พี่น้องเสื้อแดงว่าไง โอ๊ค เอม เลี่ยงภาษี ศาลอาญาตัดสินเนื่องจากทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท (By Identity Idea)

กระทู้คำถาม
จากกรณ๊ซุกหุ้น และขายหุ้น เสื้อแดงว่าไง ปกป้องมาเป็นสิบปี เวลา คอป บอกว่าต้นเหตุความขัดแย้งเริ่มจาก คดีซุกหุ้น คางคก ก็ไม่ยอมเพราะกล่าวหานาย แล้วไงตอนนี้ รัฐเสียหาย 1.5 หมื่นล้านบาท โอ๊ค เอม ไม่โดนคดี คนโดนคดีคือ รมช. คลัง


        ไมค์แพงยังด่า เพระรัฐสูญเสียงบ ประเทศเสียหาย กล้องแพงเราก็ด่ากัน  อะไรแพงหรือทำให้รัฐเสียหาย เราก็ควรด่าว่าพวกนี้  อิอิ  แหมมีคนแบบนี้สังคมอยู่ยาก

  

      

ที่มาข่าว http://hilight.kapook.com/view/140083
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 28
ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก  กระทู้นี้ถูกลบโดยระบบอัตโนมัติทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศการสนทนา ของเพื่อนสมาชิกโดยรวมค่ะ

ความคิดเห็นนี้ได้ถูก ppantip.com ลบออกไปจากระบบแล้ว หากเนื้อหาที่ถูกลบยังคงถูกนำไปแสดงใน application หรือเว็บไซต์ใดๆ ทาง ppantip.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆด้วย การดำเนินการทางกฎหมายกรุณาติดต่อผู้พัฒนา application หรือเว็บไซต์นั้นๆโดยตรงค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
“เบญจา” เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวพันกับคดีหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ปฯ) ในฐานะอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ตอนนั้นทำหน้าที่ให้บริการตอบข้อหารือผู้เสียภาษี แต่เป็นประเด็นขึ้นมา คือ “เบญจา” ตอบข้อหารือ กรณีซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ว่า “ไม่ต้องเสียภาษี” จึงกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างแดน กลายเป็นปมจุดประเด็นความขัดแย้งอื่นๆตามมามากมาย
เวลาผ่านมา 5 ปี “เบญจา” ยังยืนยันในหลักการที่เธอวินิจฉัย กรณีซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ก่อนที่คดีนี้จะหมดอายุความในวันที่ 31 มีนาคม 2555 อธิบดีกรมสรรพากรออกมายืนยันซ้ำอีกครั้งว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ต้องเสียภาษี” (อ่านเพิ่ม “ปิดตำนานซุกหุ้นชินคอร์ป สรรพากรยุติบี้ภาษีครอบครัว “ทักษิณ ชินวัตร” – “แก้วสรร” คาใจต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล”) สำหรับ “เบญจา” แล้วเธอคิดอย่างไร ถึงได้กล้าตัดสินใจลงนามในหนังสือตอบข้อหารือฉบับนั้น
เธอเล่าว่า “เรื่องหุ้นมันต้องมีเจ้าของแน่นอน ถ้าจะถามเรื่องนี้ คงต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเล่นการเมืองได้โอนหุ้นให้กับบริษัท แอมเพิลริช จากนั้นแอมเพิลริชขายหุ้นให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร (โอ๊ค-เอม) บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และต่อมาทั้งคู่ได้นำหุ้นไปขายให้กองทุนเทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ”
ตามหลักการของกฏหมาย หากเป็นกรณีการขายสินค้าและบริการในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง กรมสรรพากรจะใช้มาตรา 65 ทวิ (4) เข้าไปประเมินภาษีผู้ขายได้ แต่ถ้าเป็นกรณีของการขายหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดจะใช้มาตรานี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่การขายสินค้าและบริการทั่วไป
ยกตัวอย่าง น้ำอัดลมขวดละ 10 บาท แต่ขาย 8 บาท กรณีนี้กรมสรรพากรใช้อำนาจตามมาตรา 65 ทวิ (4) เข้าไปประเมินภาษีคนขายได้ แต่ถ้าเป็นกรณีหุ้นเพิ่มทุนราคา 10 บาท แต่ขายให้พนักงานแทนโบนัสในราคา 8 บาท ตรงนี้จะไปประเมินภาษีกับคนขายไม่ได้
ฟากหนึ่งกรมสรรพากรไปประเมินภาษีกับคนขาย อีกฟากหนึ่งไปประเมินภาษีกับคนซื้อ กรมสรรพากรไม่สามารถเรียกเก็บภาษี 2 ทางได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง กรณีของเซ็นทรัลการ์ดให้ส่วนลด 5% แก่สมาชิกที่ใช้บัตรรูดซื้อสินค้า ถ้าคนขายไม่มีเหตุผลอันสมควร กรมสรรพากรใช้มาตรา 65 ทวิ (4) เรียกเก็บภาษีกับคนขายได้ แต่จะไปไล่ประเมินภาษีกับคนซื้อไม่ได้
ขณะที่กรณีซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ กรมสรรพากรกลับไปไล่เก็บภาษีเอากับผู้ซื้อ และถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ต้องไปเก็บภาษีกับคนใช้บัตรเซ็นทรัลการ์ดรูดซื้อสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงด้วย เพราะได้ส่วนลด 5%
ความหมายที่ยกตัวอย่างขึ้นมาในข้างต้นก็เพื่อจะบอกว่า กรณีขายหุ้นชินคอร์ปฯ ก็ต้องไปเก็บภาษีกับคนที่ขายหุ้น (บริษัท แอมเพิลริช) นี่เป็นแนวทางที่ใช้ในการตอบข้อหารือในสมัยที่เป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร ถ้าบริษัทแอมเพิลริชมีสถานประกอบการอยู่ในประเทศไทย ป่านนี้คงถูกกรมสรรพากรไล่เก็บภาษีไปเรียบร้อยแล้ว แต่บังเอิญ บริษัท แอมเพิลริช เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ต่างประเทศ จึงเก็บภาษีไม่ได้ พอเก็บภาษีกับคนขายหุ้นไม่ได้ ก็เลยมาเก็บเอากับคนซื้อหุ้น

