เมื่อชวนไปเที่ยวจีน หลายคนก็คงจะนิ่งคิดก่อนตกลง และอีกหลายคนคงจะตั้งคำถามว่า ห้องน้ำจะสะอาดมั๊ยกิตติศัพท์เรื่องห้องน้ำช่างโด่งดั งและไหนจะนิสัยโฉ่งฉ่างของคนจีนที่เราเห็นกันบ่อย ๆ แต่วันนี้เรามีเหตุต้องไปจีนก็เลยถือโอกาสจะพาไปดูอีกแง่มุมหนึ่งของประเทศนี้ เชื่อว่าหลังอ่านรีวิวนี้คุณจะเปลี่ยนไป..!!
# วันที่ 1
กลางเดือน มิ.ย. 59 ที่ผ่านมา เนื่องจากต้องไปยินดีกับน้องชายที่จบปริญญาโท ที่ประเทศจีน ณ เมืองกุ้ยหลิน ที่มหาวิทยาลัย Guangxi Normal University ที่มหาวิทยาลัยนี้นอกจากจะมีหอพักนักศึกษาแล้ว ยังมีตึกที่ทำเป็นหอพัก+โรงแรมอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นที่พักของเราไปตลอด 5 คืน เราเดินทางด้วยสายการบินที่บินตรงคือสายการบิน China Southern Airline แต่จะต้องไปผ่านด่าน ตม. ที่สนามบินหนานหนิง และต่อเครื่องอีกประมาณ 45 นาที ไปลงที่สนามบินกุ้ยหลิน (เนื่องจากที่กุ้ยหลินเปิดด่าน ตม. แค่บางช่วงเท่านั้น ) รวม ๆ แล้วใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง แป๊บเดียวเอง^^
สนามบินที่นี่แทบไม่มีคนเลย บรรยากาศเงียบ ๆ ไม่วุ่นวาย
จะมีรถแท็กซี่จอดรอคล้าย ๆ ที่บ้านเรา (คนขับไม่หงุดหงิดแบบบ้านเราด้วย)
บรรยากาศด้านนอกสนามบิน เวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง ฟ้ายังสว่างตาอยู่เลย
รถแท็กซี่ที่นี่ส่วนใหญ่จะดูเก่า ๆ นิดหนึ่ง (แบบใหม่ ๆ ก็มีแต่น้อย 555 )
มีแอบแวะไปเติมแก๊สด้วย!! ต่างจากบ้านเราเพราะช่องเติมจะอยู่ด้านหน้า
บ้านของคนจีนจะเป็นลักษณะเหมือนคอนโด เนื่องจากประชากรเค้าเยอะมาก ถ้าสร้างบ้านเป็นหลังคงจะแออัดและเปลืองทรัพยากรน่าดู
รูปนี้ถ่ายตอน 1 ทุ่มครึ่ง ฟ้ายังสว่างสดใสอยู่เลย ( เป็นช่วงฤดูร้อน จะมืดช้ามาก )
เราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินประมาณ 45 นาที ก็มาถึงที่พัก ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย ขอบอกว่ามหาวิทยาลัยที่นี่กว้างมากกก
รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ส่วนของตึกเรียนจริง ๆ มีไม่กี่ตึก นอกนั้นก็จะเป็นที่พัก ห้องสมุด ห้องจัดแสดง สนามกีฬา ร้านค้า เรียกได้ว่าครบวงจรสุด ๆ
ขอบคุณรูปภาพนี้จาก
http://huaxia-icec.com (ลืมถ่ายรูปด้านนอกของโรงแรมมา)
ทางเดินด้านใน ดูใหม่และสะอาดมากเลย
หลังจากที่เห็นด้านนอกของตัวที่พักไปแล้ว ก็มาลุ้นกันต่อว่าด้านในจะเป็นยังไง ยอมรับเลยว่าตอนแรกก็หวั่น ๆ ใจเหมือนกันนะ 555 แต่พอเปิดประตูห้องออกเท่านั้นล่ะ ร้องว้าวกันเลยทีเดียว ผิดคาดมาก ๆ ห้องดูใหม่และสะอาดสุด ๆ
สิ่งแรกที่รีบไปดูก่อนเลย คือ ห้องน้ำ!! สะอาด..จริง ๆ นะ และมีสบู่ แชมพู ฯลฯ เตรียมไว้ให้เรียบร้อย (รอลุ้นห้องน้ำที่อื่นต่อไปนะ ยังไม่วางใจ)
หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาหาอะไรลงท้องกันแล้ว เพราะรู้สึกหิวมากกกกกกกกก
