SWEET BOY เรารักนาย
(ศฐาณพงศ์ ลิ้มวงษ์ทอง, นิรุณ ลิ้มสมวงศ์, พ.ศ. ๒๕๕๙)
...จะโดนโห่มั้ยเนี่ย
#กลัวจุง ^^ คือจะบอกว่าในบรรดาหนังวัยรุ่นแนว
‘วายปลิ้นจิ้นกระจาย’ ที่ได้ดูในปีนี้ น้องมอดโอกับเรื่องนี้ที่สุดละ ไม่ได้หมายความว่ามันเปน
‘หนังดี’ เนาะ!
(จริงๆ คือตรงกันข้าม 555+) แต่แบบว่าน้องมอดทนกับหนังได้มากกว่าเรื่องที่ได้ดูก่อนหน้า ถ้าพูดตามสำนวนของเพื่อนที่ไปดูด้วยกันคือ ดูแล้วรู้สึกอยาก
‘ทึ้งหัว’ ตัวเองน้อยกว่าเรื่องอื่น เพราะว่า…
(ออกตัวไว้หน่อยนุงนะฮะว่าขอพูดแต่ที่ชอบ อะไรที่ไม่ชอบก็ข้ามๆไป จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเขียนมากไปกว่านี้ อิอิ)
1) พระเอก-นายเอกน่าเลิฟ : เพิ่งรู้ว่าคำว่า
‘นายเอก’ เปนศัพท์ที่สาววายใช้เรียกแทน
‘นางเอก’ อะฮะ แปลแบบใต้สะดือได้ว่า
‘พระเอกที่เปนฝ่ายรับ’ (ตอนได้ยินครั้งแรกก็งงอยู่ตั้งนานว่าใครชื่อเอก ถถถถถถ…) เรื่องนี้ก็เปนอีกเรื่องที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังชายรักหญิง มากกว่าหนังชายรักชาย เพราะรูปลักษณ์ของนักแสดงหลักนั้น คนหนึ่งก็ดูแม้นแมน หุ่นล้ำบึ้ก กล้ามชัด ซิกส์เแพ็คเป๊ะ หน้าอกเปนแผง นมเปนนม ส่วนอีกคนก็ดูส้าวสาว หุ่นอ้อนแอ้น บอบบางเล็กจ้อยกะร่อยกะหริบ น่าถนุถนอมสุดๆ จับแรงนิดแรงหน่อยก็น่ากลัวจะเอวหักเสียเปล่าๆ อะไรทำนองนั้น พูดให้ชัดกว่านั้นคือดูปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าใครเปนรุกใครเปนรับ
#ผิด! ใครเปน
‘พระเอก’ ใครเปน
‘นายเอก’ ตะหาก!
(เรื่องบทบาทบนเตียง อย่าไปพูดเลยนะฮะ หนังวัยรุ่นใสๆออกจะตายไปนะเรื่องนี้เนี่ยยยยย…) ซึ่งว่าที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอกฮะที่ทำจะหาคนเล่นให้ออกมาดูชัดเจนขนาดนั้น
(แต่มันทำให้อดคิดไม่ได้ ว่าคนทำหนังเกย์บ้านเรายังคงติดกรอบความคิดแบบ ‘รักต่างเพศ’ อยู่เหมือนเดิม) เข้าใจว่าคนทำหนังคงจับกลุ่มเป้าหมายที่กลุ่มสาววายเปนหลักละมัง เพราะสาวๆกลุ่มนี้แม้จะชอบ
‘จิ้น’ มโนแจ่มเรื่องชาย-ชาย แต่ก็แลดูว่าคู่จิ้นนั้น คนหนึ่งจะต้องแลดูแมนกว่าอีกคนเสมอ เหมือนว่าถ้าแมนทั้งคู่อาจจะดู
‘เกย์’ เกินไปก็ได้ แต่ถ้าให้ดูสาวทั้งคู่...อันนี้สงสัยว่าจะไม่มีใครดูนะ หุหุ
พูดเรื่อยเปื่อยออกนอกเรื่องอีกตามเคย อิอิ … คือจะบอกว่าท่ามกลางความน่าทึ้งหัวตัวเองขณะดูหนังเรื่องนี้ อย่างเดียวที่ไม่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นคือ น้องพระเอกกับน้องนายเอก