http://sakdaper.blogspot.com/2016_07_28_archive.html

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย มันอยู่การตีความว่าเป็น " คนของใคร "   ถ้าไม่ใช่ฝ่ายตัวก็ผิดหมด  

ป่วยการจะมาถกเถียง ยิ่งคนประเภท  " จอมเงิบ และ เน่า " ซะทุกกระทู้
แถมยังนิสัยโจร ชอบแอบลัก ขโมยเอามตีกิน น่าสมเพช นางพญาเม่า
ความคิดเห็นที่ 30
คห.25  ไอเดน เอ๊ย

เอาข่าวมาแปะ  ก็แปะไปแบบไม่รู้เรื่อง

เอางี้  จะอธิบายให้ฟัง  เรื่องราวเป็นไงมาไง  ไม่ใช่มีแค่ข่าวสั้น ๆ จากอิศราเท่านั้น


ปี 2542 (ถ้าจำไม่ผิด)
ทักษิณตั้ง บ.แอมเพิลริช  แล้วขายหุ้นชินคอร์ปให้แอมเพิลริชไป 320 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท

ต่อมาทักษิณโอนหุ้นของชินคอร์ป  แอมเพิลริช  ให้ลูก ๆ  แล้วเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง
ลูกสาวและลูกชายทักษิณ  จึงถือหุ้นทั้งในชินคอร์ป และในแอมเพิลริช

ปี 2549
ก่อนการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กทั้งหมดเพียงวันเดียว
แอมเพิลริชได้ขายหุ้นให้กับลูก ๆ ทักษิณ(ในฐานะผู้ถือหุ้นชินคอร์ป) ในราคาหุ้นละ 1 บาท  เป็นการซื้อขายนอกตลาด

23 ม.ค. 2549   ชินวัตร  ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กหมด

พอมีรัฐประหาร 2549   คตส.เข้ามา  ก็หาทางเอาผิดทักษิณให้ได้ในเรื่องซุกหุ้นในแอมเพิลริช
แต่ไม่สามารถเอาผิดได้   จึงหันมาเล่นเรื่องภาษีกับลูก ๆ ทักษิณ

ด้วยการอ้างว่า  ลูก ๆ ทักษิณถือหุ้นในแอมเพิลริช  แล้วแอมเพิลริชขายหุ้นให้ในราคา 1 บาทนั้น
ทำให้ลูก ๆ ทักษิณมีกำไร  เพราะมูลค่าตามตลาดคือ 49.25 บาท(ราคาที่ขายให้เทมาเส็ก)

คือกำไร 48.25 บาทต่อหุ้น  จากหุ้นทั้งหมด 320 ล้านหุ้น
คิดภาษี  ค่าปรับ  ค่าอะไร ๆ  แล้วเป็นเงินหมื่นกว่าล้าน


ประเด็นคือ   คสต. มองว่า  เมื่อลูก ๆ ทักษิณซื้อหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดจากบริษัทที่ตัวเองเป็นเจ้าของ
จึงถือว่าได้กำไร  ต้องเสียภาษี  
แต่ทางเจ้าหน้าที่สรรพากรในขณะนั้น  เขามองว่าไม่ต้องเสียภาษี
หากจะเก็บภาษี  ก็ต้องเก็บจากผู้ขาย  คือแอมเพิลริช  แต่ก็ไม่สามารถเก็บได้ เพราะอยู่ต่างประเทศ และซื้อขายกันนอกตลาด


คตส. มองว่า   การที่บริษัทขายหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาดให้พนักงาน ก็เหมือนเป็นการให้โบนัส ต้องเสียภาษี
แต่สรรพากร  เขามองว่า  แอมเพิลริช  เป็นนิติบุคคลตั้งอยู่ ณ ต่างประเทศ  ผู้ซื้อไม่ต้องเสียภาษี

