ประสบการณ์ที่ได้ไปชมเมืองพระศรีอาริย์มา

กระทู้สนทนา
ขอโอกาสเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมโดยที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยคือผมมีโอกาสได้ไปชมเมืองพระศรีอาริย์มาแล้ว 2 ครั้งซึ่งครั้งแรกไปเมื่อปี 57 ซึ่งไปทัวร์กับคณะของรถเมล์ ขสมก.เขตที่ 1 (อู่บางเขน) เพื่อไปชมทุ่งดอกกระเจียวที่ จชัยภูมิ แต่ก่อนหน้านั้นก็จะมีการแวะวัดพนมวันและวัดเขาชุมพลเพื่อร่วมทำบุญถวายสังฆทานกันกับลูกทัวร์ที่มาด้วยกันตามกำลังศรัทธาของแต่ละท่าน เสร็จแล้วจึงได้พาเข้าไปชมเมืองพระศรีอาริย์ก่อนที่จะไปชมทุ่งดอกกระเจียวกันซึ่งตัวผมตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าอยากจะไปเห็นเมืองจำลองในยุคของพระศรีอาริย์ว่าจะเป็นเช่นไร ครั้งแรกที่ได้ไปชมทาง ขสมก.ได้ให้เวลาเยี่ยมชม 30 นาทีซึ่งก็ถือว่าไม่มากและก็ไม่น้อยเกินไปนักเพียงแต่จะทำอะไรก็ต้องรีบทำเลยก็เลยตั้งใจถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศให้ได้หลาย ๆ มุมเพื่อจะเก็บเอาไว้ดูอีกครั้งผมเดินถ่ายไปเรื่อย ๆ จนมาถึงด้านในซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์พระศรีอาริย์ตั้งอยู่เป็นสง่างามมาก องค์ใหญ่พอสมควรเลยก็เลยถ่ายรูปเอาไว้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็กะว่าจะเดินไปที่ด้านหลังขององค์พระศรีอาริย์ดูว่าจะมีอะไรให้ดูอีกแต่พอผมกำลังจะเดินผ่านทางด้านข้างขององค์พระศรีอาริย์ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของผม (ที่วงกลมสีแดง) แต่แล้วก็ได้เกิดความรู้สึกที่ประหลาดขึ้นกับผมนี่นคือ ตัวผมเกิดความสงบและปลื้มปีติลึก ๆ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาซึ่งปกติแล้วถ้าผมเกิดความซาบซึ้งหรือปลื้มปีติครั้งใดก็จะต้องเป็นหลั่งน้ำตาออกมาทุกครั้งเลยและไม่สามารถจะห้ามเอาไว้ได้และเกิดขนลุกขึ้นตั้งแต่เท้าไปจนถึงศรีษะเลยแต่พอผมเดินผ่านมาจากตรงนั้นความรู้สึกนี้ก็ได้หายไป ผมแค่สงสัยว่าตั้งแต่เดินเข้ามาก็ผ่านพระพุทธรูปหลายองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายอย่างแต่ไม่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาเลย แต่พอกะว่าจะลองไปเดินผ่านดูอีกครั้งนึงแต่ก็ไม่ทันเพราะต้องรีบไปขึ้นรถแล้วจึงทำให้ผมคิดไปว่า นี่เราคิดไปเองหรือเปล่านะซึ่งยังไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมนั้นคืออะไรกันแน่และผมคิดไปเองหรือเปล่า อุปทานไปเองหรือเปล่านะยังมีความสงสัยอยู่ก็เลยเกิดความตั้งใจอีกครั้งว่า ถ้าได้มาอีกครั้งจะต้องไปพิสูจน์จุดนี้อีกครั้งนึงแต่คราวนี้เราจะกำหนดสติเอาไว้ก่อนที่จะเดินผ่านจุดนี้ด้วยเพื่อให้มั่นใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเราในครั้งนั้นจะใช่ที่เราคิดเอาเองหรือไม่ และในที่สุดผ่านมา 2 ปีผมก็มีโอกาสที่จะได้ไปที่นั่นอีกครั้งนึงแล้วแต่คราวนี้เอาหนังสือธรรมะไปถวายให้กับทางวัดด้วยซึ่งก็มีหลายเล่มเพราะวัดที่ไปนี้ไม่ค่อยมีหนังสือธรรมะสักเท่าไหร่ มีน้อยมาก สิ่งที่ผมต้องการพิสูจน์ก็มาถึงซึ่งคราวนี้ผมใช้เวลาไปกับการที่จะพิสูจน์ความรู้สึกนี้อย่างเต็มที่เลยเพราะครั้งที่แล้วผมได้เก็บภาพไปทั้งหมดแล้ว.