เราชื่นชอบผลงานของ Richard Linklater มากๆ งานของเค้ามีเสน่ห์สุดๆ เราชอบ Dialogue ในหนังของเค้าทุกเรื่องที่เคยดู มันสมจริงมากๆทุกบท รวมไปถึงการแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ และเค้ายังมีเรื่องที่ต้องการจะเล่าในหนังทุกเรื่องของเค้า
เราเพิ่งรู้จัก Richard Linklater และ ไตรภาค Before เมื่อ 2 ปีก่อนเอง ซึ่งถือว่าเราเชยสุดๆเลยแหละ หนังไตรภาค Before มันมีเสน่ห์สุดขีด การพูดคุยและการแสดงของตัวละครที่สมจริงมากๆ ราวกับเหมือนเรากำลังนั่งดูเรื่องราวชีวิตจริงของ Celine กับ Jesse ซึ่งเราชอบ ไตรภาค Before มากๆ เราชอบภาค Before Midnight มากที่สุด มันจริงยิ่งกว่าเรื่องจริงอีก และสำหรับเราแล้ว Boyhood คือหนังที่ดีที่สุดที่เราเคยดูมาในชีวิต มันสมบูรณ์แบบมากสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการจากภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง Boyhood สามารถให้เราได้ครบถ้วนทั้งหมดเลย
พอดูหนังจบ เราบอกได้ทันทีว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ แม้เราจะรู้สึกว่ามันยังไปไม่ถึงขั้น Boyhood แต่มันก็ทำได้ดีมากๆในแนวทางตัวมันเอง หนังยังคงจุดเด่นเรื่องความสมจริงเหมือนเดิม ทั้งบทภาพยนตร์และการแสดง แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือ หนังเรื่องนี้ดูสนุกและตลกเอามากๆ เราชอบแก๊กตลกในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เราขำได้อยู่เรื่อยๆตลอดทั้งเรื่อง เปิดมาซีนต้นเรื่องที่ Jake เพิ่งมาถึงบ้าน แล้วเจอ McReynolds พอถึงตอนจับมือและแนะนำตัวว่าชื่อ Jake เล่นตำแหน่งพิชเชอร์ McReynolds รีบดึงมือออกทันทีหลังรู้ว่า Jake เล่นตำแหน่งพิชเชอร์และรีบสะบัดๆมือ มันฮามากๆ
และสิ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากที่สุด ก็คือ หนังมีประเด็นที่ต้องการสื่อสารอย่างชัดเจนและตั้งใจที่จะเล่าอย่างหนักแน่นด้วย
เราชอบเพลงประกอบในเรื่องนี้มาก เราชอบเพลงยุคปี 70-80 เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันมีเสน่ห์มากเลยนะเพลงดิสโก้ เพลงคันทรีเนี่ย และเพลงในคอนเสิร์ตพังก์ร็อค ก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย แค่เสียง Drum&Bass ของเพลง My Sharona ของ The Knack ดังขึ้นมาตอนเปิดเรื่องก็ถูกใจเราสุดๆละ ทุกครั้งที่เพลงและดนตรีประกอบดังขึ้น เราแอบโยกเบาๆในหลายๆเพลง เพลงเร็วในหนังเรื่องนี้ มันสนุกมากๆ (มีเพลงเดียวกันกับที่ใช้ใน Sing Street ด้วย พอ Intro เพลงดังขึ้น เราก็รู้ทันทีเลย ซึ่งมันคือเพลง Pop Muzik นั่นเอง)
บทภาพยนตร์ของ Everybody Wants Some!! ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ตัวละครในเรื่องมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน มีแบ็คกราวน์ที่แข็งแกร่งมาก และการกระทำของตัวละครในเรื่องก็ทำได้สมจริงมาก ในเรื่องราวที่ดูเหมือนจะไม่มีแก่นสารอะไร กลับมีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ แม้ว่าเรื่องราวในหนังจะดำเนินไปแค่ 3-4 วัน แต่กลับแฝงประเด็นที่น่าสนใจไว้มากมาย และหนังที่เล่าเรื่องเรื่อยๆแบบนี้ หากบทไม่ดีพอ มันจะทำให้หนังดูน่าเบื่อได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับ Everybody Wants Some!!