เรื่องคร่าว ๆ มีแบบนี้   อาจไม่ละเอียด  เพราะไม่ได้ค้น  ใช้แค่ความจำที่เคยศึกษามา


ฉะนั้น  ประเด็นก็คือ   คตส.เห็นว่าควรเสียภาษี  สรรพากรเห็นว่าไม่ต้องเสีย
คตส.หมดอายุ  ก็ส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช.
ป.ป.ช.ก็ส่งฟ้องเจ้าหน้าที่สรรพากรและผู้เกี่ยวข้อง ข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที มาตรา 157 เมื่อปลายปี 58



เป็นเรื่องที่ศาลเชื่อตามคำฟ้อง ป.ป.ช.  ซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่สรรพากรก็ต้องหาหลักฐานมาต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
ความคิดเห็นที่ 16
ไอ้คนตั้งกระทู้ก็ไม่รู้เรื่อง
ยิ่งไอ้ คห.5 ยิ่งไม่รู้เรื่อง

ถามหน่อยเหอะ  เห็นแค่คำพิพากษาว่าจำคุกจ้าหน้าที่
แล้วเคยศึกษาไหมว่าเรื่องราวเป็นไงมาไง

รู้เรื่องไหม ?



ถามหน่อย  เจ้าหน้าที่โดนพิพากษาว่าผิดมาตรา 157 นี่   เพราะไม่เก็บภาษียังไง ?
ถีบขาคู่




อ่อ  แถมนิด   โชว์ความฉลาดของจอมเกรียน คห.5  ในทู้นี้ให้เห็นสักหน่อย

จากทู้  http://ppantip.com/topic/35425238/comment1

ความคิดเห็นที่ 1

เปล่าครับ ทักษิณหน้าเหลี่ยมรวยขึ้นอย่างมหาศาลจากการลอยตัวค่าเงินบาท ปี 40 ตอนนั้นทำให้บิ๊กจิ่วเสียผู้เสียคนจนต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ลองไปหาดูว่าทักแม้วรู้ได้ยังไงว่าจะมีการลอยตัวค่าเงินบาท แล้วคิดดูถ้ารู้ว่ามีการลอยค่าเงินแน่ ๆ เครือบริษัทของทักแม้วทำอะไรกับเหตุการณ์นี้) ^^


สมาชิกหมายเลข 3298374
วันอังคาร เวลา 22:40 น.  [IP: 171.100.76.51]



มีแต่คนที่ง่าวสุดดักดานเท่านั้น  ที่จะโพสต์อย่างนี้ได้   ไม่รู้เรื่องราว เกรียนอย่างเดียว
555
ความคิดเห็นที่ 24
คห.23   ไอเดน เอ๊ย   ว่าแล้วต้องมามุขนี้

ตั้งกระทู้แบบไม่รู้เรื่องที่ตัวเองตั้ง  พอโดนถาม ก็ออกลูกแถ
และไม่ใช่แถธรรมดา  แถแบบชี้นิ้วใส่คนอื่นว่าแถซะด้วย
แล้วอีกหน่อย  พอจนมุม  พอโดนถามซ้ำ  ก็จะออกลูกเลิกดีกว่า  พูดไม่รู้เรื่อง

คือก่อนตั้งทู้  โดยเฉพาะทู้เหน็บแนมคนอื่นนี่  ทำไมไม่ศึกษาเรื่องราวซะก่อน
มาตั้งทู้แบบไม่รู้เรื่องนี่  ทำได้ไง



ประเด็นคือ   กล่าวหาว่าลูกทักษิณหนีภาษี   ตอบได้ไหม  รู้ไหม  เขาหนีภาษียังไง ?

อ้างคำพิพากษาจำคุกเจ้าหน้าที่   ตอบได้ไหม  เขาผิดด้วยเหตุผลใด กฎหมายข้อไหน ?

ต้องคุยกันในประเด็นของเรื่องราวก่อน  ก่อนที่จะถกต่อว่า  อะไรเป็นอะไร
ไม่ใช่โหวกเหวกมาแต่ไกล  แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย  พอโดนถามก็แถตะบัน
พอแย้งไปก็ไม่รู้เรื่อง  เพราะไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น



ถามอีกครั้ง  รู้ไหมว่าเจ้าหน้าที่น่ะ  เขาผิดว่าไม่เก็บภาษียังไง ?
OK
ความคิดเห็นที่ 6
ในฐานะคนเสื้อแดง

เมื่อมีการทำผิดกฎหมายชัดเจนก็ดำเนินคดีไป  ผมไม่ปกป้องแน่นอน

แต่ที่เพลียใจตอนนี้คือพวกคดีปิดทำเนียบ   คดีกบฎ  ทำไมล่าช้าผิดสังเกตุ

กีดขวางการลงคะแนนหลายแห่ง  ก็เงียบมาก




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่