เขาเล่าว่า... ยังไม่เท่าตาเห็น
เที่ยวยังไงไม่มีที่พัก 4 วัน 3 คืน เชี่ยวหลาน-เกาะสมุย-หมู่เกาะอ่างทอง
ตั้งเเต่ต้นปี 2559 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ทริปการเดินทางค่อนข้างที่จะโหดพอๆกับ ทริปดอยหลวงเชียงดาว มันโหดยังไง?
เดินขึ้นดอย 8 กิโล?...ไม่ใช่!
อากาศหนาวติดลบ -2 องศา?...ไม่มี!
น้ำไม่ได้อาบ?...(เกือบ)ไม่ได้อาบ!
ที่ว่าโหดก็คือ เรารู้เเค่ว่าไปสุราษฯ ด้วยรถไฟ จะไปเชี่ยวหลาน เกาะสมุย เเค่นั้นเอง ส่วนขึ้นรถยังไง พักที่ไหน ไม่มีข้อมูลอะไรเลย
...เริ่มต้นที่ลูกสาวของลุงกลับมาจากเมกา เพื่อจะมาหาลุงที่เมืองไทย ลุงอยากให้พาน้องไปเที่ยว อยากให้ไปเป็นเพื่อนน้อง เราก็บอกโอเค จะไปเที่ยวไหนก็บอกเลย น้องสาวเลยบอกว่าอยากไปเชี่ยวหลาน เราก็ตอบตกลงไปว่า "เดี๋ยวพี่พาทัวร์เอง"
(ซึ่งเราเองก็ไม่เคยไป ไม่มีข้อมูลอะไรในหัวเลย 5555 )
ช่วงนี้ก็ดันเป็นช่วงโปรเจคไฟนอลซะด้วย! เลยยิ่งไม่มีเวลาหาข้อมูลอะไรเลย เเต่เคยได้ยินว่า เชี่ยวหลานอยู่สุราษฯ ที่สุราษฯ มีเกาะสมุย เอาว่ะ!! เที่ยวตามนี้ล่ะกัน เดี๋ยวไปมั่วข้างหน้าเอา 55555
เย็นวันพฤหัสบดี เรา 2 คน นัดเจอกันที่สถานีรถไฟบางซื่อ ที่เลือกมาขึ้นที่นี้ เพราะเคยนั่งรถไฟไปหัวหินจากที่นี่ เเละเเอบไปเห็นว่ามีไปภาคใต้บ้านเราได้ด้วย 55555 เราเลยนัดเจอกัน 17.00 น. เพราะน้องเราเเอบโทรไปเช็คกับเจ้าหน้าที่รถไฟ ได้ข้อมูลมาคร่าวๆ ว่ารอบที่เราจะไป คือรอบ 19.20 น. ถึง สุราษฯ 07.00 น. เป็นรถไฟตู้นอน เมื่อไปถึงสถานีรถไฟบางซื่อ เราก็ถามน้อง ซื้อตั๋วยัง? ...ยัง... ขุ่นพระ!!!! จะมีที่ให้นอนไหม น้องเราก็พูดปลอบใจ ว่าตั๋วมันเหลือเยอะ เจ้าหน้าที่เขาบอกมา (หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ) เราก็เลยเดินไปซื้อตั๋วที่ฝั่งสายใต้ก่อนเลย เราเลือกตู้นอนที่เป็นชั้นล่างทั้งหมด นอนตรงข้ามกัน เพราะมันสะดวก เเละมันก็น่าจะปลอดภัยที่สุด ราคาตั๋วคนละ 764 บาท จากนั้นเราก็นั่งรอ... จนรถไฟมา ปู้นๆๆๆ รถไฟมาถึง 19.30 น. ซึ่งมาช้าจากที่คิดไว้ไป 10 นาที ให้อภัยได้ 55555 เราก็ตรงไปยังที่นั่งของเราทันที บนรถไฟตู้นอนของเรา เป็นตู้นอนเเอร์ (นี่ก็ขึ้นครั้งเเรกเลยยย) ถัดจากตู้นอนเเอร์ก็จะเป็นตู้นอนไม่เเอร์ ตอนซื้อลืมถาม ราคาถูกกว่า 5555 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ความจริงการรถไฟของไทย ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ยังให้ความนิยมรถไฟไทยพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวสายลุยๆ หรือที่เรารู้จักก็ backpacker