ร้านอาหารที่เราจะฝากท้องกันคืนนี้ อยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยเลย แต่อย่างที่บอกไปตอนแรกว่ามหาวิทยาลัยค่อนข้างใหญ่
กว่าจะเดินจากที่พัก ไปถึงประตูหน้ามหา’ลัย ก็เล่นเอาความหิวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะต้องเดินประมาณ 15-20 นาที
พอหลุดรั้วมหา’ลัย มาก็เจอรถมากมาย น้องชายบอกว่า ช่วงเวลานี้รถจะค่อนข้างเยอะนิดหนึ่ง เหมือนเป็นช่วง Prime Time
และด้วยความที่สองข้างทางมีร้านขายของตั้งอยู่ด้วย การสัญจรก็จะดูแน่นขึ้นไปอีก อารมคล้ายๆตลาดกลางคืนบ้านเรา
ตรงนี้เป็นประตูทางออกทางด้านทิศใต้ ของมหา’ลัย ชื่อ Nan Men (หนานเหมิน)
เดินเลยตรงนี้มาประมาณ 5 นาที สวรรค์ก็มาโปรด ถึงร้านข้าวสักที หิวไส้จะขาด TT
ร้านอาหารที่นี่ทุกร้านไมว่าจะร้านตามสั่งธรรมดา หรือร้านหรูหราในภัตรคาร เค้าจะจัดเซตจานและแรพพลาสติกมาไว้ให้ (แต่เสียเงิน ชุดละ 1-3 หยวน )
ก่อนที่เราจะใช้ก็ต้องเอาน้ำร้อนหรือชาร้อนที่เค้าเตรียมไว้ให้ ล้างทำความสะอาดอีกครั้ง (เพื่อความสะอาดตามวัฒนธรรมจีน)
อาหารมื้อแรกแบบจริงจังที่จีนวันนี้ คนจีนเราเรียกว่า ฮั่วกัว Huoguo หรือ หม้อไฟของไทยเรานั่นเอง
เริ่มที่จานแรก คือ Zhuduji ( จูตู้จี ) ต้มเครื่องในหมูกับไก่ เวลาเสิร์ฟเค้าจะใส่ถ้วยใหญ่ ๆ มาและเอาตั้งบนเตาแก๊สเล็ก ๆ ให้คงความร้อนไว้ตลอด
รสชาติเหมือนต้มข่าไก่บ้านเรา ซดน้ำเพลิน ๆ อร่อยใช้ได้เลย
เสิร์ฟคู่กับเต้าหู้ ถั่วงอก และผักกาดขาว เวลากินก็จับโยนลงหม้อให้หมด (คุ้น ๆ มั๊ย 55+)
จานที่ 2 มาแล้ว เป็นกุ้งผัดใส่พริกหยวกและหัวหอม และปรุงรสตามแบบฉบับของคนจีน
กุ้งนี่กินได้ทั้งหัวเลย รสชาติจะออกเค็ม นิด ๆ และจะมีกลิ่นเครื่องปรุงออกแนวเผ็ดร้อนนิด ๆ อร่อยดี
สำหรับจานนี้ถ้าเป็นที่ไทยคงเรียกว่าหมูผัดกะปิ รสชาติเหมือนมากกก
ข้าวสวยร้อน ๆ ข้าวจะเหนียว ๆ หนึบ ๆ เหมาะสำหรับกินด้วยตะเกียบเป็นที่สุด ที่สำคัญฟรี เติมได้ไม่อั้นอีกด้วย
กินของคาวแล้วต้องมีของหวานตบท้าย จานนี้เรียกว่า Diguawan (ตี้กวาหวาน ) เป็นเผือกทอด(เห็นตอนแรกนึกว่าไข่นกทอด ^^) กรอบนอกนุ่มใน รสหวาน ๆ นิด แต่กินแล้วหยุดไม่ได้
ระหว่างทางเดินกลับไปที่พัก เห็นมีร้านขายผลไม้เยอะมาก มาถึงจีนทั้งทีจัดสักหน่อย (ซื้อจนคนขายชมว่าสวย 555 )
ราคาผลไม้ที่นี่ค่อนข้างถูก เค้าจะคิดเป็นราคาต่อครึ่งกิโล เชอรี่ครึ่งกิโลแค่ 50 บาทไทยเอง เสาวรส ประมาณ 25 บาท
และที่ชอบมากคือ ลูกไหน ลูกไหนจีนจะหวานอมเปรี้ยวและฉ่ำน้ำ เวลากินจิ้มเกลือนิดหน่อยมันฟินสุด ๆ
# วันที่ 2
เวลาที่จีนจะเร็วกว่าที่ไทยประมาณ 1 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกว่าตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ตื่นมาแล้วสดชื่นมาก ๆ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้เขียวสบายตา (เมื่อไรกรุงเทพฯ จะเป็นแบบนี้มั่งว๊า..)
