ่อแม่ของแฟนผมเลี้ยงลูกเราไม่ดีพอ ไม่เอาใจใส่ ทิ้งๆ ขว้างๆ ปล่อยให้หลานตัวเองที่อยู่บ้านด้วยกันดูซะมากกว่าและหลานคนนั้นก็ชอบตะคอกใส่ลูกผมเวลาเขางอแงและก็ปล่อยให้ร้องอยู่อย่างนั้นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆกันได้โทรมาบอกผม และผมได้อยู่บ้านหลังนั้นจนรู้ว่าพ่อแม่ของแฟนผมมีนิสัยชอบดื่มเหล้าเมายา ชอบตีสนิทกับข้าราชการแล้วพาเขามานั่งดื่มเหล้าเฮฮากันที่บ้าน ตกเย็นมากลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่เต็มไปหมด ที่มีที่ดินเหมาะๆทำกิน ตัดไม้โตๆจากในป่ามาสร้างบ้านได้ก็เพราะเขามีนิสัยที่ชอบเข้าหาข้าราชการแบบนี้แหละครับ ผมกับแฟนด้วยความที่เราดูแลเลี้ยงดูลูกเองมาตั้งแต่แรกพอรู้ตัวว่าเขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็ไม่คิดที่จะทำงานเก็บเงินเลย เก็บเสื้อผ้าเดินทางกลับบ้านหาลูกเพื่อดูแลเขาอย่างเดิมดีกว่า ส่วนผมก็จะหางานทำแถวบ้านแม้รู้ดีว่ารายได้มันไม่พอที่ทำให้ผมได้มีเงินเก็บ แต่ก็ยังอุ่นใจที่เราได้อยู่บ้านได้อยู่กับลูก ระยะเวลาที่ผมทำงานอยู่กรุงเทพ ทุกวันหลังเลิกงานต้องกลับมานั่งคิดเรื่องลูกเรื่องครอบครัวอยู่เสมอ มันไม่มีความสุขเลย ก็ได้แต่วังว่าถ้าทางฝ่ายของพ่อแม่แฟนได้รับรู้ว่าเราทั้งสองรักที่จะดูแลกันจริงๆก็หวังให้เขาได้เห็นใจผม ให้โอกาศผมในวันที่ผมพร้อมจริงๆผมจะทำให้ดีกว่านี้ ผมมีเมียคนเดียวในชีวิตยังไงเรื่องแต่งงานนั้นผมคิดไว้แน่นอน..... จนมาถึงวันนี้พวกเขาก็ได้นำพาครอบครัวของผมขึ้นบ้านผู้ใหญ่บ้านคนเดิมอีกครั้ง ก็เจอกับคำถามเดิมๆ มีแต่คำถามว่าทำไม ทำไมเต็มไปหมด และในเวลานั้นผมก็ฉุดคิดขึ้นได้ว่า... แล้วทำไม ผมกับครอบครัวผมถึงได้มานั่งตอบคำถามที่คนเหล่านี้คอยถามผม พวกผมไม่ได้มีหน้าที่มาทำตามความอยากของคนอื่นด้วยซ้ำ ผมไม่ใช่ขี้ข้าใคร ไม่ใช่คนผิดหรือว่าข่มขืนใครที่ไหนมา เรามีให้เขาเท่านี้แต่ว่าเขาไม่พอใจที่จะรับมันก็น่าจะปล่อยพวกเขาไม่ต้องสนใจแล้ว ตลอดเวลาที่ผมยังอยู่ดูแลกันกับแฟนผมได้ก็เพราะทางครอบครัวผมต้องยอมรับปากทำตามความอยากของคนอื่นเสมอเพื่อให้พวกเขาสบายใจ แต่การที่เรายอมรับทำตามความอยากของคนอื่น สุดท้าย มันก็เกินตัวเราแล้วเราก็ทำมันไม่ไหว เลยเป็นเหตุให้คนเหล่านั้นมาพูดถึงครอบครัวผมได้เสมอ ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันมีแต่ความโกรธแค้น เกลียดชัง ให้กับใครก็ตามที่กำลังมารังแกครอบครัวของผม..... เรื่องที่พ่อแม่ของแฟนผมร้องเรียนล่าสุดคือพวกเขาจะเขียนนังสือให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะขอความเป็นธรรมให้กับลูกสาว เพื่อที่จะนำเรื่องขึ้นศาล ผมไม่รู้จะทำอะไรแล้วจริงๆ ใจนึงก็คิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงคงไม่ต้องกลัว แต่อีกใจนึงก็นึกกลัวเมื่อได้เห็นว่าคนในสังคมตรงนี้ มีแต่คนที่คอยเข้าข้างคนพวกนั้นอยู่เสมอไป