นั่นเองแหละ บนรถไฟตู้นอนยังมีร้านอาหารอยู่บนนี้ด้วย มีอาหารตามสั่งให้เลือก ส่วนใหญ่จะจัดเป็นเซ็ตไว้ ราคา ก็อยู่ที่ราวๆ 100-170 บาท ได้กับข้าว 2-3 อย่าง พร้อมข้าวสวยร้อนๆ ใครขึ้นไปอุดหนุนได้เลย! เเต่เรา 2 คน ไม่ได้อุดหนุน เพราะ กินกันมาอิ่มเเล้ว อีกอย่างนะ อาหารเยอะเกินไป เดี๋ยวกินไม่หมด เสียดายกับข้าว 555 เราก็นั่งคุยกันสักพัก มีความรู้สึกว่า ร่างกายต้องการที่นอนมากๆ เราเลยเลือกที่จะพักผ่อนสายตากันดีกว่า รถไฟตู้นอนดีเอาเรื่องทีเดียว เเอร์เย็นกว่าห้างสรรพสินค้าเสียอีก เเถมที่นอนก็เหมือนนอนอยู่บ้าน ยืดขาได้เต็มที่ มีหน้าต่างชมวิวข้างทาง มีผ้าห่มใหม่เอี่ยม หมอนนุ่มๆ โคมไฟบนหัว เเละมีผ้าม่านปิดอีกด้วย ครบสูตร! ผ้าม่านที่นี้จะเป็นสีเขียว มีไว้เพื่อ เวลาเรานอน จะได้ดึงมาปิดกันเเสงจากหลอดไฟด้านนอก เพราะบนรถไฟ เปิดไฟตลอดทั้งคืน เเละยังมอบความเป็นส่วนตัวเหมือนอยู่ห้องนอนที่บ้านอีกด้วย 55555 ที่นอนดีขนาดนี้ หลับสบายกันทั่วหน้าล่ะฮะคุณผู้ชม ลืมบอกไปอีกอย่าง เมื่อเราขึ้นมาบนรถไฟเเล้ว เจ้าหน้าที่จะมาตรวจตั๋ว เเละเช็คข้อมูลตามตั๋ว เพื่อความปลอดภัย เเต่เเนะนำสาวๆ ที่อยากขึ้น เเต่งตัวให้มิดชิดสักนิดนึง ใส่กางเกงขายาว เสื้อมีเเขนจะดีกว่า ปลอดภัยจากอาชญากรรม เเละกันหนาวได้ด้วยนะ (แอร์เย็นนนนน) ส่วนใครที่ยังไม่ง่วง ก็สามารถเรียกพนักงานรถไฟที่อยู่บริเวณนั้น ให้เขามาทำตู้นอนของเราให้เป็นตู้นั่งได้ เป็นยังไงล่ะรถไฟไทยตู้นอน ดีเอาเรื่องทีเดียว!! ของเเบบนี้ต้องลองค่ะ
ลืมตาขึ้นมาอีกทีในเช้าตรู่ของวันศุกร์ เราก็มาถึงสถานีรถไฟสุราษฯ คืนเเรกผ่านไป เราสองคน นอนหลับสบายบนตู้นอนรถไฟไทย ที่เหมือนย้ายห้องนอนมาไว้ที่นี้ (เเอร์ยังเย็นยันเช้า) รถไฟมาถึงสถานี เวลา 07.20 น. ซึ่งช้าไป 20 นาที เเต่ก็ไม่เป็นไร อาจจะเเวะเก็บเห็ดยามดึก เลยทำให้มาช้า 5555 เเละเเน่นอนว่าพอลืมตาขึ้นมา ร่างกายก็ต้องทำงาน ความหิวเริ่มส่งเสียงด้วยสัญญาณร้อง จ๊อก! จ๊อก! (เสียงอะไรว่ะ หนูไม่รู้ หนูจำเขามา 5555) เราสองคน จึงเดินหาร้านข้าวเเถวนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ร้านข้าวหน้าสถานีรถไฟสุราษฯ จะเป็นร้านอาหารใต้ อาหารตามสั่งปกติก็มี
ก่อนกินข้าวเสร็จ ก็เเอบถามคุณป้าร้านอาหาร ว่ามีรถจากตรงนี้ไปเชี่ยวหลานไหม คุณป้าเเกก็ตอบว่าไม่รู้ เดี๋ยวให้คุณลุงมาตอบจะดีกว่า ป้าไม่ค่อยรู้ทาง พูดยังไม่ทันขาดคำ คุณลุงก็เดินมาบอกว่า
"ถ้าจะไปเชี่ยวหลาน นั่งรถตู้ไปก็ได้ คนละ 150 ถ้าไปนั่งตามรถที่จอดหน้าสถานีรถไฟ ส่วนใหญ่จะเป็นรถเหมา เหมาะสำหรับมาเที่ยวกันหลายๆ คน เดี๋ยวลุงให้เบอร์ติดต่อไป หนูก็โทรบอกเขาว่าให้มารับหน้าสถานีรถไฟ"
