Star Trek Beyond (Justin Lin,2016) คะแนน B+
By Form Corleone
" ลูกเรือบนยานเอนเทอร์ไพร์ส ยังคงโชว์ผลงานได้น่าประจำใจ " สำหรับแฟรนไชส์ Star Trek ที่เนื้อเรื่องมักจะเน้นไปที่การทำภารกิจให้บรรลุเป้าหมาย มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างลูกเรือบนยานเอนเทอร์ไพร์ส สำหรับภาคนี้เรายังคงเห็นสไตล์การเล่าเรื่องไม่ต่างกันมากนัก แม้จะเปลี่ยนผู้กำกับเป็น ' Justin Lin ' จาก Fast&Furious ซึ่งก่อนดูก็คิดว่าหนังมันจะต้องหลุดขอบจักวาลไปไกลมากแน่ๆในความเวอร์
อะไรทำนองนั้น แต่กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง หนังกลับสนุกในสไตล์ที่มันควรจะเป็น แถมมาด้วยกลิ่นไอความเป็น 'Star Trek' ได้มากอยู่เหมือนกัน การเฉลี่ยบทให้ตัวละครแต่ละตัวถือว่าลงตัวมาก ทุกตัวมีบทบาทมีหน้าที่พอดีพอเหมาะ ไม่มีใครเด่นเกินใคร ฉากแอคชั่นมีทิ้งจังหวะหนักเบาได้พอดี พอจะพีคก็บรรเลงเพลงให้ดุดัน มีคำคมมีปรัชญาแทรกระหว่างฉากอยู่เรื่อยๆ บวกมุขตลกที่ดูเข้ากับสถานการณ์ ณ เวลานั้นได้ดีบทระหว่างตัวละครก็มีลูกเล่นให้เรายิ้มได้เรื่อยๆ (บางช็อคถึงกับขำยาวๆ) ถึงแม้องค์ประกอบของหนังหลายๆอย่างจะดูดีชวนประทับใจ แต่ด้วยสิ่งต่างๆของหนังที่ดำเนินไปอย่างตรงไปตรงมามากเกิน พล็อตเรื่องที่มีช่องว่างเต็มไปหมด รีบเกินไปที่จะให้คำตอบกับคนดูว่าต้องทำแบบนี้แบบนั้น ทำให้หนังคาดเสน่ห์ในการเล่าเรื่องไปนิดนึง แต่การมีตัวช่วยของฉากแอคชั่นที่ทำออกมาได้ดีมาก ดนตรีประกอบมีบางช่วงรู้สึกขัดๆ แต่ช่วงท้ายเรื่องเป็นความกล้าในการเลือกซาวด์ที่ช่วยให้เป็นจุดพีคของหนังเลยก็ว่าได้
สำหรับภาคนี้ภารกิจอาจจะอยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นแต่แหล่งที่มาที่ไปกลับดูเบาไปนิดในช่วงต้นเรื่อง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆก็มีประเด็นต่างๆที่แตกต่างจากภาคก่อนๆ โดยเฉพาะการโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของลูกเรื่อนมากเป็นพิเศษ ซึ่งทำออกมาได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นตัวละครแต่ละตัวยังแสดงศักยภาพกันอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์ จุดนี้ที่เด่นมากๆและภาคก่อนๆไม่มีให้เห็นเท่าไหร่ ฉากและภาพสดใสสวยงาม ไม่มีความดาร์กใดๆทั้งสิ้น เจริญตามากๆ เหมาะสมกับภาคนี้ที่ไม่จำเป็นต้องเล่นดราม่าใหญ่โตเหมือน 'Into Darkness' ซึ่งก็ภาพที่แล้วทำได้ดีในความดราม่า เรียกได้ว่าจะหยิบไปเล่นพล็อตอะไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับแฟรนไชส์ Star Trek เหมาะสมใช้งานได้ในทุกสถานการณ์
' ยานเอนเตอร์ไพร์ส ' ยังคงมีเสน่ห์อยู่เสมอ เราชอบการดำเสนอชีวิตทั่วๆไปบนยานลำนี้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ยังคงมีมนต์คลังที่ไม่เพียงแค่ตัวละครบนยานที่มีชีวิต เรายังสัมผัสได้ว่า ' ยานเอนเทอร์ไพร์ส ' ก็มีชีวิตไม่ต่างกัน คงเหมือนกับ ' บ้านที่มีชีวิต ' เพราะทุกคนในบ้านล้วนแล้วแต่มีมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน ความสำเร็จของ ' กัปตัน เจมส์ ที. เคิร์ก ' ไม่ได้เกิดขึ้นจากเขาเพียงคนเดียว ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะลูกเรือในยานลำนี้ช่วยกัน ไม่เพียงแค่คนที่อยู่เท่านั้น แต่รวมไปถึงคนที่จากไปด้วย 'ความสำเร็จเกิดขึ้นด้วยคนๆเดียวไม่ได้' และ 'บางเรื่องเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าเราควรยืนอยู่ ณ จุดไหน'
สุดท้าย 'Star Trek Beyond' ยังคงรักษามาตรฐานแฟรนไชส์นี้ได้อย่างประทับใจ ด้วยมุมมองที่สดใหม่แต่แฝงไปด้วยกลิ่นไอของความคลาสสิค ยังคงทำให้คนรุ่นไหนๆ ที่ผ่านตากับการได้ดู 'Star Trek' ในแต่ละยุคได้หลงรักการผจญภัยของพวกเขาอยู่เสมอ ความสนุกทำให้เราเพลินได้ตลอดชั่วโมงที่ได้รับชม การสำรวจหาโลกใหม่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่เพราะจักรวาลนี้นั้น...ใครจะบอกได้ว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหนกันแน่
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Star Trek Beyond (Justin Lin,2016)