(และรวมถึงตัวประกอบอื่นๆ) หน้าตาแจ่มใส วัยหวาน จิ้มลิ้ม น่าเอ็นดู๊...น่าเอ็นดูสุดๆ พูดง่ายๆคือเห็นหน้าน้องๆ แล้วอมยิ้ม สบายใจ ขำกลิ้ง แม้แอ็คติ้งแต่ละคนจะแข็งทื่อเปนท่อนไม้-หินผา-สากกะเบือ หาความเปนธรรมชาติไม่เจอก็ตาม แต่หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ! ทำให้ยอมมองข้ามความบกพร่องทุกอย่างไปได้หมด
#อย่าเชื่อจนกว่าจะไปพิสูจน์นะฮะ ^o^ แต่จะว่าไป น้องนายเอก แลดูมีแววน่าเวิร์คกว่าใครเพื่อนนะฮะ คำว่า
‘น่าเวิร์ค’ ในที่นี้หมายถึงการแสดง แต่คงต้องไปฝึกปรือฝีมืออีกยาวไกล หากคิดจะเอาดีในวงการนี้ แต่พูดตรงๆ คือหน้าตาบางมุมดูเผินๆ แล้วนึกถึงน้องเก้า จิรายุ เชียวนะ!
(หวังว่าจะไม่ออกนอกหน้าเกินไป)
2) Inspired by ‘รักแห่งสยาม’ ??? : ไม่รู้ใช่หรือเปล่า แต่หลายฉากหลายตอนของหนังทำให้นึกถึง “รักแห่งสยาม” อย่างเลี่ยงไม่ได้ เอาง่ายๆ น้องพระเอกเรื่องนี้ตัดผมทรงสกินเฮดเหมือน โต้ง เรื่องนั้นเลย ส่วนน้องนางเอกก็ดูหน้าเรียวๆ คางแหลมๆ ท่าทางแต๋วๆ เหมือน มิว ขณะที่แม่ในเรื่องนี้ก็เหมือน สุนีย์ เปี๊ยบเลย เพราะนางต้องรับผิดชอบทุกอย่างในครอบครัวเพียงลำพัง รวมถึงรับไม่ได้ที่ลูกจะชอบเพศเดียวกัน ก็เลยหาทางกีดกัน ไม่ให้ทั้งคู่คบกันอีก (แต่ต่างจากสุนีย์ตรงที่นางแลดูคลั่งศาสนากว่ามาก จนดูเหมือนแม่ในหนัง Carrie มากกว่า) ส่วนเนื้อเรื่องก็... คล้ายๆ “รักแห่งสยาม” อีกแหละ เพียงแต่เปลี่ยนจุดศูนย์กลางของเรื่องจากโต้งเปนมิวแทน คือเล่าเรื่องของ
แน็ค (นายเอก) เด็กหนุ่มผู้ไม่ประสีประสากับเรื่องบนเตียง เอ๊ย! เขียนแบบนั้นเด๋วคนจะเข้าใจว่าเปนหนังโป๊ งั้นเขียนใหม่นะ… เด็กหนุ่มผู้กำลังสับสนกับความรู้สึกและรสนิยมทางเพศของตน หลังจากบังเอิญได้พบเห็นภาพกิจกรรมทางเพศระหว่างชายกับชาย ทำให้เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับตนเอง เพราะแทนที่จะรู้สึกขยะแขยงอย่างที่เคยคิดว่าจะเปน ก็กลับรู้สึกโหยหาอยากโดนอยู่ลึกๆ ซะงั้น! จากนั้นก็มีเหตุการณ์โน่นนี่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย อันเปนเหมือนบททดสอบจิตใจของเขาว่าจะสามารถรับมือกับการเผชิญหน้าความซับซ้อนของชีวิตในอนาคตได้หรือไม่ หนึ่งในนั้นคือการที่เขาได้รู้จักความรักครั้งแรกกับ
ทอย (พระเอก) เพื่อนร่วมห้องเรียนที่วางตัวเองเหมือนกับคู่แข่ง แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่มิตรภาพ ความรัก และ ...