บรรยากาศตอนเช้าที่หน้าประตูมหา’ลัย แตกต่างจากเมื่อคืนสุด ๆ ความวุ่นวายลดลงไป 70%
แทบจะไม่มีรถวิ่งเลยทีเดียว
รถตุ๊กตุ๊ก ที่กุ้ยหลิน มันช่างเล็กกะทัดรัดมาก ๆ
อยากจะบอกว่านี่คือวินมอเตอร์ไซค์นะ เท่ห์สุด ๆ ไปเลย (ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเสื้อวินด้วย)
ชอบรถสกู๊ดเตอร์ที่นี่มาก มีติดร่มไว้กับตัวรถเลยกันทั้งแดดทั้งฝน (คนที่นี่เค้าจะใช้ สกู๊ดเตอร์ไฟฟ้าเกือบทั้งเมือง ราคาถูกแถมลดมลพิษดีมาก)
สำหรับอาหารเช้าคนจีนจะไม่กินข้าวแบบบ้านเรา แต่เค้าจะกินเป็นน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋และติ่มซำ จะรอช้าอยู่ใย เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไปกินติ่มซำกันเลยดีกว่า
ดูจากภายนอกแล้วไม่น่าเชื่อว่า ข้างในจะเป็นร้านอาหาร
บรรยากาศข้างในช่างแตกต่างจากที่เราเห็นเมื่อกี้มาก
ทุกโต๊ะจะมีน้ำร้อนและถ้วยชามตั้งไว้สวยงาม (กาน้ำนี้ใช้ต้มน้ำทั้งล้างถ้วยและชงชา)
มีชาให้เลือกมากมาย ชอบแบบไหนชงได้ตามใจ
ระหว่างรออาหาร ก็ดื่มชาร้อนวอร์มกระเพาะกันก่อน (เราเลือกชงชาคาโมมายด์ หอมละมุน)
มาดูหน้าตาอาหารเช้าที่สั่งกันมาดีกว่าค่ะ
เริ่มด้วยเมนูแรก น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้รสชาติออกหวานน้อย(ชอบเลย) ทานคู่กับปาท่องโก๋ปลื้มปริ่ม
ปาท่องโก๋ที่จีนจะตัวยาวมาก เวลาเสิร์ฟเค้าจะตัดเป็น 2 ท่อน ต่อ 1 คู่ สั่งมาแค่คู่เดียวกินกัน 5 คน ก็แทบจะไม่หมด
มาเมนูที่2 คือ โจ๊ก ใส่หมู ใส่ไข่เยี่ยวม้า รสชาติจะจืด ๆ (ส่วนตัวค่อนข้างเฉย ๆ นะ)
เมนูที่ 3 เมนูนี้ Recommend เลย นั่นคือ ฮะเก๋ากุ้ง ที่มาแบบกุ้งเป็นกุ้ง อร่อยเต็มคำสุด ๆ (ต้องจัดนะจ๊ะ)
เมนูที่ 4 เสี่ยวหลงเปา เมนูนี้เราเฉยมาก แค่เวลากัดจะมีน้ำซุปออกมา รสชาติจะเค็มเล็กน้อย ชอบซาลาเปาปกติมากกว่า
เมนูที่ 5 ขนมจีบหมู เนื้อหมูเด้งดึ๋งดี เคี้ยวเพลิน ๆ
สุดท้ายของโปรด ซาลาเปาไส้ครีม มาแบบน่ารักเชียวแทบไม่กล้ากิน แต่รสชาติอร่อยม๊าก แป้งนุ่มครีมละมุนลิ้น
หลังจากเติมพลังตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมออกไปตะลุยเที่ยวกันแล้วค่า ลืมบอกว่าตลอดทั้งทริปนี้เราจะเดินทางกันโดยรถแท็กซี่ เนื่องจากมีแม่ ๆ ไปด้วย จะพาขึ้นรถเมล์ก็กลัวจะเหนื่อยซะก่อน