By Form Corleone
" ลูกเรือบนยานเอนเทอร์ไพร์ส ยังคงโชว์ผลงานได้น่าประจำใจ " สำหรับแฟรนไชส์ Star Trek ที่เนื้อเรื่องมักจะเน้นไปที่การทำภารกิจให้บรรลุเป้าหมาย มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างลูกเรือบนยานเอนเทอร์ไพร์ส สำหรับภาคนี้เรายังคงเห็นสไตล์การเล่าเรื่องไม่ต่างกันมากนัก แม้จะเปลี่ยนผู้กำกับเป็น ' Justin Lin ' จาก Fast&Furious ซึ่งก่อนดูก็คิดว่าหนังมันจะต้องหลุดขอบจักวาลไปไกลมากแน่ๆในความเวอร์อะไรทำนองนั้น แต่กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง หนังกลับสนุกในสไตล์ที่มันควรจะเป็น แถมมาด้วยกลิ่นไอความเป็น 'Star Trek' ได้มากอยู่เหมือนกัน การเฉลี่ยบทให้ตัวละครแต่ละตัวถือว่าลงตัวมาก ทุกตัวมีบทบาทมีหน้าที่พอดีพอเหมาะ ไม่มีใครเด่นเกินใคร ฉากแอคชั่นมีทิ้งจังหวะหนักเบาได้พอดี พอจะพีคก็บรรเลงเพลงให้ดุดัน มีคำคมมีปรัชญาแทรกระหว่างฉากอยู่เรื่อยๆ บวกมุขตลกที่ดูเข้ากับสถานการณ์ ณ เวลานั้นได้ดีบทระหว่างตัวละครก็มีลูกเล่นให้เรายิ้มได้เรื่อยๆ (บางช็อคถึงกับขำยาวๆ) ถึงแม้องค์ประกอบของหนังหลายๆอย่างจะดูดีชวนประทับใจ แต่ด้วยสิ่งต่างๆของหนังที่ดำเนินไปอย่างตรงไปตรงมามากเกิน พล็อตเรื่องที่มีช่องว่างเต็มไปหมด รีบเกินไปที่จะให้คำตอบกับคนดูว่าต้องทำแบบนี้แบบนั้น ทำให้หนังคาดเสน่ห์ในการเล่าเรื่องไปนิดนึง แต่การมีตัวช่วยของฉากแอคชั่นที่ทำออกมาได้ดีมาก ดนตรีประกอบมีบางช่วงรู้สึกขัดๆ แต่ช่วงท้ายเรื่องเป็นความกล้าในการเลือกซาวด์ที่ช่วยให้เป็นจุดพีคของหนังเลยก็ว่าได้
สำหรับภาคนี้ภารกิจอาจจะอยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นแต่แหล่งที่มาที่ไปกลับดูเบาไปนิดในช่วงต้นเรื่อง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆก็มีประเด็นต่างๆที่แตกต่างจากภาคก่อนๆ โดยเฉพาะการโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของลูกเรื่อนมากเป็นพิเศษ ซึ่งทำออกมาได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นตัวละครแต่ละตัวยังแสดงศักยภาพกันอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์ จุดนี้ที่เด่นมากๆและภาคก่อนๆไม่มีให้เห็นเท่าไหร่ ฉากและภาพสดใสสวยงาม ไม่มีความดาร์กใดๆทั้งสิ้น เจริญตามากๆ เหมาะสมกับภาคนี้ที่ไม่จำเป็นต้องเล่นดราม่าใหญ่โตเหมือน 'Into Darkness' ซึ่งก็ภาพที่แล้วทำได้ดีในความดราม่า เรียกได้ว่าจะหยิบไปเล่นพล็อตอะไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับแฟรนไชส์ Star Trek เหมาะสมใช้งานได้ในทุกสถานการณ์
' ยานเอนเตอร์ไพร์ส ' ยังคงมีเสน่ห์อยู่เสมอ เราชอบการดำเสนอชีวิตทั่วๆไปบนยานลำนี้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ยังคงมีมนต์คลังที่ไม่เพียงแค่ตัวละครบนยานที่มีชีวิต เรายังสัมผัสได้ว่า ' ยานเอนเทอร์ไพร์ส ' ก็มีชีวิตไม่ต่างกัน คงเหมือนกับ ' บ้านที่มีชีวิต ' เพราะทุกคนในบ้านล้วนแล้วแต่มีมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน ความสำเร็จของ ' กัปตัน เจมส์ ที. เคิร์ก ' ไม่ได้เกิดขึ้นจากเขาเพียงคนเดียว ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะลูกเรือในยานลำนี้ช่วยกัน ไม่เพียงแค่คนที่อยู่เท่านั้น แต่รวมไปถึงคนที่จากไปด้วย 'ความสำเร็จเกิดขึ้นด้วยคนๆเดียวไม่ได้' และ 'บางเรื่องเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าเราควรยืนอยู่ ณ จุดไหน'
สุดท้าย 'Star Trek Beyond' ยังคงรักษามาตรฐานแฟรนไชส์นี้ได้อย่างประทับใจ ด้วยมุมมองที่สดใหม่แต่แฝงไปด้วยกลิ่นไอของความคลาสสิค ยังคงทำให้คนรุ่นไหนๆ ที่ผ่านตากับการได้ดู 'Star Trek' ในแต่ละยุคได้หลงรักการผจญภัยของพวกเขาอยู่เสมอ ความสนุกทำให้เราเพลินได้ตลอดชั่วโมงที่ได้รับชม การสำรวจหาโลกใหม่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่เพราะจักรวาลนี้นั้น...ใครจะบอกได้ว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหนกันแน่
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/