[Movie Review] Star Trek: Beyond - แด่ตัวร้ายที่เวิ้งว้างที่สุดในจักรวาล by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 149] Star Trek: Beyond - แด่ตัวร้ายที่เวิ้งว้างที่สุดในจักรวาล ; (Justin Lin, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)

**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ : กว่าสามปีที่กัปตันเคิร์ก (Chris Pine) พร้อมเหล่าลูกเรือ USS Enterprise ได้ผจญภัยในภารกิจสำรวจห้วงอวกาศระยะยาว และในระหว่างหยุดพักเติมเสบียงที่เมืองหน้าด่านแห่งใหม่อย่าง York Town, กัปตันเคิร์กก็ได้รับภารกิจกู้ภัยยานอวกาศบนดาวแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวเนบิวลาที่ยังไม่เคยมีใครเดินทางไปมาก่อน ... ในขณะเดียวกันเหล่าลูกเรือแต่ละคนต่างก็มีประเด็นเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตของตัวเองให้ขบคิดไปด้วย.

โอย ก่อนอื่นต้องกราบกรานให้กับทีม Star Trek ที่สามารถเข็นหนังภาคต่อดีๆอีกเรื่องออกมาได้อย่างไร้ที่ติเช่นเคย ซึ่งบอกเลยทุกองค์ประกอบใดๆที่เราเคยหลงรักในสองภาคที่ผ่านมา .. ในภาคนี้เหล่าผู้สร้างก็ยังจัดหนักจัดเต็มใส่ไม่ยั้งกันเลยทีเดียว ทั้งซาวแทร็กที่อลังการและมีลายเซ็นต์ของผู้ประพันธ์ที่ชัดเจน, งานภาพที่ขายความเวิ้งว้างของอวกาศที่งดงาม และไดอะล็อกของตัวละครที่ทรงเสน่ห์ ทั้งหมดที่กล่าวมามีครบถ้วนอยู่ในหนังเรื่องนี้เช่นเคยเหมือนที่เป็นมา

แน่นอนว่าธีมหลักของเรื่องก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานของ 'ผจญภัยเปิดจักรวาลกว้าง' เหมือนที่เคยเป็นมาและมีฉากต่อสู้ปะทะในอวกาศเป็นของเสริม ซึ่งถ้าพูดถึงพล็อตจริงๆมันก็คล้ายกับภาคก่อนๆนั่นแหละ คือค้นพบดาวดวงใหม่>เจอกับภัยอันตรายที่ไม่ได้คาดคิด>ต่อสู้เอาตัวรอดเพื่อช่วยจักรวาล ความรู้สึกมันจะ 'ซ้ำซาก' (repetitive) จนให้ความรู้สึกคล้ายๆกับ tv series นั่นแหละ แต่ในการเล่นซ้ำของมันนั้นก็ยังมีพัฒนาการที่น่าติดตามก็คือ 'ระดับความสัมพันธ์' ของตัวละครที่ค่อยๆซับซ้อนและแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นในจุดนี้แฟนหนังอย่างเราก็เลยไม่มีข้อให้บ่นอะไร

สิ่งที่ต่างออกไปคือโทนเรื่องที่ดูซอฟลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจจะมีผลมาจากการเปลี่ยนทีมเขียนบทโดยในภาคนี้ได้ Simonn Pegg (aka.สก็อตตี้) มาเป็นผู้ร่วมเขียนบทแทน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยสไตล์ของไซม่อนเพ็กก์ที่ถนัดทำหนังซอฟๆออกแนว inspirational ก็อาจจะไม่ค่อยแมชกับความรู้สึกของ Star Trek เท่าไรนักหากเทียบกับภาคที่ผ่านมา แต่ในความเปลี่ยนแปลงนี้ตัวบทหนังเองก็ยังมีเสน่ห์ในแง่ของ 'ความสมเหตุสมผล' อยู่ โดยตลอดเรื่องเราจะได้เห็นการคิดเป็นขั้นๆของตัวละครในการแก้ปัญหาต่างๆ,วิธีรับมือที่เป็นเหตุเป็นผล และไม่ได้พยายามขายคิวแอคชั่นพร่ำเพรื่อ

ส่วนสำคัญที่ผู้เขียนชื่นชอบก็คือการที่หนังเน้นย้ำความเป็น 'ทีมเวิร์ก' ของบรรดาลูกเหลือ USS Enterprise ที่ช่วยกันแก้ปัญหาได้อย่างสอดคล้องกันตามหน้าที่ตัวเอง และการที่หนังจัดสรรค์ปันส่วนเวลาบนหน้าจอให้ทุกๆคนอย่างเท่าเทียม ผิดกับหนังเรื่องอื่นที่บางครั้งก็เทหน้าพระเอกใส่เราจนเอียนแล้วเอียนอีก นั่นคือเสน่ห์ของสไตล์การดำเนินเรื่องที่ให้ความสำคัญกับ 'ภาพรวม' มากกว่าการเป็น showdown ของใครซักคนนึง ซึ่งหนังก็ยังทำได้เยี่ยมเช่นเคย

กระนั้นก็ยังสิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าดรอปลงเยอะก็คือ 'ตัวร้าย' ที่ไม่น่าสนใจเอาซะเลย หลังที่ได้จากการดูตัวร้ายของภาคนี้ก็มีความรู้สึกว่ามันถูกออกแบบมา 'หยาบ' จัง ทั้งปูมหลังที่ไม่น่าสนใจ, วิธีการทำลายล้างจักรวาลก็จืดชืดสิ้นดี คือพูดง่ายๆว่าไม่มีอะไรให้จดจำเลย เป็นคู่ปรับที่โคตรจะไม่สมน้ำสมเนื้อกับทีมเอ็นเตอไพรซ์มากๆ ในแง่ของความรู้สึกสิ้นหวังเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเก่งๆนั้นมันจึงหายไป ซึ่งน่าเสียดายมากๆ

.. Star Trek: Beyond ยังคงเป็นหนังที่ลอยอยู่บนมาตรฐานที่สูงส่งของตัวเองได้ดี ทั้งเอกลักษณ์มากมายที่คนดูหลงรักก็ยังอยู่ครบถ้วน โดยเฉพาะเพลงประกอบที่ในภาคนี้จับเอา The Enterprise theme มาใช้ผสมผสานประพันธ์แทบทุกฉากของหนัง (จนดูเกร่อไปหน่อย) และดูแววหนังแล้วก็ยังมีศักยภาพที่สามารถขยายภาคต่อออกไปเรื่อยๆได้ เรียกว่ามีกลิ่นเฉพาะเหมือน Fast and Furious series อะไรประมานนั้น

แนะนำถ้าดูใน IMAX ได้ก็จัดซะนะ เพราะภาพ+เสียงมันอลังมาก!

ป.ล.อ่านรีวิวเสร็จแนะนำให้ฟังเพลงนี้ประกอบไปด้วย : https://www.youtube.com/watch?v=1av7zAMQ_pY

หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่