ถนนที่กุ้ยหลินจะแบ่งเป็น เลนส์จักรยานและสกูตเตอร์ไฟฟ้า 1 เลน(มอเตอร์ไซค์ธรรมดาไม่ได้นะจ๊ะ) เลนรถประจำทาง 1 เลน และเลนรถยนต์ทั่วไป 2 เลน ดังนั้น รถแทบจะไม่ติดเลย อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างจริง ๆ (ไม่ใช่เลนจักรยานไว้ขายของหรือจอดรถยนต์นะ 55+)
ช่วงระหว่างที่ยืนรอแท็กซี่ การถ่ายรูปคือการฆ่าเวลาได้ดีที่สุด ฮ่า ๆ ๆ
มีจักรยานไว้ให้เช่าอีกด้วย แต่ต้องเสียค่าประกัน 200 หยวน
หลังจากนั่งรถแท็กซี่ประมาณ 15 นาทีก็มาถึงที่ Shi Zhong Xin (ซื่อจงซิน) เป็นแหล่งรวบรวมทั้งของกิน และของใช้มากมาย ไปลุยกันเล๊ยยย
เดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นท์นะค้า
ฝากติดตาม
https://www.facebook.com/getalongwell.net
[CR] พาเที่ยวกุ้ยหลินเมืองจีน เมื่องที่มีอะไรดีกว่าที่คิด !
เมื่อชวนไปเที่ยวจีน หลายคนก็คงจะนิ่งคิดก่อนตกลง และอีกหลายคนคงจะตั้งคำถามว่า ห้องน้ำจะสะอาดมั๊ยกิตติศัพท์เรื่องห้องน้ำช่างโด่งดั งและไหนจะนิสัยโฉ่งฉ่างของคนจีนที่เราเห็นกันบ่อย ๆ แต่วันนี้เรามีเหตุต้องไปจีนก็เลยถือโอกาสจะพาไปดูอีกแง่มุมหนึ่งของประเทศนี้ เชื่อว่าหลังอ่านรีวิวนี้คุณจะเปลี่ยนไป..!!
# วันที่ 1
กลางเดือน มิ.ย. 59 ที่ผ่านมา เนื่องจากต้องไปยินดีกับน้องชายที่จบปริญญาโท ที่ประเทศจีน ณ เมืองกุ้ยหลิน ที่มหาวิทยาลัย Guangxi Normal University ที่มหาวิทยาลัยนี้นอกจากจะมีหอพักนักศึกษาแล้ว ยังมีตึกที่ทำเป็นหอพัก+โรงแรมอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นที่พักของเราไปตลอด 5 คืน เราเดินทางด้วยสายการบินที่บินตรงคือสายการบิน China Southern Airline แต่จะต้องไปผ่านด่าน ตม. ที่สนามบินหนานหนิง และต่อเครื่องอีกประมาณ 45 นาที ไปลงที่สนามบินกุ้ยหลิน (เนื่องจากที่กุ้ยหลินเปิดด่าน ตม. แค่บางช่วงเท่านั้น ) รวม ๆ แล้วใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง แป๊บเดียวเอง^^
สนามบินที่นี่แทบไม่มีคนเลย บรรยากาศเงียบ ๆ ไม่วุ่นวาย
จะมีรถแท็กซี่จอดรอคล้าย ๆ ที่บ้านเรา (คนขับไม่หงุดหงิดแบบบ้านเราด้วย)
บรรยากาศด้านนอกสนามบิน เวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง ฟ้ายังสว่างตาอยู่เลย
