Jon&Sansa - I’ll be your home.
(Post the Winds of Winter SS6 Ep10)
When the snows fall and the white winds blow.
The lone wolf dies but the pack survives.
- George R.R. Martin -
รถม้าของผู้เชิญธงตระกูลสตาร์คค่อยๆเคลื่อนผ่านประตูวินเทอร์เฟลออกไปทีละคัน ราวฝูงมดที่ไม่ยอมแตกแถว ล้อไม้ที่หมุนตามกันไปกรุยทางไล่หิมะหนาที่ปกคลุมทั่วลานกว้าง เผยให้เห็นผืนดินที่เคยมีหญ้าเขียวชอุ่มตัดผ่านกองหิมะเป็นแนวยาว ดวงตาสีเทาละสายตาจากพาหนะคันสุดท้ายที่หายลับไปภายใต้ม่านหิมะที่โปรยปรายลงมาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน ร่างสมส่วนใต้ผ้าคลุมขนสัตว์ตัวหนาหันหลังกลับ เขาเอ่ยอะไรกับคนในปกครองอีกสองสามประโยคด้วยเสียงต่ำกังวาน ก่อนที่ทุกคนในที่นั้นจะถอยห่างออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม
ไอเย็นจากอากาศที่สวนทางกับอุณหภูมิร่างกายแตะผ่านผิวเนื้อเหนือริมฝีปากยามที่เจ้าตัวลอบผ่อนลมหายใจแผ่วเบา พร้อมกับปล่อยให้หัวไหล่ที่แบกรับน้ำหนักของผ้าคลุมขนสัตว์ลู่ลงเล็กน้อย ภาระมากมายที่ถาโถมเข้ามาหาราชาแห่งแดนเหนือ รวดเร็วและรุนแรงไม่ต่างจากพายุหิมะที่โปรยปรายอยู่เบื้องนอก ประสบการณ์จากการเป็นผู้บัญชาการหน่วยพิทักษ์ราตรี ทำให้จอนตั้งรับกับสิ่งเหล่านี้ได้รวดเร็ว แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่เขาก็เต็มใจรับมันไว้ เพื่อสตาร์ค และเพื่อทุกตระกูลที่ให้สัตย์สาบานว่าจะอยู่เคียงข้างสตาร์ค
‘ข้าไม่ใช่สตาร์ค’
‘แต่สำหรับข้า เจ้าใช่’
สาวน้อยที่เคยมองจอนด้วยสายตาดูแคลน และไม่เคยคิดนับญาติกับเขา แม้ว่าเขาจะมีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างแม่ของนาง เป็นคนพูดคำนี้กับเขาท่ามกลางละอองหิมะแรกของฤดูหนาว นางยิ้มและมีท่าทีพึงพอใจเมื่อทุกคนชักดาบออกจากฝัก คุกเข่าลงและกล่าวคำสัตย์ว่าจะสนับสนุนเขาตราบวันที่เขาสิ้นลมหายใจ
คำพูดของเด็กสาวไม่ได้มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้จอนเปลี่ยนความเชื่อ หรือทำให้เขากล้าคิดว่าตัวเองเป็นสตาร์ค แต่มันทำให้จอนแน่ใจว่าเขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป และเป็นทุกอย่างที่ทุกคนอยากให้เป็น เพื่อตอบแทนตระกูลที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่ลืมตาดูโลก เมื่อแดนเหนือแข็งแกร่ง กำแพงที่คอยคุ้มครองทายาทคนโตแห่งวินเทอร์เฟลที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ย่อมแข็งแกร่งไม่ต่างกัน
เขาทำเพื่อปกป้องสตาร์ค...ซานซ่า สตาร์ค
‘เจ้าเชื่อใจเขาหรือ’
‘มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อใจนิ้วก้อย’
ซานซ่าบอกเขาอย่างนั้น เมื่อเขาถามถึงลอร์ดเบลิช ผู้นำกองทัพเวลมายังสนามรบตามคำขอของเด็กสาวและพลิกความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะ แววตาและคำพูดของซานซ่าในวันนั้นบอกจอนว่านางเพียงหลอกใช้อีกฝ่าย สำหรับนาง ลอร์ดเบลิชเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในศึกชิงวินเทอร์เฟล
เท่านั้นจริงๆน่ะหรือ...