(ไม่บอกหรอก ปล่อยให้ไปดูเอง ^^)
3) Learning to Love Yourself : พูดตรงๆ คือดูโปสเตอร์หนังแล้ว รู้สึกว่าแลดูขายความเซ็กซี่ของเด็กหนุ่มเปนหลัก ส่วนตัวอย่างหนักก็ทำให้เข้าใจว่าคงจะเน้นแต่เรื่องอย่างว่าล้วนๆ รวมถึงแผนโปรโมทที่ให้ลุ้นรับกางเกงในที่นักแสดงสวมใส่ในการถ่ายทำ
#ทุเรศได้อีก! และว่าที่จริง ตอนเปิดเรื่องก็ชวนให้คิดว่าน่าจะเปนเรื่องของเด็กวัยรุ่นที่อยากเรียนรู้ประสบการณ์ทางเพศ แบบ American Pie อะไรเทือกนั้น ทั้งที่จริงประเด็นที่หนังดูจะต้องการพูดถึงจริงๆ กลับดูดีมีสาระมากกว่าเรื่องใต้สะดือหลายเท่า เพราะว่าด้วยเรื่องของการก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดของชีวิตวัยรุ่น เพื่อการเรียนรู้ที่จะเปนผู้ใหญ่ โดยมีความรักและความเข้าใจจากเพื่อนๆ และครอบครัวคอยเปนแรงสนับสนุนส่งเสริมให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงเข้มแข็ง
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การต้องรู้จักรักตัวเองให้มากๆ ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยเรื่องไร้สาระ เพราะว่าความรักที่มอบให้แก่คนอื่นนั้น อาจเปลี่ยนแปลงแปรผันไปได้ตามกาลเวลา ต่างจากความรักตัวเองที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปรเปนอื่นไปได้ เพราะในวันที่เราไม่มีใคร อย่างน้อยที่สุดเราก็ยังเหลือตัวเราที่ยังอยู่ด้วยกัน และจะไม่มีวันหนีหายไปไหนเลย… :’-P
อ่านรีวิวหนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ -->
https://www.facebook.com/MoviesLightUpNONGMODsLife/
[CR] [ MOVIE REVIEW ] "SWEET BOY เรารักนาย"
(ศฐาณพงศ์ ลิ้มวงษ์ทอง, นิรุณ ลิ้มสมวงศ์, พ.ศ. ๒๕๕๙)
...จะโดนโห่มั้ยเนี่ย #กลัวจุง ^^ คือจะบอกว่าในบรรดาหนังวัยรุ่นแนว ‘วายปลิ้นจิ้นกระจาย’ ที่ได้ดูในปีนี้ น้องมอดโอกับเรื่องนี้ที่สุดละ ไม่ได้หมายความว่ามันเปน ‘หนังดี’ เนาะ! (จริงๆ คือตรงกันข้าม 555+) แต่แบบว่าน้องมอดทนกับหนังได้มากกว่าเรื่องที่ได้ดูก่อนหน้า ถ้าพูดตามสำนวนของเพื่อนที่ไปดูด้วยกันคือ ดูแล้วรู้สึกอยาก ‘ทึ้งหัว’ ตัวเองน้อยกว่าเรื่องอื่น เพราะว่า…
(ออกตัวไว้หน่อยนุงนะฮะว่าขอพูดแต่ที่ชอบ อะไรที่ไม่ชอบก็ข้ามๆไป จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเขียนมากไปกว่านี้ อิอิ)