รถแท็กซี่ที่นี่ส่วนใหญ่จะดูเก่า ๆ นิดหนึ่ง (แบบใหม่ ๆ ก็มีแต่น้อย 555 )
มีแอบแวะไปเติมแก๊สด้วย!! ต่างจากบ้านเราเพราะช่องเติมจะอยู่ด้านหน้า
บ้านของคนจีนจะเป็นลักษณะเหมือนคอนโด เนื่องจากประชากรเค้าเยอะมาก ถ้าสร้างบ้านเป็นหลังคงจะแออัดและเปลืองทรัพยากรน่าดู
รูปนี้ถ่ายตอน 1 ทุ่มครึ่ง ฟ้ายังสว่างสดใสอยู่เลย ( เป็นช่วงฤดูร้อน จะมืดช้ามาก )
เราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินประมาณ 45 นาที ก็มาถึงที่พัก ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย ขอบอกว่ามหาวิทยาลัยที่นี่กว้างมากกก
รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ส่วนของตึกเรียนจริง ๆ มีไม่กี่ตึก นอกนั้นก็จะเป็นที่พัก ห้องสมุด ห้องจัดแสดง สนามกีฬา ร้านค้า เรียกได้ว่าครบวงจรสุด ๆ
ขอบคุณรูปภาพนี้จาก http://huaxia-icec.com (ลืมถ่ายรูปด้านนอกของโรงแรมมา)
ทางเดินด้านใน ดูใหม่และสะอาดมากเลย
หลังจากที่เห็นด้านนอกของตัวที่พักไปแล้ว ก็มาลุ้นกันต่อว่าด้านในจะเป็นยังไง ยอมรับเลยว่าตอนแรกก็หวั่น ๆ ใจเหมือนกันนะ 555 แต่พอเปิดประตูห้องออกเท่านั้นล่ะ ร้องว้าวกันเลยทีเดียว ผิดคาดมาก ๆ ห้องดูใหม่และสะอาดสุด ๆ
สิ่งแรกที่รีบไปดูก่อนเลย คือ ห้องน้ำ!! สะอาด..จริง ๆ นะ และมีสบู่ แชมพู ฯลฯ เตรียมไว้ให้เรียบร้อย (รอลุ้นห้องน้ำที่อื่นต่อไปนะ ยังไม่วางใจ)
หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาหาอะไรลงท้องกันแล้ว เพราะรู้สึกหิวมากกกกกกกกก
ร้านอาหารที่เราจะฝากท้องกันคืนนี้ อยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยเลย แต่อย่างที่บอกไปตอนแรกว่ามหาวิทยาลัยค่อนข้างใหญ่
กว่าจะเดินจากที่พัก ไปถึงประตูหน้ามหา’ลัย ก็เล่นเอาความหิวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะต้องเดินประมาณ 15-20 นาที
พอหลุดรั้วมหา’ลัย มาก็เจอรถมากมาย น้องชายบอกว่า ช่วงเวลานี้รถจะค่อนข้างเยอะนิดหนึ่ง เหมือนเป็นช่วง Prime Time
และด้วยความที่สองข้างทางมีร้านขายของตั้งอยู่ด้วย การสัญจรก็จะดูแน่นขึ้นไปอีก อารมคล้ายๆตลาดกลางคืนบ้านเรา
ตรงนี้เป็นประตูทางออกทางด้านทิศใต้ ของมหา’ลัย ชื่อ Nan Men (หนานเหมิน)