คุณลุงให้ข้อมูลมาขนาดนี้ ก็โทรเลยทันทีไม่รีรอ! เราโทรนัดกับรถตู้เรียบร้อย เขาจะมารับเราอีก 15 นาที ซึ่งตอนนี้ก็ 08.15 น. นั่นหมายความว่าเราจะได้ขึ้นรถ 08.30 น. นั่นเอง เมื่อถึงเวลารถตู้ก็มารับเราหน้าสถานีรถไฟสุราษฯ เราใช้เวลาเดินทางไปยังเชี่ยวหลาน 1 ชั่วโมง 30 นาที มาถึงที่เชี่ยวหลานเวลา 10.00 น. ก่อนลงจากรถ เราสองคน ก็ทำเสต็ปเดิมเเละในฐานะที่เป็นพี่(คนพาทัวร์) เราเองก็ถามพี่คนขับรถตู้ว่า
" ถ้าจะนั่งกลับไปที่สถานีรถไฟสุราษฯ มีรถกลับไปไหม เเล้วหมดกี่โมง "
" มีๆ ครับ รถหมด 4 โมง คันสุดท้ายที่มาถึงที่นี่ 4 โมงเย็น เดี๋ยวเอาเบอร์พี่ไป ไว้โทรได้เลยครับ "
" ขอบคุณค้าาา "
นี่แหละคือการเดินทางแบบไปลุ้นเอาข้างหน้า เเพลนไม่มี ก็ต้องใช้สิ่งที่มีอยู่ในตัวเรามาเป็นตัวช่วยในการเดินทางครั้งนี้ ถามไปเถอะ ถ้ามันเป็นประโยชน์เเก่เรา อย่าเอาไว้ใช้อมฮอลล์คูลอย่างเดียว 55555 คนไทยมีน้ำใจ ถามได้เลยค้าาา
หลังจากที่เราก้าวขาลงจากรถตู้ สิ่งเเรกที่เห็นคือ...เมี๊ยวววว แฮร่! ไม่ใช่ นักท่องเที่ยว เเฮร่! ถูกเเล้ว เรามองเห็นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยเเละชาวต่างชาติเยอะมาก เเละหนักไปกว่านั้น พวกลุงๆ ป้าๆ อากง อาจุมม่า หลายๆอา มากันเป็นหมู่คณะเต็มไปหมด หรือที่พวกเราชอบเรียก ทัวร์จีนนน นั่นเอง (มนุษย์ป้า + อาจุมม่าทัวร์จีน = ...... ละไว้ในฐานที่เข้าใจ 5555) เราจึงเปลี่ยนใจไปซื้อน้ำกินกันก่อน ก่อนที่จะมีเรื่องกับพวกมนุษย์ป้าอาจุมม่าทัวร์จีน 5555
เมื่อซื้อเสบียงเสร็จ เราก็เดินมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการเรื่องเรือ ซึ่งบอกก่อนเลยว่า กรูไม่มีข้อมูลอารายยยเบยยย - -' เดี๋ยวไปฟังพี่เจ้าหน้าที่ เขาจะเเจกเเจงข้อมูลให้ฟังดังนี้
- ถ้าจะเช่าเรือไป-กลับ 2 ชั่วโมง ราคาคนละ 1,200 บาท (สถานที่เที่ยวต้องไปเลือกอีกที)
- ถ้าจะเช่าเรือไป-กลับ 4 ชั่วโมง ราคาคนละ 1,400 บาท (สถานที่เที่ยวต้องไปเลือกอีกที)
- ถ้าจองที่พักไว้ ส่วนใหญ่ที่พัก ก็จะมีเรือมารับ อันนี้ราคาก็จะขึ้นอยู่กับที่พักที่เราเลือก
ขุ่นพระ!!! พันกว่าบาท! (อันนี้ใครเจรจาต่อราคาได้ ก็ถือว่ามีความสามารถมากๆ เเต่ไม่ใช่เราสองคน เเน่นอน!) เราสองคน จึงเดินออกมาข้างนอกแบบเงียบๆ 55555 ออกมาคิดเว้ยยยยย ราคานี่พอตัวอยู่นะ เข้าใจอยู่นะ ว่าน้องสาวมีเงิน เเต่ด้วยความที่พี่มันสายลุย สายประหยัด จะมาเเพงหูฉี่แบบนี้ไม่ได้! ปรึกษากันไป ปรึกษากันมา สรุปได้ว่า...