แม้ตำแหน่งราชาแห่งแดนเหนือจะพันธนาการเขาไว้กับการประชุม ฝึกไพร่พล และเตรียมตั้งรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จนจอนแทบไม่มีเวลาได้พูดคุยกับซานซ่าเลย แต่วินเทอร์เฟลไม่ได้กว้างเกินกว่าจะเก็บซ่อนรอยยิ้มมุมปากยามที่นางสบตากับลอร์ดเบลิช หรือมือที่ยืนออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายจูบทักทายยามพบหน้าให้พ้นจากสายตาเขาได้ ลอร์ดเบลิชแวะมาเยี่ยมเยียนวินเทอร์เฟลเสมอ และซานซ่าก็ต้อนรับอีกฝ่ายเป็นอย่างดีในแบบที่เจ้าบ้านพึงกระทำ หลายครั้งที่เขาเห็นคนทั้งคู่เดินเคียงกันไปตามทางเดินในวินเทอร์เฟล พูดคุยกันด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน ก่อนที่การพูดคุยจะสะดุดหยุดลง เมื่อซานซ่าหันมาเห็นเขาเข้า
‘ข้าควรบอกเรื่องเขากับเจ้า เรื่องอัศวินแห่งเวล ...ข้าขอโทษ’
ซานซ่าเคยบอกเขาว่านางควรบอก แต่หลังจากวันนั้น นางกลับไม่เคยพูดถึงลอร์ดเบลิชให้เขาฟังอีกเลย
‘เราต้องเชื่อใจกัน’
ต้องเชื่อใจ...
รองเท้าหนังสีเข้มกระทบพื้นหินดังเป็นจังหวะ เมื่อเจ้าของของมันเดินด้วยก้าวย่างสม่ำเสมอไปยังห้องนอนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของปราสาท ชั่วพริบตาเดียว คนที่ปล่อยความคิดคำนึงให้หวนกลับไปสู่วันวานก็ เดินมาถึงประตูห้องนอนใหญ่ ห้องที่ซานซ่ายกให้เขา ทั้งที่มันสมควรเป็นของนาง
เปลวไฟสีส้มเหลืองที่ลุกโชนอยู่ในเตาผิงริมผนังห้องกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน อุณหภูมิภายในห้องอบอุ่นกว่าทางเดินด้านนอกที่มีเพียงแสงจากคบเพลิงนำทาง เทียนเล่มน้อยที่ถูกจุดไว้รอบบริเวณทำให้ห้องที่ควรจะมืดมิดสว่างเรืองไปด้วยสีเหลืองนวลตา มือหนาแข็งแรงเอื้อมปิดประตูหลังจากพาร่างของตัวเองเข้ามาภายในห้องเรียบร้อย รอยแผลเป็นหลังหางคิ้วข้างขวาของจอนขยับตามการเคลื่อนไหว เมื่อหัวคิ้วของเขาเคลื่อนเข้าหากันยามจ้องมองไปเบื้องหน้า จอนยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เมื่อโกสต์ผงกหัวของมันขึ้นจากขาหน้าสองข้างที่ทำหน้าที่ต่างหมอน มันครางหงิงและพาร่างที่ปกคลุมด้วยขนขาวราวปุยนุ่นเดินตรงมาหาเขา
“ว่าไงเพื่อน”
จอนย่อตัวลง ใช้มือสอดเข้าไปใต้ขนขาวพร้อมเอ่ยทักทาย ดวงตาสีเทามองเลยโกสต์ไปยังริมเตียงนอนข้างเตาผิง ก่อนจะหันกลับมาสบตากับเพื่อนคู่ใจ โกสต์หันมองตามสายตาผู้เป็นนายไปยังร่างร่างหนึ่งที่นั่งพับเพียบอยู่ริมเตียงไม้ขนาดใหญ่ มันผละจากเขากลับไปหาร่างนั้น และค่อยๆหมอบลงข้างเด็กสาวผู้กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา
ดวงตาทั้งสองข้างของซานซ่าปิดสนิท ใบหน้าด้านหนึ่งแนบลงกับผ้าห่มขนสัตว์บนเตียงนุ่ม ผมยาวถึงกลางหลังที่ถักเป็นเปียรวบไว้ข้างหนึ่งส่องประกายแดงจัด เมื่อแสงจากเปลวไฟในเตาผิงตกกระทบ จอนปลดผ้าคลุมไหล่ที่คนตรงหน้าเป็นคนทำให้ออกจากบ่า เขาวางมันลงตรงปลายเตียงอย่างเบามือ และเดินอ้อมไปริมเตียงนอนด้วยน้ำหนักเท้าที่เบาราวใบไม้ไหว