1) พระเอก-นายเอกน่าเลิฟ : เพิ่งรู้ว่าคำว่า ‘นายเอก’ เปนศัพท์ที่สาววายใช้เรียกแทน ‘นางเอก’ อะฮะ แปลแบบใต้สะดือได้ว่า ‘พระเอกที่เปนฝ่ายรับ’ (ตอนได้ยินครั้งแรกก็งงอยู่ตั้งนานว่าใครชื่อเอก ถถถถถถ…) เรื่องนี้ก็เปนอีกเรื่องที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังชายรักหญิง มากกว่าหนังชายรักชาย เพราะรูปลักษณ์ของนักแสดงหลักนั้น คนหนึ่งก็ดูแม้นแมน หุ่นล้ำบึ้ก กล้ามชัด ซิกส์เแพ็คเป๊ะ หน้าอกเปนแผง นมเปนนม ส่วนอีกคนก็ดูส้าวสาว หุ่นอ้อนแอ้น บอบบางเล็กจ้อยกะร่อยกะหริบ น่าถนุถนอมสุดๆ จับแรงนิดแรงหน่อยก็น่ากลัวจะเอวหักเสียเปล่าๆ อะไรทำนองนั้น พูดให้ชัดกว่านั้นคือดูปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าใครเปนรุกใครเปนรับ #ผิด! ใครเปน ‘พระเอก’ ใครเปน ‘นายเอก’ ตะหาก! (เรื่องบทบาทบนเตียง อย่าไปพูดเลยนะฮะ หนังวัยรุ่นใสๆออกจะตายไปนะเรื่องนี้เนี่ยยยยย…) ซึ่งว่าที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอกฮะที่ทำจะหาคนเล่นให้ออกมาดูชัดเจนขนาดนั้น (แต่มันทำให้อดคิดไม่ได้ ว่าคนทำหนังเกย์บ้านเรายังคงติดกรอบความคิดแบบ ‘รักต่างเพศ’ อยู่เหมือนเดิม) เข้าใจว่าคนทำหนังคงจับกลุ่มเป้าหมายที่กลุ่มสาววายเปนหลักละมัง เพราะสาวๆกลุ่มนี้แม้จะชอบ ‘จิ้น’ มโนแจ่มเรื่องชาย-ชาย แต่ก็แลดูว่าคู่จิ้นนั้น คนหนึ่งจะต้องแลดูแมนกว่าอีกคนเสมอ เหมือนว่าถ้าแมนทั้งคู่อาจจะดู ‘เกย์’ เกินไปก็ได้ แต่ถ้าให้ดูสาวทั้งคู่...อันนี้สงสัยว่าจะไม่มีใครดูนะ หุหุ
พูดเรื่อยเปื่อยออกนอกเรื่องอีกตามเคย อิอิ … คือจะบอกว่าท่ามกลางความน่าทึ้งหัวตัวเองขณะดูหนังเรื่องนี้ อย่างเดียวที่ไม่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นคือ น้องพระเอกกับน้องนายเอก (และรวมถึงตัวประกอบอื่นๆ) หน้าตาแจ่มใส วัยหวาน จิ้มลิ้ม น่าเอ็นดู๊...น่าเอ็นดูสุดๆ พูดง่ายๆคือเห็นหน้าน้องๆ แล้วอมยิ้ม สบายใจ ขำกลิ้ง แม้แอ็คติ้งแต่ละคนจะแข็งทื่อเปนท่อนไม้-หินผา-สากกะเบือ หาความเปนธรรมชาติไม่เจอก็ตาม แต่หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ! ทำให้ยอมมองข้ามความบกพร่องทุกอย่างไปได้หมด #อย่าเชื่อจนกว่าจะไปพิสูจน์นะฮะ ^o^ แต่จะว่าไป น้องนายเอก แลดูมีแววน่าเวิร์คกว่าใครเพื่อนนะฮะ คำว่า ‘น่าเวิร์ค’ ในที่นี้หมายถึงการแสดง แต่คงต้องไปฝึกปรือฝีมืออีกยาวไกล หากคิดจะเอาดีในวงการนี้ แต่พูดตรงๆ คือหน้าตาบางมุมดูเผินๆ แล้วนึกถึงน้องเก้า จิรายุ เชียวนะ! (หวังว่าจะไม่ออกนอกหน้าเกินไป)
2) Inspired by ‘รักแห่งสยาม’ ??? : ไม่รู้ใช่หรือเปล่า แต่หลายฉากหลายตอนของหนังทำให้นึกถึง “รักแห่งสยาม” อย่างเลี่ยงไม่ได้ เอาง่ายๆ น้องพระเอกเรื่องนี้ตัดผมทรงสกินเฮดเหมือน โต้ง เรื่องนั้นเลย ส่วนน้องนางเอกก็ดูหน้าเรียวๆ คางแหลมๆ ท่าทางแต๋วๆ เหมือน มิว ขณะที่แม่ในเรื่องนี้ก็เหมือน สุนีย์ เปี๊ยบเลย เพราะนางต้องรับผิดชอบทุกอย่างในครอบครัวเพียงลำพัง รวมถึงรับไม่ได้ที่ลูกจะชอบเพศเดียวกัน ก็เลยหาทางกีดกัน ไม่ให้ทั้งคู่คบกันอีก (แต่ต่างจากสุนีย์ตรงที่นางแลดูคลั่งศาสนากว่ามาก