สำหรับเรื่องการแสดงในเรื่องนี้ เราคงต้องบอกเหมือนทุกครั้งที่เราดูหนังของ Richard ก็คือ แสดงเหมือนไม่ได้แสดง ทุกตัวละครที่เราเห็นในเรื่อง ราวกับว่าพวกเค้าคือคนคนนั้นในชีวิตจริง มันสมจริงมากๆ เหมือนเรานั่งดูชีวิตของพวกเค้าจริงๆเลย ปกติเวลาผมดูหนัง ผมจะมีนักแสดงที่ผมประทับใจเป็นพิเศษอยู่ซัก 1-2 คน แต่เรื่องนี้ เราประทับใจการแสดงของนักแสดงทุกคนจริงๆ มันยอดเยี่ยมมากๆในพาร์ทด้านการแสดง แทบจะต้องลุกขึ้นยืนปรบมือยาวๆให้กับทุกคนเลย
ถ้าพูดถึงซีนที่เราชอบ เราเพิ่งมารู้ตัวว่าเราเป็นคนชอบฉากคุยโทรศัพท์ในหนังเอามากๆ เรื่องนี้ก็โดนอีกละ เราประทับใจฉากคุยโทรศัพท์ของ Jake กับ Beverly มากๆ ทั้งสองเล่นได้อย่างน่ารักและสมจริงสุดๆ ทั้งคู่รีแอ็คโต้ตอบกันได้ราวกับว่าคุยโทรศัพท์กันอยู่จริงๆ จังหวะเขินอายของ Beverly น่ารักมากๆ และ Dialogue ช่วงนี้ก็น่ารักสุดๆไปเลย ผมชอบมุขหลอกถามชื่อของ Jake ซึ่งมันโคตรเชยเลยแหละ แต่มันกลับเกิดขึ้นในจังหวะที่พอดี เราเลยชอบความเชยนี้มากๆ
และอีกซีนที่เราชอบ คือซีนเล็กๆที่ Jay เดินเข้ามาพูดกับ McReynolds ว่า "ตีได้เยี่ยม" หลังจากที่ McReynolds เพิ่งตีโฮมรันจากลูกที่เค้าขว้างได้ มันดูเท่ห์และแมนมากๆ ต่อให้เราจะต้องแข่งขันกันแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายก็ต้องมีคนที่เหนือกว่า ซึ่งเราก็ต้องยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แต่ผมคิดว่า Jay เค้าก็ไม่ได้คิดจะยอมแพ้แค่ตรงนี้หรอกนะ เราเชื่อว่าครั้งต่อไป เค้าจะต้องไม่ยอมแพ้อีกแน่นอน เราเชื่อว่าเค้าจะต้องซ้อมหนักยิ่งขึ้น เพื่อจะกลับมาเอาชนะคืนให้ได้
Everybody Wants Some!! เล่าเรื่องของกลุ่มนักกีฬาเบสบอลระดับมหาวิทยาลัย ในช่วงเวลา 3-4 วันก่อนเปิดภาคเรียน หนังพาเราย้อนไปสัมผัสชีวิตวัยรุ่นอเมริกาในยุคปี 80 ที่ดูผิวเผินเหมือนจะมีแต่ความสนุกไปวันๆ มีแค่การดื่ม เล่นยา ปาร์ตี้ และผู้หญิงเท่านั้น แต่เมื่อมองลึกลงไป พวกเขาเหล่านี้กลับมีแก่นสารบางอย่างอยู่เช่นกัน และมันเป็นเรื่องที่น่าค้นหามากๆ
พวกเค้าคือกลุ่มนักกีฬาเบสบอลฝีมือเยี่ยมในระดับมหาวิทยาลัย ทีมเบสบอลของพวกเค้าเข้ารอบเพลย์ออฟมาทุกปี หนังไม่ได้เล่าให้เห็นถึงที่มาตรงนี้ ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังฝีมือที่ยอดเยี่ยมของพวกเค้า มันมาจากความพยายามที่มากมายแค่ไหน แต่เราก็พอจะเดาได้ว่า ฝีมือที่ยอดเยี่ยมของพวกเค้า มันคงต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อมากมายแน่นอน
หนังพูดถึงคาแรคเตอร์ของคนในทีมเบสบอลนี้ได้น่าสนใจมาก เค้าบอกว่านักกีฬาในทีมนี้ทุกคนมีสิ่งที่เหมือนๆกันก็คือ "ไม่อยากแพ้ใครและบ้าในชัยชนะ" ซึ่งฟังดูเผินๆ เราอาจจะรู้สึกว่า มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีมากนัก แต่หนังกลับพูดถึงมันในแง่ที่เป็นแรงผลัก ผลักให้เราพัฒนาตัวเอง ผลักให้เราไม่ยอมแพ้ ผลักให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เรารู้สึกว่าซีนที่ตัวละครพูดถึงประเด็นนี้ มันมีความจริงจังในน้ำเสียงและแววตาสุดๆ มันเลยทำให้เราเชื่อหมดใจเลย พวกเราอาจจะฮาในฉากที่ McReynolds ตีปิงปองแพ้ Jake แล้วขว้างไม้ปิงปองใส่ Jake แต่สำหรับ McReynolds แล้ว เค้าคงไม่ขำกับสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน
กว่าหนังจะมีฉากซ้อมเบสบอลให้เราเห็น ก็ปาไปเกือบท้ายเรื่องแล้ว แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้ในฉากนี้ คือความมุ่งมั่น ความเต็มที่ของพวกเค้า เราลืมแก๊งค์เด็กวัยรุ่นที่รักการปาร์ตี้ไปสนิทใจเลย แววตาของพวกเค้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนแรกเลย เราเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นจริงจังของตัวละครทุกตัว บางทีการเห็นใครแต่เพียงด้านเดียวของเค้า ก็อาจจะไปตัดสินพวกเค้ายังไม่ได้หรอกนะ
หนังเล่าให้เห็นถึงกลุ่มวัยรุ่นที่สามารถจะเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากและตามแต่ที่สถานการณ์จะนำพาพวกเค้าไป เค้าสามารถสนุกในผับดิสโก้ได้เต็มที่ หรือถ้าจะต้องย้ายไปผับแนวคันทรี่ ก็ยังไม่สามารถหยุดความสนุกของพวกเข้าได้ หรือไม่ว่าจะเป็นผับแนวพังก์ร็อค พวกเค้าก็สามารถสนุกกับมันได้อย่างสุดขีดลืมตายได้เช่นกัน นอกเหนือจากแนวเพลงที่เปลี่ยนไปแล้ว การแต่งตัวของตัวละครก็ยังเปลี่ยนไปตามแต่ละแนวดนตรีอีกด้วย ตัวละครอย่าง Finnegan พูดเอาไว้ว่า "เราเปลี่ยนชุดไปเรื่อยๆ มันก็แค่เปลือก"
หนังเล่าประเด็นของตัวละคร Willoughby ได้น่าสนใจมากๆ หลังจากหนังเฉลยว่าทำไมเค้าถึงถูกอาจารย์เรียกไปคุยระหว่างที่เค้ากำลังซ้อมเบสบอลอยู่ เค้าทำประวัติปลอมเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เค้าจะยังสามารถที่จะเล่นเบสบอลต่อได้ ตอนนี้เค้าอายุ 30 ปีแล้ว เค้าไม่ดีพอที่จะเข้าไปเล่นในลีคเบสบอลอาชีพได้ มันไม่มีที่ให้เค้าเล่นเบสบอลอีกแล้ว ฉากที่เค้าวางถุงมือลงบนพิช แล้วเดินไปร่ำลาเพื่อนๆ ด้วยประโยคที่ว่า "แด่ช่วงเวลาดีๆอันแสนสั้น" เราซึมไปเลยในฉากนี้ เสียงบรรยากาศรอบข้างก็เงียบลงชั่วขณะหนึ่ง เราไม่กล้าสรุปเลยว่าสิ่งที่เค้าตัดสินใจทำนั้น มันถูกต้องหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอรับรู้ได้คือ เค้ารู้ใจตัวเอง ว่าสิ่งที่เค้าต้องการคืออะไร อะไรคือความสุขของเค้า และที่สำคัญ เค้าซื่อสัตย์กับมัน การไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าและไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้น ผมว่าบางครั้งมันก็มีเหตุผลเพียงพอที่ทำให้พวกเรายอมทำแบบนั้นนะ
ในฉากบนโต๊ะสนุ๊กช่วงกลางเรื่อง ที่ Willoughby คุยกับ Jake เรื่องที่ว่าคนที่เล่นตำแหน่งพิชเชอร์จะถูกมองว่าแปลกนั้น น่าสนใจมาก เค้าบอกว่า "ตอนขว้างจะรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ไม่ต้องไปฝืนมัน ให้ทำใจยอมรับมัน ยอมรับในความแปลก และให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปตามใคร" เค้าคงอาจกำลังเอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเค้าเองมาบอกต่อรุ่นน้อง ให้ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ ให้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงเสียงของคนรอบข้างใดๆทั้งนั้น