" พี่ค่ะ ขอเช่าเรือไป-กลับ 4 ชั่วโมง 2 คน ทั้งหมดเท่าไหร่ค่ะ เเล้วเรือออกกี่โมง"
(พีคคคคคคคไหมล่ะฮะคุณผู้ชมมม 5555555)
" ห้ะ อ่อๆ ทั้งหมด 2,880 บาท ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท มีเรือหางยาว กับ เรือขับ น้องจะเอาเรืออะไรครับ"
(ยังมีลูกเล่นนนอีกนะ ให้เลือกเรือซะด้วยย)
" ถ้าน้องชอบลุยๆ น้ำกระเด็น ก็หางยาว ถ้าชอบสวยๆ สบายๆ ก็เรือขับ"
(เหมือนรู้ว่าคิดอะไรอยู่ 55555)
" งั้นเอาเรือหางยาวล่ะกันค่ะ ขึ้นรอบกี่โมงค่ะ"
" ไปได้เลย กับพี่เขานี่แหละ"
เเล้วพี่เจ้าหน้าที่ ก็ชี้ไปที่คนขับเรือของเราทางฝั่งซ้ายมือพี่เจ้าหน้าที่ เเท่เเด้มมมมม!!! นี่ตาฝาดหรือเปล่า พี่เขาจะทำอะไรพวกหนูม้ายย น่าตาพี่ไม่น่าไว้ใจเลย พยายามจะคิดนะ ว่าอย่ามองงคนที่ภายนอก เเต่ก็อดคิดไม่ได้เลย 55555 เเล้วพี่เขาก็ชวนเราไปขึ้นเรือ (เดินตามสิฮะคุณผู้ชม 555)
ก่อนที่เราจะลงไปขึ้นเรือ เราก็ต้องโดนปาปารัซซี่เเอบถ่ายรูปก่อน เเฮร่! ไม่ใช่ ผู้ให้บริการเช่าเรือ จะถ่ายรูปไว้ อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าถ่ายไปทำไม ถ้าให้เดา คงถ่ายไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน คนจมน้ำ คนหาย น่าจะประมาณนี้ เพราะจะได้ดูในรูปว่าลูกทัวร์คนไหนหายไป เอาเป็นว่าให้เขาถ่ายเถอะ เเต่หน้าเสียดายที่ทัวร์ของเราสองคน ไม่มี 5555 ขับเรือออกมาได้พักใหญ่ๆ เราก็เริ่มบทสนทนา กับ พี่คนขับเรือ โดยเราเป็นฝ่ายบุกรุกก่อน เราก็ถามนู้น ถามนี่ ถามนั่น ถามทุกนาที (คนที่ถามมีเเต่เราเองนะที่ถาม 5555) พอจะได้ความรู้คร่าวๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า
เดิมชื่อเขื่อนเชี่ยวหลาน หลังการสร้างเสร็จในหลวงก็ทรงพระราชทานนามให้ใหม่ว่า เขื่อนรัชชประภา ซึ่งเขื่อนนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดในอุทยานเเห่งชาติเขาสก เเต่ก่อนที่นี่ น้ำลึกมาก ภายหลังมาช่วง 2-3 ปี นี้ เเห้งเเล้งมาก
โดยเฉพาะปีล่าสุด 2559 น้ำลดลงไปเยอะมาก พี่อยู่ที่นี่มาตั้งเเต่เด็ก ตอนนี้ก็ 30 ปี กว่าเเล้ว ช่วง 1-2 ปีนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ไม่รู้เเห่มาจากไหน วันธรรมดา อย่างวันศุกร์ คนจะน้อย เเต่เเปลกมาก ที่วันนี้คนเยอะ เป็นพิเศษ น้องโชคดีนะที่ได้นั่งเรือกับพี่ 55555 ขับเรือไปอีกนิด พี่เขาก็พาเรามา จุดถ่ายรูป จุดเเรก บอกได้เลยว่าสวยมาก เเต่ที่เขื่อนเเห่งนี้ไม่ได้สวยเเค่ตรงนี้ มันสวยทุกที่!