และการพิสูจน์ก็ได้เริ่มขึ้นโดยก่อนที่ผมจะเดินผ่านจุดนั้นผมก็กำหนดจิตให้เป็นปกติก่อนและตั้งสติเอาไว้ตรงหน้านี้ให้มั่น พอพร้อมทั้งกายและใจแล้วผมก็เริ่มเดินไปจุดนั้นและเมื่อเดินเข้าไปถึงจุดนั้นความรู้สึกเหมือนครั้งที่แล้วก็เกิดขึ้นเหมือนกับครั้งแรกเลยนั่นก็คือ จิตมีความสงบเย็นขนลุกตั้งแต่เท้าไปจนถึงศรีษะแต่คราวนี้ผมยังไม่เดินออกจากจุดนี้คงยืนนิ่งสงบอยู่ที่ตรงนั้นสักพักซึ่งแดดก็ร้อนมากเลยแต่ก็ไม่รู้สึกร้อนอะไรมากเพียงแค่แสบตาเท่านั้น และผมก็ได้เงยหน้าเพื่อมองที่องค์พระศรีอารฺย์สักพัก คราวนี้ยิ่งเกิดขนลุกมากขึ้นกว่าเดิม ความปลื้มปีติออกมาจนน้ำตาผมไหลออกมาผมก็ยกมือขึ้นไหว้องค์พระศรีอาริย์ ครั้งนี้ผมมั่นใจว่ามีสติอยู่ตลอดเวลาเพราะทำไปด้วยการรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่และผมก็ได้ลองไปเดินผ่านอีกข้างขององค์พระศรีอาริย์ก็ปรากฏว่ามีความรู้สึกแบบเดียวกันกับเมื่อกี้เพียงแต่ความปลิ้มและขนลุกนั้นอาจจะน้อยกว่าเท่านั้น พอพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อยแล้วคราวนี้ก็มาตั้งจิตอธิษฐานต่อพระพักตร์ขององค์พระศรีอาริย์ว่า"ขอให้บุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้กระทำเอาไว้ดีแล้วตั้งแต่ในอดีตชาติจนมาถึงในปัจจุบันชาติและในอนาคตจงส่งให้ขัาพเจ้าได้เกิดในยุคของพระศรีอาริยะเมตไตรย ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ของพระองค์จนได้ดวงตาเห็นธรรมจนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนาด้วยเถิด" ซึ่งหลังจากนั้นผมก็มาคิดว่าความรู้สึกนี้น่าจะมาจากที่จิตของเรามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นและจิตก็มีความเมตตากรุณาอยู่บ้างจึงอาจจะทำให้จิตของผมเกิดสัมผัสพลังเมตตาบารมีขององค์พระศรีอาริย์ได้ซึ่งก็อาจจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ผมก็ไม่มีปัญญามากพอที่จะรู้ถึงขนาดนั้น เพราะผมก็ไม่ได้ถามท่านอื่นด้วยว่าเดินผานจุดนี้แล้วมีความรู้สึกเช่นไรอาจเป็นเพราะตัวผมไม่กล้าถามมากกว่ากลัวเขาจะหาว่าเราคิดมากไปเองหรือคิดว่าตัวเองมีบุญมากกว่าคนอื่นล่ะสิซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้จิตของผู้นั้นเศร้าหมองได้ก็เลยคิดว่าไม่ถามดีกว่าได้แต่ถามพี่ที่ไปด้วยกันเท่านั้นแต่พี่เขาตอบมาว่า ไม่เกิดความรู้สึกอะไรแบบนั้นขึ้นมาเลยเพียงแค่รู้สึกว่าอากาศดี พระพุทธรูปแต่ละองค์ก็สวยงามหมดเท่านั้น
ซึ่งทำให้ผมแน่ใจขึ้นมาอีกว่าหากใครรักษาศีล ๕ มาดีมีความเข้าใจในหลักธรรมอยู่บ้างพอควรและมีความศรัทธาในพระพุทธศานาอย่างดีมีจิตที่มีเมตตาอยู่เป็นพื้นฐานแล้วก็น่าที่จะเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้เช่นกัน (ตามความคิดของผมเองครับไม่เกี่ยวกับธรรมะอะไรเลย) และโปรดอย่ามองผมว่าเป็นคนดีอะไรมากเพราะหลักธรรมสอนเพียงเพื่อให้เราได้มีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้นเท่านั้นซึ่งถ้าใครมีความเป็นมนุษย์มากจิตของผู้นั้นย่อมสงบได้มากเท่านั้นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่