แม้หนังจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของ Jake และ Beverly ไม่เยอะมากนัก แต่เรากลับชอบความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากๆ เราชอบทุกซีนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ฉากแรกที่ทั้งคู่เจอกันที่ลานจอดรถหน้าหอพักหญิง ต่อเนื่องด้วยฉากที่เจอกันที่มหาวิทยาลัยและทั้งคู่ส่งสายตาให้กัน จนไปถึงฉากที่ Jake เริ่มเอาดอกไม้ไปให้เธอที่หน้าห้อง ต่อด้วยฉากที่คุยโทรศัพท์กันซึ่งน่ารักมากๆ รวมไปถึงฉากที่ Jake มานั่งคุยกับ Beverly ที่ห้องของเธอ และคืนนั้นเค้าก็ไปงานปาร์ตี้ของนักเรียนการแสดงด้วยกัน และอยู่ต่อด้วยกันทั้งคืนจนถึงเช้า เราชอบช่วงที่ Jake ถาม Beverly ว่า ตอนแรกที่เธอบอกว่าชอบคนนั่งเงียบๆที่อยู่เบาะหลัง ที่นั่งตรงกลางนั้น เธอพูดจริงหรือเปล่า หรือว่าตัวเค้าเพ้อไปข้างเดียวกันแน่ เธอตอบเฉไฉกลับไปนิดหนึ่ง แล้วก็ยอมรับกับ Jake ว่า เธอพูดจริง ฉากนี้มันน่ารักมากๆเลย และฉากร่ำลากันในตอนเช้าวันเปิดเทอม Beverly หันหลังมาส่งยิ้มให้ Jake และโบกมือบ๊ายบาย มันน่ารักสุดๆ เล่นเอาเรายิ้มตายไปเลย
ในห้องเรียนตอนท้ายเรื่อง อาจารย์เขียนประโยคที่น่าสนใจไว้บนกระดานว่า "Frontiers are where you find them. ขอบเขตอยู่ที่เราก้าวไปค้นหา" มันเป็นประโยคที่คมคายเอามากๆ เราไม่รู้ว่าเราตีความถูกไหม แต่เราคิดว่า เราทุกคนต่างกำหนดชีวิตตัวเราเองได้ เราเลือกได้ว่าเราชอบสิ่งไหน เราต้องการทำอะไร มันไม่มีขอบเขตกำหนดไว้ตายตัว ขอบเขตของเรากับขอบเขตของคนอื่นๆ ก็อาจจะแตกต่างกันไป เราเลือกที่จะเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เราแค่อย่าไปยึดติดกับกรอบบางอย่างที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนกำหนดขึ้นมา เราสามารถออกแบบขอบเขตชีวิตของเราเองได้...ไม่มีใครสามารถค้นหาตัวตนของเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น
หนังเน้นพูดอย่างหนักแน่นมากๆในเรื่อง "การให้อยู่กับโมเม้นท์ปัจจุบันในชีวิต" ทุกตัวละครในเรื่องกำลังบอกสิ่งนี้แก่เรา มันไม่ใช่การที่เราจะแค่สนุกไปวันๆหรอกนะ แต่ให้เต็มที่ สนุกกับทุกๆโมเม้นท์ ช่วงที่จะไปปาร์ตี้ กินดื่ม ก็ลุยไปให้เต็มที่ เอาไปให้สุดทาง สนุกกับมันจริงๆ ลืมทิ้งเรื่องอื่นๆไป ถึงช่วงเวลาต้องทำสิ่งที่จริงจัง อย่างเช่นการเล่นเบสบอล ก็ให้เต็มที่กับมัน มุ่งมั่นจริงจัง ตั้งใจ ไม่ว่ามันจะเป็นแค่เพียงการซ้อมก็ตาม หรือเมื่อเราเจอคนที่เราถูกใจแล้ว ถ้าเราไม่เดินเข้าไปทำตามเสียงหัวใจของเราในโมเม้นท์นั้นแล้ว เราอาจไม่โอกาสนั้นอีกเลยก็ได้ หรือถึงแม้เราจะต้องพบเจอความผิดหวัง ปวดร้าวแค่ไหนก็ตาม ก็แค่ให้ทำใจยอมรับมัน ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันก็แค่ชั่วโมเม้นท์หนึ่ง...แล้วมันก็จะผ่านไป มีตัวละครหนึ่งในเรื่อง ถ้าผมจำไม่ผิด คือ Finnegan ได้พูดไว้ว่า "ฉันไม่ได้เล่นเบสบอลไปทั้งชีวิตหรอก ต้องดื่มด่ำตอนที่ยังทำได้" ใช่...เราคิดว่ามันจริง ต้องดื่มด่ำตอนที่ยังทำได้
ซีนช่วงท้ายเรื่องที่ Jake คุยกับ Beverly ในแม่น้ำ Jake เล่าให้ฟังถึงเรียงความที่เค้าเขียนเพื่อสมัครขอทุนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เค้าบอกว่า เค้าเขียนเรื่องของซิซีฟัส (กษัตริย์ในตำนานกรีก) กับเบสบอล ซิซีฟัสถูกสาปให้ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่เค้ากลับบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะมันช่วยให้เค้าได้จดจ่อและได้เพียรพยายามทำอะไรซักอย่างหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือเบสบอล ตัวเค้าเองไม่ได้อยู่ในระดับท็อปด้านเบสบอล ในตอนมัธยมเป็นได้แค่ทีมสำรองยอดเยี่ยมของรัฐเท่านั้น เค้าจึงต้องพยายามอย่างหนักมากๆ