เดินเลยตรงนี้มาประมาณ 5 นาที สวรรค์ก็มาโปรด ถึงร้านข้าวสักที หิวไส้จะขาด TT
ร้านอาหารที่นี่ทุกร้านไมว่าจะร้านตามสั่งธรรมดา หรือร้านหรูหราในภัตรคาร เค้าจะจัดเซตจานและแรพพลาสติกมาไว้ให้ (แต่เสียเงิน ชุดละ 1-3 หยวน )
ก่อนที่เราจะใช้ก็ต้องเอาน้ำร้อนหรือชาร้อนที่เค้าเตรียมไว้ให้ ล้างทำความสะอาดอีกครั้ง (เพื่อความสะอาดตามวัฒนธรรมจีน)
อาหารมื้อแรกแบบจริงจังที่จีนวันนี้ คนจีนเราเรียกว่า ฮั่วกัว Huoguo หรือ หม้อไฟของไทยเรานั่นเอง
เริ่มที่จานแรก คือ Zhuduji ( จูตู้จี ) ต้มเครื่องในหมูกับไก่ เวลาเสิร์ฟเค้าจะใส่ถ้วยใหญ่ ๆ มาและเอาตั้งบนเตาแก๊สเล็ก ๆ ให้คงความร้อนไว้ตลอด
รสชาติเหมือนต้มข่าไก่บ้านเรา ซดน้ำเพลิน ๆ อร่อยใช้ได้เลย
เสิร์ฟคู่กับเต้าหู้ ถั่วงอก และผักกาดขาว เวลากินก็จับโยนลงหม้อให้หมด (คุ้น ๆ มั๊ย 55+)
จานที่ 2 มาแล้ว เป็นกุ้งผัดใส่พริกหยวกและหัวหอม และปรุงรสตามแบบฉบับของคนจีน
กุ้งนี่กินได้ทั้งหัวเลย รสชาติจะออกเค็ม นิด ๆ และจะมีกลิ่นเครื่องปรุงออกแนวเผ็ดร้อนนิด ๆ อร่อยดี
สำหรับจานนี้ถ้าเป็นที่ไทยคงเรียกว่าหมูผัดกะปิ รสชาติเหมือนมากกก
ข้าวสวยร้อน ๆ ข้าวจะเหนียว ๆ หนึบ ๆ เหมาะสำหรับกินด้วยตะเกียบเป็นที่สุด ที่สำคัญฟรี เติมได้ไม่อั้นอีกด้วย
กินของคาวแล้วต้องมีของหวานตบท้าย จานนี้เรียกว่า Diguawan (ตี้กวาหวาน ) เป็นเผือกทอด(เห็นตอนแรกนึกว่าไข่นกทอด ^^) กรอบนอกนุ่มใน รสหวาน ๆ นิด แต่กินแล้วหยุดไม่ได้
ระหว่างทางเดินกลับไปที่พัก เห็นมีร้านขายผลไม้เยอะมาก มาถึงจีนทั้งทีจัดสักหน่อย (ซื้อจนคนขายชมว่าสวย 555 )
ราคาผลไม้ที่นี่ค่อนข้างถูก เค้าจะคิดเป็นราคาต่อครึ่งกิโล เชอรี่ครึ่งกิโลแค่ 50 บาทไทยเอง เสาวรส ประมาณ 25 บาท
และที่ชอบมากคือ ลูกไหน ลูกไหนจีนจะหวานอมเปรี้ยวและฉ่ำน้ำ เวลากินจิ้มเกลือนิดหน่อยมันฟินสุด ๆ
# วันที่ 2
เวลาที่จีนจะเร็วกว่าที่ไทยประมาณ 1 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกว่าตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ตื่นมาแล้วสดชื่นมาก ๆ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้เขียวสบายตา (เมื่อไรกรุงเทพฯ จะเป็นแบบนี้มั่งว๊า..)