จอนคว้าเสื้อที่วางอยู่ตรงหน้าตักของเด็กสาวขึ้นมา เข็มกับด้ายยังคงปักคาอยู่ที่ริมด้านหนึ่งของชายเสื้อ รอยขาดยังคงปรากฏให้เห็น มันคือเสื้อตัวเดียวกับที่จอนวางเอาไว้บนเตียงเมื่อค่ำ เหมือนอย่างที่เขาเคยทำ เมื่อพบว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ชำรุด การดวลดาบกลางลานประลองของวินเทอร์เฟลท่ามกลางหิมะ ฝากรอยแผลเล็กๆน้อยๆไว้ให้เครื่องแต่งกายของราชาแห่งแดนเหนือเสมอ เขาต้องการฝึกให้ชายทุกคนที่อยู่ใต้ธงหมาป่าโลกันต์เคยชินกับความหนาวที่เสียดแทงผิวเนื้อเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาจเดินทางมาพร้อมหิมะเมื่อใดก็ได้
จอนเคยเอ่ยปากขอบคุณสาวใช้ที่นำเสื้อตัวเก่งกลับมาให้เขาในสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ นางย่อตัวลงรับคำชมอย่างสุภาพ และบอกเพียงว่านางไม่ได้เป็นคนเย็บมัน เขาจึงคิดไปว่าคงเป็นใครคนหนึ่งในบรรดาสาวใช้ที่หวนกลับมารับใช้วินเทอร์เฟลอีกครั้ง และเพราะจอนไม่ถาม เขาจึงไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่คาดคิดผิดจากความจริงไปไม่น้อย
มือหนาแข็งแรงวางเสื้อสีดำที่หยิบติดมือขึ้นมาไว้บนที่ว่างเหนือเตาผิง ก่อนที่เจ้าของร่างนั้นจะเดินกลับมาหาเด็กสาว มือที่กำลังจะเอื้อมแตะหัวไหล่ชะงักค้าง เมื่อเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากหัวตาที่ยังคงปิดสนิท หยาดน้ำใสที่เคลื่อนที่ผ่านสันจมูกโด่งสวยลงสู่ผิวแก้มอีกด้านที่แนบกับเตียงนอน ทำให้แววตาของคนที่เฝ้ามองไหววูบราวเทียนต้องลม เขาเอื้อมดึงผ้าห่มไปทางหนึ่ง ก่อนใช้สองแขนช้อนร่างบอบบางขึ้นจากพื้น และวางร่างที่ยังคงหลับใหลลงบนเตียงใหญ่ นิ้วเรียวปาดน้ำตาบนใบหน้าขาวซีดทิ้งให้แผ่วเบา ชายหนุ่มค่อยๆถอดรองเท้าบูทที่นางสวมออกและวางมันลงบนพื้น แล้วเอื้อมดึงผ้าห่มกลับมาคลุมร่างเด็กสาวเอาไว้
จอนดึงเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมายังริมเตียงนอน เขาทรุดตัวลงนั่ง วางท่อนแขนลงกับหน้าขาของตัวเอง แล้วผ่อนลมหายใจแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงขนนุ่มนิ่มของโกสต์ที่ยืดตัวขึ้นมามองตามร่างที่ถูกอุ้มขึ้นไปนอนบนเตียงใต้ผ้าห่มอบอุ่นในคืนเหน็บหนาว จอนไม่ได้ก้มลงมองโกสต์ แต่ยังคงมองตรงไปหาเด็กสาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิด
ชีวิตของเขาและซานซ่าแยกจากกันไปแสนไกล ไม่ต่างจากพี่น้องคนอื่นๆในตระกูลสตาร์ค เขาขึ้นเหนือเพื่อสวมชุดดำแห่งหน่วยพิทักษ์ราตรี ส่วนนางลงใต้เพื่อสวมชุดขาวเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของมกุฎราชกุมารแห่งเวสเทอรอส จอนจำไม่ได้ว่าคำสุดท้ายที่เขาพูดกับนางก่อนจากกันคือคำใด เขารู้เพียงวันที่พบนางอีกครั้ง นางยืนอยู่ตรงนั้น กลางลานกว้างที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนหน้าปราสาททมิฬ แววตายินดีปนโล่งใจ ร่างที่โถมเข้าหาและเอื้อมคว้าเขาไว้ในอ้อมกอด เสียงลมหายใจและปลายคางที่กดลงบนบ่า ทำให้จอนรู้ว่าอย่างน้อยเขาก็มีค่ากับเด็กสาวคนหนึ่งมากที่สุด ในวินาทีหนึ่งของชีวิตที่ผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมายเหลือเกิน แม้จะไม่เคยบอก แต่จอนเชื่อว่าซานซ่าย่อมรู้ดี ว่าการพบกันอีกครั้งมีค่าต่อเขามากมายไม่ต่างกัน