Jake ยังพูดต่อไปอีกว่า "ให้ยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วปล่อยใจไปกับมันและทำชั่วขณะนั้นให้ดีที่สุด" ซึ่งตอนเค้าพูดประโยคนี้ เค้าก็กำลังทำสิ่งนั้นอยู่ และในชั่วขณะนั้น...Beverly คือคำตอบ
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Everybody Wants Some!! - ยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ปล่อยใจไปกับมัน และทำชั่วขณะนั้นให้ดีที่สุด (Spoil)
เราเพิ่งรู้จัก Richard Linklater และ ไตรภาค Before เมื่อ 2 ปีก่อนเอง ซึ่งถือว่าเราเชยสุดๆเลยแหละ หนังไตรภาค Before มันมีเสน่ห์สุดขีด การพูดคุยและการแสดงของตัวละครที่สมจริงมากๆ ราวกับเหมือนเรากำลังนั่งดูเรื่องราวชีวิตจริงของ Celine กับ Jesse ซึ่งเราชอบ ไตรภาค Before มากๆ เราชอบภาค Before Midnight มากที่สุด มันจริงยิ่งกว่าเรื่องจริงอีก และสำหรับเราแล้ว Boyhood คือหนังที่ดีที่สุดที่เราเคยดูมาในชีวิต มันสมบูรณ์แบบมากสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการจากภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง Boyhood สามารถให้เราได้ครบถ้วนทั้งหมดเลย
พอดูหนังจบ เราบอกได้ทันทีว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ แม้เราจะรู้สึกว่ามันยังไปไม่ถึงขั้น Boyhood แต่มันก็ทำได้ดีมากๆในแนวทางตัวมันเอง หนังยังคงจุดเด่นเรื่องความสมจริงเหมือนเดิม ทั้งบทภาพยนตร์และการแสดง แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือ หนังเรื่องนี้ดูสนุกและตลกเอามากๆ เราชอบแก๊กตลกในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เราขำได้อยู่เรื่อยๆตลอดทั้งเรื่อง เปิดมาซีนต้นเรื่องที่ Jake เพิ่งมาถึงบ้าน แล้วเจอ McReynolds พอถึงตอนจับมือและแนะนำตัวว่าชื่อ Jake เล่นตำแหน่งพิชเชอร์ McReynolds รีบดึงมือออกทันทีหลังรู้ว่า Jake เล่นตำแหน่งพิชเชอร์และรีบสะบัดๆมือ มันฮามากๆ
และสิ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากที่สุด ก็คือ หนังมีประเด็นที่ต้องการสื่อสารอย่างชัดเจนและตั้งใจที่จะเล่าอย่างหนักแน่นด้วย
เราชอบเพลงประกอบในเรื่องนี้มาก เราชอบเพลงยุคปี 70-80 เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันมีเสน่ห์มากเลยนะเพลงดิสโก้ เพลงคันทรีเนี่ย และเพลงในคอนเสิร์ตพังก์ร็อค ก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย แค่เสียง Drum&Bass ของเพลง My Sharona ของ The Knack ดังขึ้นมาตอนเปิดเรื่องก็ถูกใจเราสุดๆละ ทุกครั้งที่เพลงและดนตรีประกอบดังขึ้น เราแอบโยกเบาๆในหลายๆเพลง เพลงเร็วในหนังเรื่องนี้ มันสนุกมากๆ (มีเพลงเดียวกันกับที่ใช้ใน Sing Street ด้วย พอ Intro เพลงดังขึ้น เราก็รู้ทันทีเลย ซึ่งมันคือเพลง Pop Muzik นั่นเอง)
บทภาพยนตร์ของ Everybody Wants Some!! ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ตัวละครในเรื่องมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน มีแบ็คกราวน์ที่แข็งแกร่งมาก และการกระทำของตัวละครในเรื่องก็ทำได้สมจริงมาก ในเรื่องราวที่ดูเหมือนจะไม่มีแก่นสารอะไร กลับมีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ แม้ว่าเรื่องราวในหนังจะดำเนินไปแค่ 3-4 วัน แต่กลับแฝงประเด็นที่น่าสนใจไว้มากมาย และหนังที่เล่าเรื่องเรื่อยๆแบบนี้ หากบทไม่ดีพอ มันจะทำให้หนังดูน่าเบื่อได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับ Everybody Wants Some!!