บรรยากาศตอนเช้าที่หน้าประตูมหา’ลัย แตกต่างจากเมื่อคืนสุด ๆ ความวุ่นวายลดลงไป 70%
แทบจะไม่มีรถวิ่งเลยทีเดียว
รถตุ๊กตุ๊ก ที่กุ้ยหลิน มันช่างเล็กกะทัดรัดมาก ๆ
อยากจะบอกว่านี่คือวินมอเตอร์ไซค์นะ เท่ห์สุด ๆ ไปเลย (ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเสื้อวินด้วย)
ชอบรถสกู๊ดเตอร์ที่นี่มาก มีติดร่มไว้กับตัวรถเลยกันทั้งแดดทั้งฝน (คนที่นี่เค้าจะใช้ สกู๊ดเตอร์ไฟฟ้าเกือบทั้งเมือง ราคาถูกแถมลดมลพิษดีมาก)
สำหรับอาหารเช้าคนจีนจะไม่กินข้าวแบบบ้านเรา แต่เค้าจะกินเป็นน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋และติ่มซำ จะรอช้าอยู่ใย เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไปกินติ่มซำกันเลยดีกว่า
ดูจากภายนอกแล้วไม่น่าเชื่อว่า ข้างในจะเป็นร้านอาหาร
บรรยากาศข้างในช่างแตกต่างจากที่เราเห็นเมื่อกี้มาก
ทุกโต๊ะจะมีน้ำร้อนและถ้วยชามตั้งไว้สวยงาม (กาน้ำนี้ใช้ต้มน้ำทั้งล้างถ้วยและชงชา)
มีชาให้เลือกมากมาย ชอบแบบไหนชงได้ตามใจ
ระหว่างรออาหาร ก็ดื่มชาร้อนวอร์มกระเพาะกันก่อน (เราเลือกชงชาคาโมมายด์ หอมละมุน)
มาดูหน้าตาอาหารเช้าที่สั่งกันมาดีกว่าค่ะ
เริ่มด้วยเมนูแรก น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้รสชาติออกหวานน้อย(ชอบเลย) ทานคู่กับปาท่องโก๋ปลื้มปริ่ม
ปาท่องโก๋ที่จีนจะตัวยาวมาก เวลาเสิร์ฟเค้าจะตัดเป็น 2 ท่อน ต่อ 1 คู่ สั่งมาแค่คู่เดียวกินกัน 5 คน ก็แทบจะไม่หมด
มาเมนูที่2 คือ โจ๊ก ใส่หมู ใส่ไข่เยี่ยวม้า รสชาติจะจืด ๆ (ส่วนตัวค่อนข้างเฉย ๆ นะ)
เมนูที่ 3 เมนูนี้ Recommend เลย นั่นคือ ฮะเก๋ากุ้ง ที่มาแบบกุ้งเป็นกุ้ง อร่อยเต็มคำสุด ๆ (ต้องจัดนะจ๊ะ)
เมนูที่ 4 เสี่ยวหลงเปา เมนูนี้เราเฉยมาก แค่เวลากัดจะมีน้ำซุปออกมา รสชาติจะเค็มเล็กน้อย ชอบซาลาเปาปกติมากกว่า
เมนูที่ 5 ขนมจีบหมู เนื้อหมูเด้งดึ๋งดี เคี้ยวเพลิน ๆ
สุดท้ายของโปรด ซาลาเปาไส้ครีม มาแบบน่ารักเชียวแทบไม่กล้ากิน แต่รสชาติอร่อยม๊าก แป้งนุ่มครีมละมุนลิ้น
หลังจากเติมพลังตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมออกไปตะลุยเที่ยวกันแล้วค่า ลืมบอกว่าตลอดทั้งทริปนี้เราจะเดินทางกันโดยรถแท็กซี่ เนื่องจากมีแม่ ๆ ไปด้วย จะพาขึ้นรถเมล์ก็กลัวจะเหนื่อยซะก่อน
ถนนที่กุ้ยหลินจะแบ่งเป็น เลนส์จักรยานและสกูตเตอร์ไฟฟ้า 1 เลน(มอเตอร์ไซค์ธรรมดาไม่ได้นะจ๊ะ) เลนรถประจำทาง 1 เลน และเลนรถยนต์ทั่วไป 2 เลน ดังนั้น รถแทบจะไม่ติดเลย อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างจริง ๆ (ไม่ใช่เลนจักรยานไว้ขายของหรือจอดรถยนต์นะ 55+)
ช่วงระหว่างที่ยืนรอแท็กซี่ การถ่ายรูปคือการฆ่าเวลาได้ดีที่สุด ฮ่า ๆ ๆ
มีจักรยานไว้ให้เช่าอีกด้วย แต่ต้องเสียค่าประกัน 200 หยวน
หลังจากนั่งรถแท็กซี่ประมาณ 15 นาทีก็มาถึงที่ Shi Zhong Xin (ซื่อจงซิน) เป็นแหล่งรวบรวมทั้งของกิน และของใช้มากมาย ไปลุยกันเล๊ยยย
เดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นท์นะค้า
ฝากติดตาม https://www.facebook.com/getalongwell.net