ถึงเเดดจะดูเเรงไปหน่อย เเต่ความเย็นของน้ำ ทำให้ความร้อนไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย อยากลองให้ทุกคนมาเจอของจริง เห็นด้วยตาจะดีกว่า มันดีกว่าจากเขาเล่าว่า... เป็นก่ายกอง
[CR] เที่ยวยังไงไม่มีที่พัก4 วัน 3 คืน เชี่ยวหลาน-สมุย-หมู่เกาะอ่างทอง
เขาเล่าว่า... ยังไม่เท่าตาเห็น
เที่ยวยังไงไม่มีที่พัก 4 วัน 3 คืน เชี่ยวหลาน-เกาะสมุย-หมู่เกาะอ่างทอง
ตั้งเเต่ต้นปี 2559 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ทริปการเดินทางค่อนข้างที่จะโหดพอๆกับ ทริปดอยหลวงเชียงดาว มันโหดยังไง?
เดินขึ้นดอย 8 กิโล?...ไม่ใช่!
อากาศหนาวติดลบ -2 องศา?...ไม่มี!
น้ำไม่ได้อาบ?...(เกือบ)ไม่ได้อาบ!
ที่ว่าโหดก็คือ เรารู้เเค่ว่าไปสุราษฯ ด้วยรถไฟ จะไปเชี่ยวหลาน เกาะสมุย เเค่นั้นเอง ส่วนขึ้นรถยังไง พักที่ไหน ไม่มีข้อมูลอะไรเลย
...เริ่มต้นที่ลูกสาวของลุงกลับมาจากเมกา เพื่อจะมาหาลุงที่เมืองไทย ลุงอยากให้พาน้องไปเที่ยว อยากให้ไปเป็นเพื่อนน้อง เราก็บอกโอเค จะไปเที่ยวไหนก็บอกเลย น้องสาวเลยบอกว่าอยากไปเชี่ยวหลาน เราก็ตอบตกลงไปว่า "เดี๋ยวพี่พาทัวร์เอง"
(ซึ่งเราเองก็ไม่เคยไป ไม่มีข้อมูลอะไรในหัวเลย 5555 )
ช่วงนี้ก็ดันเป็นช่วงโปรเจคไฟนอลซะด้วย! เลยยิ่งไม่มีเวลาหาข้อมูลอะไรเลย เเต่เคยได้ยินว่า เชี่ยวหลานอยู่สุราษฯ ที่สุราษฯ มีเกาะสมุย เอาว่ะ!! เที่ยวตามนี้ล่ะกัน เดี๋ยวไปมั่วข้างหน้าเอา 55555
เย็นวันพฤหัสบดี เรา 2 คน นัดเจอกันที่สถานีรถไฟบางซื่อ ที่เลือกมาขึ้นที่นี้ เพราะเคยนั่งรถไฟไปหัวหินจากที่นี่ เเละเเอบไปเห็นว่ามีไปภาคใต้บ้านเราได้ด้วย 55555 เราเลยนัดเจอกัน 17.00 น. เพราะน้องเราเเอบโทรไปเช็คกับเจ้าหน้าที่รถไฟ ได้ข้อมูลมาคร่าวๆ ว่ารอบที่เราจะไป คือรอบ 19.20 น. ถึง สุราษฯ 07.00 น. เป็นรถไฟตู้นอน เมื่อไปถึงสถานีรถไฟบางซื่อ เราก็ถามน้อง ซื้อตั๋วยัง? ...ยัง... ขุ่นพระ!!!! จะมีที่ให้นอนไหม น้องเราก็พูดปลอบใจ ว่าตั๋วมันเหลือเยอะ เจ้าหน้าที่เขาบอกมา (หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ) เราก็เลยเดินไปซื้อตั๋วที่ฝั่งสายใต้ก่อนเลย เราเลือกตู้นอนที่เป็นชั้นล่างทั้งหมด นอนตรงข้ามกัน เพราะมันสะดวก เเละมันก็น่าจะปลอดภัยที่สุด ราคาตั๋วคนละ 764 บาท จากนั้นเราก็นั่งรอ... จนรถไฟมา ปู้นๆๆๆ รถไฟมาถึง 19.30 น. ซึ่งมาช้าจากที่คิดไว้ไป 10 นาที ให้อภัยได้ 55555 เราก็ตรงไปยังที่นั่งของเราทันที บนรถไฟตู้นอนของเรา เป็นตู้นอนเเอร์ (นี่ก็ขึ้นครั้งเเรกเลยยย) ถัดจากตู้นอนเเอร์ก็จะเป็นตู้นอนไม่เเอร์ ตอนซื้อลืมถาม ราคาถูกกว่า 5555 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ความจริงการรถไฟของไทย ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ยังให้ความนิยมรถไฟไทยพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวสายลุยๆ หรือที่เรารู้จักก็ backpacker นั่นเองแหละ บนรถไฟตู้นอนยังมีร้านอาหารอยู่บนนี้ด้วย มีอาหารตามสั่งให้เลือก ส่วนใหญ่จะจัดเป็นเซ็ตไว้ ราคา ก็อยู่ที่ราวๆ 100-170 บาท ได้กับข้าว 2-3 อย่าง พร้อมข้าวสวยร้อนๆ ใครขึ้นไปอุดหนุนได้เลย! เเต่เรา 2 คน ไม่ได้อุดหนุน เพราะ กินกันมาอิ่มเเล้ว อีกอย่างนะ อาหารเยอะเกินไป เดี๋ยวกินไม่หมด เสียดายกับข้าว 555 เราก็นั่งคุยกันสักพัก มีความรู้สึกว่า ร่างกายต้องการที่นอนมากๆ เราเลยเลือกที่จะพักผ่อนสายตากันดีกว่า รถไฟตู้นอนดีเอาเรื่องทีเดียว เเอร์เย็นกว่าห้างสรรพสินค้าเสียอีก เเถมที่นอนก็เหมือนนอนอยู่บ้าน ยืดขาได้เต็มที่ มีหน้าต่างชมวิวข้างทาง มีผ้าห่มใหม่เอี่ยม หมอนนุ่มๆ โคมไฟบนหัว เเละมีผ้าม่านปิดอีกด้วย ครบสูตร! ผ้าม่านที่นี้จะเป็นสีเขียว มีไว้เพื่อ เวลาเรานอน จะได้ดึงมาปิดกันเเสงจากหลอดไฟด้านนอก เพราะบนรถไฟ เปิดไฟตลอดทั้งคืน เเละยังมอบความเป็นส่วนตัวเหมือนอยู่ห้องนอนที่บ้านอีกด้วย 55555 ที่นอนดีขนาดนี้ หลับสบายกันทั่วหน้าล่ะฮะคุณผู้ชม ลืมบอกไปอีกอย่าง เมื่อเราขึ้นมาบนรถไฟเเล้ว เจ้าหน้าที่จะมาตรวจตั๋ว เเละเช็คข้อมูลตามตั๋ว เพื่อความปลอดภัย เเต่เเนะนำสาวๆ ที่อยากขึ้น เเต่งตัวให้มิดชิดสักนิดนึง ใส่กางเกงขายาว เสื้อมีเเขนจะดีกว่า ปลอดภัยจากอาชญากรรม เเละกันหนาวได้ด้วยนะ (แอร์เย็นนนนน) ส่วนใครที่ยังไม่ง่วง ก็สามารถเรียกพนักงานรถไฟที่อยู่บริเวณนั้น ให้เขามาทำตู้นอนของเราให้เป็นตู้นั่งได้ เป็นยังไงล่ะรถไฟไทยตู้นอน ดีเอาเรื่องทีเดียว!! ของเเบบนี้ต้องลองค่ะ
ลืมตาขึ้นมาอีกทีในเช้าตรู่ของวันศุกร์ เราก็มาถึงสถานีรถไฟสุราษฯ คืนเเรกผ่านไป เราสองคน นอนหลับสบายบนตู้นอนรถไฟไทย ที่เหมือนย้ายห้องนอนมาไว้ที่นี้ (เเอร์ยังเย็นยันเช้า) รถไฟมาถึงสถานี เวลา 07.20 น. ซึ่งช้าไป 20 นาที เเต่ก็ไม่เป็นไร อาจจะเเวะเก็บเห็ดยามดึก เลยทำให้มาช้า 5555 เเละเเน่นอนว่าพอลืมตาขึ้นมา ร่างกายก็ต้องทำงาน ความหิวเริ่มส่งเสียงด้วยสัญญาณร้อง จ๊อก! จ๊อก! (เสียงอะไรว่ะ หนูไม่รู้ หนูจำเขามา 5555) เราสองคน จึงเดินหาร้านข้าวเเถวนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ร้านข้าวหน้าสถานีรถไฟสุราษฯ จะเป็นร้านอาหารใต้ อาหารตามสั่งปกติก็มี
ก่อนกินข้าวเสร็จ ก็เเอบถามคุณป้าร้านอาหาร ว่ามีรถจากตรงนี้ไปเชี่ยวหลานไหม คุณป้าเเกก็ตอบว่าไม่รู้ เดี๋ยวให้คุณลุงมาตอบจะดีกว่า ป้าไม่ค่อยรู้ทาง พูดยังไม่ทันขาดคำ คุณลุงก็เดินมาบอกว่า