สำหรับเรื่องการแสดงในเรื่องนี้ เราคงต้องบอกเหมือนทุกครั้งที่เราดูหนังของ Richard ก็คือ แสดงเหมือนไม่ได้แสดง ทุกตัวละครที่เราเห็นในเรื่อง ราวกับว่าพวกเค้าคือคนคนนั้นในชีวิตจริง มันสมจริงมากๆ เหมือนเรานั่งดูชีวิตของพวกเค้าจริงๆเลย ปกติเวลาผมดูหนัง ผมจะมีนักแสดงที่ผมประทับใจเป็นพิเศษอยู่ซัก 1-2 คน แต่เรื่องนี้ เราประทับใจการแสดงของนักแสดงทุกคนจริงๆ มันยอดเยี่ยมมากๆในพาร์ทด้านการแสดง แทบจะต้องลุกขึ้นยืนปรบมือยาวๆให้กับทุกคนเลย
ถ้าพูดถึงซีนที่เราชอบ เราเพิ่งมารู้ตัวว่าเราเป็นคนชอบฉากคุยโทรศัพท์ในหนังเอามากๆ เรื่องนี้ก็โดนอีกละ เราประทับใจฉากคุยโทรศัพท์ของ Jake กับ Beverly มากๆ ทั้งสองเล่นได้อย่างน่ารักและสมจริงสุดๆ ทั้งคู่รีแอ็คโต้ตอบกันได้ราวกับว่าคุยโทรศัพท์กันอยู่จริงๆ จังหวะเขินอายของ Beverly น่ารักมากๆ และ Dialogue ช่วงนี้ก็น่ารักสุดๆไปเลย ผมชอบมุขหลอกถามชื่อของ Jake ซึ่งมันโคตรเชยเลยแหละ แต่มันกลับเกิดขึ้นในจังหวะที่พอดี เราเลยชอบความเชยนี้มากๆ
และอีกซีนที่เราชอบ คือซีนเล็กๆที่ Jay เดินเข้ามาพูดกับ McReynolds ว่า "ตีได้เยี่ยม" หลังจากที่ McReynolds เพิ่งตีโฮมรันจากลูกที่เค้าขว้างได้ มันดูเท่ห์และแมนมากๆ ต่อให้เราจะต้องแข่งขันกันแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายก็ต้องมีคนที่เหนือกว่า ซึ่งเราก็ต้องยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แต่ผมคิดว่า Jay เค้าก็ไม่ได้คิดจะยอมแพ้แค่ตรงนี้หรอกนะ เราเชื่อว่าครั้งต่อไป เค้าจะต้องไม่ยอมแพ้อีกแน่นอน เราเชื่อว่าเค้าจะต้องซ้อมหนักยิ่งขึ้น เพื่อจะกลับมาเอาชนะคืนให้ได้
Everybody Wants Some!! เล่าเรื่องของกลุ่มนักกีฬาเบสบอลระดับมหาวิทยาลัย ในช่วงเวลา 3-4 วันก่อนเปิดภาคเรียน หนังพาเราย้อนไปสัมผัสชีวิตวัยรุ่นอเมริกาในยุคปี 80 ที่ดูผิวเผินเหมือนจะมีแต่ความสนุกไปวันๆ มีแค่การดื่ม เล่นยา ปาร์ตี้ และผู้หญิงเท่านั้น แต่เมื่อมองลึกลงไป พวกเขาเหล่านี้กลับมีแก่นสารบางอย่างอยู่เช่นกัน และมันเป็นเรื่องที่น่าค้นหามากๆ
พวกเค้าคือกลุ่มนักกีฬาเบสบอลฝีมือเยี่ยมในระดับมหาวิทยาลัย ทีมเบสบอลของพวกเค้าเข้ารอบเพลย์ออฟมาทุกปี หนังไม่ได้เล่าให้เห็นถึงที่มาตรงนี้ ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังฝีมือที่ยอดเยี่ยมของพวกเค้า มันมาจากความพยายามที่มากมายแค่ไหน แต่เราก็พอจะเดาได้ว่า ฝีมือที่ยอดเยี่ยมของพวกเค้า มันคงต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อมากมายแน่นอน
หนังพูดถึงคาแรคเตอร์ของคนในทีมเบสบอลนี้ได้น่าสนใจมาก เค้าบอกว่านักกีฬาในทีมนี้ทุกคนมีสิ่งที่เหมือนๆกันก็คือ "ไม่อยากแพ้ใครและบ้าในชัยชนะ" ซึ่งฟังดูเผินๆ เราอาจจะรู้สึกว่า มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีมากนัก แต่หนังกลับพูดถึงมันในแง่ที่เป็นแรงผลัก ผลักให้เราพัฒนาตัวเอง ผลักให้เราไม่ยอมแพ้ ผลักให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เรารู้สึกว่าซีนที่ตัวละครพูดถึงประเด็นนี้ มันมีความจริงจังในน้ำเสียงและแววตาสุดๆ มันเลยทำให้เราเชื่อหมดใจเลย พวกเราอาจจะฮาในฉากที่ McReynolds ตีปิงปองแพ้ Jake แล้วขว้างไม้ปิงปองใส่ Jake แต่สำหรับ McReynolds แล้ว เค้าคงไม่ขำกับสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน
กว่าหนังจะมีฉากซ้อมเบสบอลให้เราเห็น ก็ปาไปเกือบท้ายเรื่องแล้ว แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้ในฉากนี้ คือความมุ่งมั่น ความเต็มที่ของพวกเค้า เราลืมแก๊งค์เด็กวัยรุ่นที่รักการปาร์ตี้ไปสนิทใจเลย แววตาของพวกเค้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนแรกเลย เราเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นจริงจังของตัวละครทุกตัว บางทีการเห็นใครแต่เพียงด้านเดียวของเค้า ก็อาจจะไปตัดสินพวกเค้ายังไม่ได้หรอกนะ
หนังเล่าให้เห็นถึงกลุ่มวัยรุ่นที่สามารถจะเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากและตามแต่ที่สถานการณ์จะนำพาพวกเค้าไป เค้าสามารถสนุกในผับดิสโก้ได้เต็มที่ หรือถ้าจะต้องย้ายไปผับแนวคันทรี่ ก็ยังไม่สามารถหยุดความสนุกของพวกเข้าได้ หรือไม่ว่าจะเป็นผับแนวพังก์ร็อค พวกเค้าก็สามารถสนุกกับมันได้อย่างสุดขีดลืมตายได้เช่นกัน นอกเหนือจากแนวเพลงที่เปลี่ยนไปแล้ว การแต่งตัวของตัวละครก็ยังเปลี่ยนไปตามแต่ละแนวดนตรีอีกด้วย ตัวละครอย่าง Finnegan พูดเอาไว้ว่า "เราเปลี่ยนชุดไปเรื่อยๆ มันก็แค่เปลือก"
หนังเล่าประเด็นของตัวละคร Willoughby ได้น่าสนใจมากๆ หลังจากหนังเฉลยว่าทำไมเค้าถึงถูกอาจารย์เรียกไปคุยระหว่างที่เค้ากำลังซ้อมเบสบอลอยู่ เค้าทำประวัติปลอมเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เค้าจะยังสามารถที่จะเล่นเบสบอลต่อได้ ตอนนี้เค้าอายุ 30 ปีแล้ว เค้าไม่ดีพอที่จะเข้าไปเล่นในลีคเบสบอลอาชีพได้ มันไม่มีที่ให้เค้าเล่นเบสบอลอีกแล้ว ฉากที่เค้าวางถุงมือลงบนพิช แล้วเดินไปร่ำลาเพื่อนๆ ด้วยประโยคที่ว่า "แด่ช่วงเวลาดีๆอันแสนสั้น" เราซึมไปเลยในฉากนี้ เสียงบรรยากาศรอบข้างก็เงียบลงชั่วขณะหนึ่ง เราไม่กล้าสรุปเลยว่าสิ่งที่เค้าตัดสินใจทำนั้น มันถูกต้องหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอรับรู้ได้คือ เค้ารู้ใจตัวเอง ว่าสิ่งที่เค้าต้องการคืออะไร อะไรคือความสุขของเค้า และที่สำคัญ เค้าซื่อสัตย์กับมัน การไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าและไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้น ผมว่าบางครั้งมันก็มีเหตุผลเพียงพอที่ทำให้พวกเรายอมทำแบบนั้นนะ
ในฉากบนโต๊ะสนุ๊กช่วงกลางเรื่อง ที่ Willoughby คุยกับ Jake เรื่องที่ว่าคนที่เล่นตำแหน่งพิชเชอร์จะถูกมองว่าแปลกนั้น น่าสนใจมาก เค้าบอกว่า "ตอนขว้างจะรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ไม่ต้องไปฝืนมัน ให้ทำใจยอมรับมัน ยอมรับในความแปลก และให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปตามใคร" เค้าคงอาจกำลังเอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเค้าเองมาบอกต่อรุ่นน้อง ให้ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ ให้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงเสียงของคนรอบข้างใดๆทั้งนั้น
แม้หนังจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของ Jake และ Beverly ไม่เยอะมากนัก แต่เรากลับชอบความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากๆ เราชอบทุกซีนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ฉากแรกที่ทั้งคู่เจอกันที่ลานจอดรถหน้าหอพักหญิง ต่อเนื่องด้วยฉากที่เจอกันที่มหาวิทยาลัยและทั้งคู่ส่งสายตาให้กัน จนไปถึงฉากที่ Jake เริ่มเอาดอกไม้ไปให้เธอที่หน้าห้อง ต่อด้วยฉากที่คุยโทรศัพท์กันซึ่งน่ารักมากๆ รวมไปถึงฉากที่ Jake มานั่งคุยกับ Beverly ที่ห้องของเธอ และคืนนั้นเค้าก็ไปงานปาร์ตี้ของนักเรียนการแสดงด้วยกัน และอยู่ต่อด้วยกันทั้งคืนจนถึงเช้า เราชอบช่วงที่ Jake ถาม Beverly ว่า ตอนแรกที่เธอบอกว่าชอบคนนั่งเงียบๆที่อยู่เบาะหลัง ที่นั่งตรงกลางนั้น เธอพูดจริงหรือเปล่า หรือว่าตัวเค้าเพ้อไปข้างเดียวกันแน่ เธอตอบเฉไฉกลับไปนิดหนึ่ง แล้วก็ยอมรับกับ Jake ว่า เธอพูดจริง ฉากนี้มันน่ารักมากๆเลย และฉากร่ำลากันในตอนเช้าวันเปิดเทอม Beverly หันหลังมาส่งยิ้มให้ Jake และโบกมือบ๊ายบาย มันน่ารักสุดๆ เล่นเอาเรายิ้มตายไปเลย