ซานซ่าเปลี่ยนไปมาก จากเด็กหญิงกลายเป็นเด็กสาว นางสูงขึ้น สวยขึ้น สวยกว่าที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้ แววตาช่างฝัน ปลายคางที่เคยเชิดขึ้น และรอยยิ้มอย่างคนมั่นใจในตัวเองเหลือเกินมลายหายไป เหลือเพียงดวงตาสีน้ำเงินที่นิ่งสงบเหมือนน้ำนิ่งในทะเลลึก นางเลิกปรายตามองผู้คนอย่างที่ชอบทำ แต่จ้องมองดวงตาคู่สนทนาตรงๆและพูดสิ่งที่คิดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ใบหน้าขาวเนียนที่ปรากฏรอยกระน่ารักคล้ายถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็งแม้ในยามยิ้ม มีเพียงบางคราวซึ่งน้อยนักที่จอนจะเห็นนางยิ้มทั้งปากและตาอย่างคนที่มีความสุขแท้จริง
น่าแปลกที่แม้ในอดีต จอนจะห่างเหินกับซานซ่าเพียงใด แต่เขากลับอ่านความรู้สึกนึกคิดของนางได้ง่ายดาย แต่ในยามนี้ ยามที่เขาอยู่ใกล้นางเพียงเอื้อมมือ ชายหนุ่มกลับรู้สึกราวกับมีกำแพงบางๆกั้นกลางระหว่างกันเอาไว้ เขาอ่านใจนางไม่ออก คาดเดาความคิดนางไม่ได้
จอนแน่ใจว่าเขาปรารถนาดีต่อนาง แต่ไม่เคยแน่ใจว่านางคิดเช่นไร…
ชายหนุ่มขยับตัว เมื่อร่างบนเตียงนุ่มขยับ หัวคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น โกสต์ลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากหมอบลงข้างเก้าอี้ไม้ มันชะโงกหน้ามองคนที่เริ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง สองมือของซานซ่ากำแน่น ราวกับกำลังพยายามยึดเกาะบางสิ่งเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดลอยไปกับฝันร้าย โกสต์เห่าเสียงดังครั้งหนึ่ง พร้อมกับที่จอนเอื้อมคว้ามือที่เริ่มปัดป่ายข้างหนึ่งไว้ในอุ้งมือ เพียงเท่านั้นคนที่ตกอยู่ในห้วงนิทราก็ผวาตื่น เด็กสาวสูดหายใจเข้าปอดไม่ต่างจากวินาทีที่จอนฟื้นจากความตาย ร่างทั้งร่างลุกพรวดขึ้นนั่ง จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามนางจับมือจอนไว้แน่น หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ใต้เปลือกตาหยาดหยดลงข้างแก้ม ตกต้องฝ่ามือแข็งแรงที่กระชับแน่นอยู่กับอุ้งมือบอบบาง
ภายในห้องนอนอันกว้างใหญ่นั้นเงียบงัน มีเพียงเสียงหอบหายใจของคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน และเสียงแตกเปรี๊ยะของฟืนในเตาผิงดังมาให้ได้ยิน ใบหน้าขาวซีดที่เปรอะคราบน้ำตาเงยหน้าขึ้นจากมือของตัวเองในอุ้งมือเขา แววระลึกได้ค่อยๆปรากฏขึ้นในดวงตาว่างเปล่า นางเหลือบมองรองเท้าบูทที่ถูกถอดไว้ข้างเตียงแล้วสบตากับจอนอีกครั้ง
สิ่งแรกที่ซานซ่าเลือกจะทำต่อจากนั้นคือปล่อยมือและเช็ดน้ำตา
[ShortFic] Game of thrones - Jon&Sansa - I'll be your home.
(Post the Winds of Winter SS6 Ep10)
The lone wolf dies but the pack survives.