จนดูเหมือนแม่ในหนัง Carrie มากกว่า) ส่วนเนื้อเรื่องก็... คล้ายๆ “รักแห่งสยาม” อีกแหละ เพียงแต่เปลี่ยนจุดศูนย์กลางของเรื่องจากโต้งเปนมิวแทน คือเล่าเรื่องของ แน็ค (นายเอก) เด็กหนุ่มผู้ไม่ประสีประสากับเรื่องบนเตียง เอ๊ย! เขียนแบบนั้นเด๋วคนจะเข้าใจว่าเปนหนังโป๊ งั้นเขียนใหม่นะ… เด็กหนุ่มผู้กำลังสับสนกับความรู้สึกและรสนิยมทางเพศของตน หลังจากบังเอิญได้พบเห็นภาพกิจกรรมทางเพศระหว่างชายกับชาย ทำให้เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับตนเอง เพราะแทนที่จะรู้สึกขยะแขยงอย่างที่เคยคิดว่าจะเปน ก็กลับรู้สึกโหยหาอยากโดนอยู่ลึกๆ ซะงั้น! จากนั้นก็มีเหตุการณ์โน่นนี่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย อันเปนเหมือนบททดสอบจิตใจของเขาว่าจะสามารถรับมือกับการเผชิญหน้าความซับซ้อนของชีวิตในอนาคตได้หรือไม่ หนึ่งในนั้นคือการที่เขาได้รู้จักความรักครั้งแรกกับ ทอย (พระเอก) เพื่อนร่วมห้องเรียนที่วางตัวเองเหมือนกับคู่แข่ง แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่มิตรภาพ ความรัก และ ... (ไม่บอกหรอก ปล่อยให้ไปดูเอง ^^)
3) Learning to Love Yourself : พูดตรงๆ คือดูโปสเตอร์หนังแล้ว รู้สึกว่าแลดูขายความเซ็กซี่ของเด็กหนุ่มเปนหลัก ส่วนตัวอย่างหนักก็ทำให้เข้าใจว่าคงจะเน้นแต่เรื่องอย่างว่าล้วนๆ รวมถึงแผนโปรโมทที่ให้ลุ้นรับกางเกงในที่นักแสดงสวมใส่ในการถ่ายทำ #ทุเรศได้อีก! และว่าที่จริง ตอนเปิดเรื่องก็ชวนให้คิดว่าน่าจะเปนเรื่องของเด็กวัยรุ่นที่อยากเรียนรู้ประสบการณ์ทางเพศ แบบ American Pie อะไรเทือกนั้น ทั้งที่จริงประเด็นที่หนังดูจะต้องการพูดถึงจริงๆ กลับดูดีมีสาระมากกว่าเรื่องใต้สะดือหลายเท่า เพราะว่าด้วยเรื่องของการก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดของชีวิตวัยรุ่น เพื่อการเรียนรู้ที่จะเปนผู้ใหญ่ โดยมีความรักและความเข้าใจจากเพื่อนๆ และครอบครัวคอยเปนแรงสนับสนุนส่งเสริมให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงเข้มแข็ง
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การต้องรู้จักรักตัวเองให้มากๆ ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยเรื่องไร้สาระ เพราะว่าความรักที่มอบให้แก่คนอื่นนั้น อาจเปลี่ยนแปลงแปรผันไปได้ตามกาลเวลา ต่างจากความรักตัวเองที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปรเปนอื่นไปได้ เพราะในวันที่เราไม่มีใคร อย่างน้อยที่สุดเราก็ยังเหลือตัวเราที่ยังอยู่ด้วยกัน และจะไม่มีวันหนีหายไปไหนเลย… :’-P
อ่านรีวิวหนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ --> https://www.facebook.com/MoviesLightUpNONGMODsLife/