ในห้องเรียนตอนท้ายเรื่อง อาจารย์เขียนประโยคที่น่าสนใจไว้บนกระดานว่า "Frontiers are where you find them. ขอบเขตอยู่ที่เราก้าวไปค้นหา" มันเป็นประโยคที่คมคายเอามากๆ เราไม่รู้ว่าเราตีความถูกไหม แต่เราคิดว่า เราทุกคนต่างกำหนดชีวิตตัวเราเองได้ เราเลือกได้ว่าเราชอบสิ่งไหน เราต้องการทำอะไร มันไม่มีขอบเขตกำหนดไว้ตายตัว ขอบเขตของเรากับขอบเขตของคนอื่นๆ ก็อาจจะแตกต่างกันไป เราเลือกที่จะเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เราแค่อย่าไปยึดติดกับกรอบบางอย่างที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนกำหนดขึ้นมา เราสามารถออกแบบขอบเขตชีวิตของเราเองได้...ไม่มีใครสามารถค้นหาตัวตนของเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น
หนังเน้นพูดอย่างหนักแน่นมากๆในเรื่อง "การให้อยู่กับโมเม้นท์ปัจจุบันในชีวิต" ทุกตัวละครในเรื่องกำลังบอกสิ่งนี้แก่เรา มันไม่ใช่การที่เราจะแค่สนุกไปวันๆหรอกนะ แต่ให้เต็มที่ สนุกกับทุกๆโมเม้นท์ ช่วงที่จะไปปาร์ตี้ กินดื่ม ก็ลุยไปให้เต็มที่ เอาไปให้สุดทาง สนุกกับมันจริงๆ ลืมทิ้งเรื่องอื่นๆไป ถึงช่วงเวลาต้องทำสิ่งที่จริงจัง อย่างเช่นการเล่นเบสบอล ก็ให้เต็มที่กับมัน มุ่งมั่นจริงจัง ตั้งใจ ไม่ว่ามันจะเป็นแค่เพียงการซ้อมก็ตาม หรือเมื่อเราเจอคนที่เราถูกใจแล้ว ถ้าเราไม่เดินเข้าไปทำตามเสียงหัวใจของเราในโมเม้นท์นั้นแล้ว เราอาจไม่โอกาสนั้นอีกเลยก็ได้ หรือถึงแม้เราจะต้องพบเจอความผิดหวัง ปวดร้าวแค่ไหนก็ตาม ก็แค่ให้ทำใจยอมรับมัน ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันก็แค่ชั่วโมเม้นท์หนึ่ง...แล้วมันก็จะผ่านไป มีตัวละครหนึ่งในเรื่อง ถ้าผมจำไม่ผิด คือ Finnegan ได้พูดไว้ว่า "ฉันไม่ได้เล่นเบสบอลไปทั้งชีวิตหรอก ต้องดื่มด่ำตอนที่ยังทำได้" ใช่...เราคิดว่ามันจริง ต้องดื่มด่ำตอนที่ยังทำได้
ซีนช่วงท้ายเรื่องที่ Jake คุยกับ Beverly ในแม่น้ำ Jake เล่าให้ฟังถึงเรียงความที่เค้าเขียนเพื่อสมัครขอทุนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เค้าบอกว่า เค้าเขียนเรื่องของซิซีฟัส (กษัตริย์ในตำนานกรีก) กับเบสบอล ซิซีฟัสถูกสาปให้ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่เค้ากลับบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะมันช่วยให้เค้าได้จดจ่อและได้เพียรพยายามทำอะไรซักอย่างหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือเบสบอล ตัวเค้าเองไม่ได้อยู่ในระดับท็อปด้านเบสบอล ในตอนมัธยมเป็นได้แค่ทีมสำรองยอดเยี่ยมของรัฐเท่านั้น เค้าจึงต้องพยายามอย่างหนักมากๆ
Jake ยังพูดต่อไปอีกว่า "ให้ยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วปล่อยใจไปกับมันและทำชั่วขณะนั้นให้ดีที่สุด" ซึ่งตอนเค้าพูดประโยคนี้ เค้าก็กำลังทำสิ่งนั้นอยู่ และในชั่วขณะนั้น...Beverly คือคำตอบ
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/