"ถ้าจะไปเชี่ยวหลาน นั่งรถตู้ไปก็ได้ คนละ 150 ถ้าไปนั่งตามรถที่จอดหน้าสถานีรถไฟ ส่วนใหญ่จะเป็นรถเหมา เหมาะสำหรับมาเที่ยวกันหลายๆ คน เดี๋ยวลุงให้เบอร์ติดต่อไป หนูก็โทรบอกเขาว่าให้มารับหน้าสถานีรถไฟ"
คุณลุงให้ข้อมูลมาขนาดนี้ ก็โทรเลยทันทีไม่รีรอ! เราโทรนัดกับรถตู้เรียบร้อย เขาจะมารับเราอีก 15 นาที ซึ่งตอนนี้ก็ 08.15 น. นั่นหมายความว่าเราจะได้ขึ้นรถ 08.30 น. นั่นเอง เมื่อถึงเวลารถตู้ก็มารับเราหน้าสถานีรถไฟสุราษฯ เราใช้เวลาเดินทางไปยังเชี่ยวหลาน 1 ชั่วโมง 30 นาที มาถึงที่เชี่ยวหลานเวลา 10.00 น. ก่อนลงจากรถ เราสองคน ก็ทำเสต็ปเดิมเเละในฐานะที่เป็นพี่(คนพาทัวร์) เราเองก็ถามพี่คนขับรถตู้ว่า
" ถ้าจะนั่งกลับไปที่สถานีรถไฟสุราษฯ มีรถกลับไปไหม เเล้วหมดกี่โมง "
" มีๆ ครับ รถหมด 4 โมง คันสุดท้ายที่มาถึงที่นี่ 4 โมงเย็น เดี๋ยวเอาเบอร์พี่ไป ไว้โทรได้เลยครับ "
" ขอบคุณค้าาา "
นี่แหละคือการเดินทางแบบไปลุ้นเอาข้างหน้า เเพลนไม่มี ก็ต้องใช้สิ่งที่มีอยู่ในตัวเรามาเป็นตัวช่วยในการเดินทางครั้งนี้ ถามไปเถอะ ถ้ามันเป็นประโยชน์เเก่เรา อย่าเอาไว้ใช้อมฮอลล์คูลอย่างเดียว 55555 คนไทยมีน้ำใจ ถามได้เลยค้าาา
หลังจากที่เราก้าวขาลงจากรถตู้ สิ่งเเรกที่เห็นคือ...เมี๊ยวววว แฮร่! ไม่ใช่ นักท่องเที่ยว เเฮร่! ถูกเเล้ว เรามองเห็นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยเเละชาวต่างชาติเยอะมาก เเละหนักไปกว่านั้น พวกลุงๆ ป้าๆ อากง อาจุมม่า หลายๆอา มากันเป็นหมู่คณะเต็มไปหมด หรือที่พวกเราชอบเรียก ทัวร์จีนนน นั่นเอง (มนุษย์ป้า + อาจุมม่าทัวร์จีน = ...... ละไว้ในฐานที่เข้าใจ 5555) เราจึงเปลี่ยนใจไปซื้อน้ำกินกันก่อน ก่อนที่จะมีเรื่องกับพวกมนุษย์ป้าอาจุมม่าทัวร์จีน 5555
เมื่อซื้อเสบียงเสร็จ เราก็เดินมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการเรื่องเรือ ซึ่งบอกก่อนเลยว่า กรูไม่มีข้อมูลอารายยยเบยยย - -' เดี๋ยวไปฟังพี่เจ้าหน้าที่ เขาจะเเจกเเจงข้อมูลให้ฟังดังนี้
- ถ้าจะเช่าเรือไป-กลับ 2 ชั่วโมง ราคาคนละ 1,200 บาท (สถานที่เที่ยวต้องไปเลือกอีกที)
- ถ้าจะเช่าเรือไป-กลับ 4 ชั่วโมง ราคาคนละ 1,400 บาท (สถานที่เที่ยวต้องไปเลือกอีกที)
- ถ้าจองที่พักไว้ ส่วนใหญ่ที่พัก ก็จะมีเรือมารับ อันนี้ราคาก็จะขึ้นอยู่กับที่พักที่เราเลือก
ขุ่นพระ!!! พันกว่าบาท! (อันนี้ใครเจรจาต่อราคาได้ ก็ถือว่ามีความสามารถมากๆ เเต่ไม่ใช่เราสองคน เเน่นอน!) เราสองคน จึงเดินออกมาข้างนอกแบบเงียบๆ 55555 ออกมาคิดเว้ยยยยย ราคานี่พอตัวอยู่นะ เข้าใจอยู่นะ ว่าน้องสาวมีเงิน เเต่ด้วยความที่พี่มันสายลุย สายประหยัด จะมาเเพงหูฉี่แบบนี้ไม่ได้! ปรึกษากันไป ปรึกษากันมา สรุปได้ว่า...
" พี่ค่ะ ขอเช่าเรือไป-กลับ 4 ชั่วโมง 2 คน ทั้งหมดเท่าไหร่ค่ะ เเล้วเรือออกกี่โมง"
(พีคคคคคคคไหมล่ะฮะคุณผู้ชมมม 5555555)
" ห้ะ อ่อๆ ทั้งหมด 2,880 บาท ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท มีเรือหางยาว กับ เรือขับ น้องจะเอาเรืออะไรครับ"
(ยังมีลูกเล่นนนอีกนะ ให้เลือกเรือซะด้วยย)
" ถ้าน้องชอบลุยๆ น้ำกระเด็น ก็หางยาว ถ้าชอบสวยๆ สบายๆ ก็เรือขับ"
(เหมือนรู้ว่าคิดอะไรอยู่ 55555)
" งั้นเอาเรือหางยาวล่ะกันค่ะ ขึ้นรอบกี่โมงค่ะ"
" ไปได้เลย กับพี่เขานี่แหละ"
เเล้วพี่เจ้าหน้าที่ ก็ชี้ไปที่คนขับเรือของเราทางฝั่งซ้ายมือพี่เจ้าหน้าที่ เเท่เเด้มมมมม!!! นี่ตาฝาดหรือเปล่า พี่เขาจะทำอะไรพวกหนูม้ายย น่าตาพี่ไม่น่าไว้ใจเลย พยายามจะคิดนะ ว่าอย่ามองงคนที่ภายนอก เเต่ก็อดคิดไม่ได้เลย 55555 เเล้วพี่เขาก็ชวนเราไปขึ้นเรือ (เดินตามสิฮะคุณผู้ชม 555)
ก่อนที่เราจะลงไปขึ้นเรือ เราก็ต้องโดนปาปารัซซี่เเอบถ่ายรูปก่อน เเฮร่! ไม่ใช่ ผู้ให้บริการเช่าเรือ จะถ่ายรูปไว้ อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าถ่ายไปทำไม ถ้าให้เดา คงถ่ายไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน คนจมน้ำ คนหาย น่าจะประมาณนี้ เพราะจะได้ดูในรูปว่าลูกทัวร์คนไหนหายไป เอาเป็นว่าให้เขาถ่ายเถอะ เเต่หน้าเสียดายที่ทัวร์ของเราสองคน ไม่มี 5555 ขับเรือออกมาได้พักใหญ่ๆ เราก็เริ่มบทสนทนา กับ พี่คนขับเรือ โดยเราเป็นฝ่ายบุกรุกก่อน เราก็ถามนู้น ถามนี่ ถามนั่น ถามทุกนาที (คนที่ถามมีเเต่เราเองนะที่ถาม 5555) พอจะได้ความรู้คร่าวๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า
เดิมชื่อเขื่อนเชี่ยวหลาน หลังการสร้างเสร็จในหลวงก็ทรงพระราชทานนามให้ใหม่ว่า เขื่อนรัชชประภา ซึ่งเขื่อนนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดในอุทยานเเห่งชาติเขาสก เเต่ก่อนที่นี่ น้ำลึกมาก ภายหลังมาช่วง 2-3 ปี นี้ เเห้งเเล้งมาก
โดยเฉพาะปีล่าสุด 2559 น้ำลดลงไปเยอะมาก พี่อยู่ที่นี่มาตั้งเเต่เด็ก ตอนนี้ก็ 30 ปี กว่าเเล้ว ช่วง 1-2 ปีนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก ไม่รู้เเห่มาจากไหน วันธรรมดา อย่างวันศุกร์ คนจะน้อย เเต่เเปลกมาก ที่วันนี้คนเยอะ เป็นพิเศษ น้องโชคดีนะที่ได้นั่งเรือกับพี่ 55555 ขับเรือไปอีกนิด พี่เขาก็พาเรามา จุดถ่ายรูป จุดเเรก บอกได้เลยว่าสวยมาก เเต่ที่เขื่อนเเห่งนี้ไม่ได้สวยเเค่ตรงนี้ มันสวยทุกที่!
ถึงเเดดจะดูเเรงไปหน่อย เเต่ความเย็นของน้ำ ทำให้ความร้อนไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย อยากลองให้ทุกคนมาเจอของจริง เห็นด้วยตาจะดีกว่า มันดีกว่าจากเขาเล่าว่า... เป็นก่ายกอง