- George R.R. Martin -
รถม้าของผู้เชิญธงตระกูลสตาร์คค่อยๆเคลื่อนผ่านประตูวินเทอร์เฟลออกไปทีละคัน ราวฝูงมดที่ไม่ยอมแตกแถว ล้อไม้ที่หมุนตามกันไปกรุยทางไล่หิมะหนาที่ปกคลุมทั่วลานกว้าง เผยให้เห็นผืนดินที่เคยมีหญ้าเขียวชอุ่มตัดผ่านกองหิมะเป็นแนวยาว ดวงตาสีเทาละสายตาจากพาหนะคันสุดท้ายที่หายลับไปภายใต้ม่านหิมะที่โปรยปรายลงมาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน ร่างสมส่วนใต้ผ้าคลุมขนสัตว์ตัวหนาหันหลังกลับ เขาเอ่ยอะไรกับคนในปกครองอีกสองสามประโยคด้วยเสียงต่ำกังวาน ก่อนที่ทุกคนในที่นั้นจะถอยห่างออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม
ไอเย็นจากอากาศที่สวนทางกับอุณหภูมิร่างกายแตะผ่านผิวเนื้อเหนือริมฝีปากยามที่เจ้าตัวลอบผ่อนลมหายใจแผ่วเบา พร้อมกับปล่อยให้หัวไหล่ที่แบกรับน้ำหนักของผ้าคลุมขนสัตว์ลู่ลงเล็กน้อย ภาระมากมายที่ถาโถมเข้ามาหาราชาแห่งแดนเหนือ รวดเร็วและรุนแรงไม่ต่างจากพายุหิมะที่โปรยปรายอยู่เบื้องนอก ประสบการณ์จากการเป็นผู้บัญชาการหน่วยพิทักษ์ราตรี ทำให้จอนตั้งรับกับสิ่งเหล่านี้ได้รวดเร็ว แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่เขาก็เต็มใจรับมันไว้ เพื่อสตาร์ค และเพื่อทุกตระกูลที่ให้สัตย์สาบานว่าจะอยู่เคียงข้างสตาร์ค
‘ข้าไม่ใช่สตาร์ค’
‘แต่สำหรับข้า เจ้าใช่’
สาวน้อยที่เคยมองจอนด้วยสายตาดูแคลน และไม่เคยคิดนับญาติกับเขา แม้ว่าเขาจะมีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างแม่ของนาง เป็นคนพูดคำนี้กับเขาท่ามกลางละอองหิมะแรกของฤดูหนาว นางยิ้มและมีท่าทีพึงพอใจเมื่อทุกคนชักดาบออกจากฝัก คุกเข่าลงและกล่าวคำสัตย์ว่าจะสนับสนุนเขาตราบวันที่เขาสิ้นลมหายใจ
คำพูดของเด็กสาวไม่ได้มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้จอนเปลี่ยนความเชื่อ หรือทำให้เขากล้าคิดว่าตัวเองเป็นสตาร์ค แต่มันทำให้จอนแน่ใจว่าเขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป และเป็นทุกอย่างที่ทุกคนอยากให้เป็น เพื่อตอบแทนตระกูลที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่ลืมตาดูโลก เมื่อแดนเหนือแข็งแกร่ง กำแพงที่คอยคุ้มครองทายาทคนโตแห่งวินเทอร์เฟลที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ย่อมแข็งแกร่งไม่ต่างกัน
เขาทำเพื่อปกป้องสตาร์ค...ซานซ่า สตาร์ค
‘เจ้าเชื่อใจเขาหรือ’
‘มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อใจนิ้วก้อย’
ซานซ่าบอกเขาอย่างนั้น เมื่อเขาถามถึงลอร์ดเบลิช ผู้นำกองทัพเวลมายังสนามรบตามคำขอของเด็กสาวและพลิกความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะ แววตาและคำพูดของซานซ่าในวันนั้นบอกจอนว่านางเพียงหลอกใช้อีกฝ่าย สำหรับนาง ลอร์ดเบลิชเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในศึกชิงวินเทอร์เฟล
เท่านั้นจริงๆน่ะหรือ...
แม้ตำแหน่งราชาแห่งแดนเหนือจะพันธนาการเขาไว้กับการประชุม ฝึกไพร่พล และเตรียมตั้งรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จนจอนแทบไม่มีเวลาได้พูดคุยกับซานซ่าเลย แต่วินเทอร์เฟลไม่ได้กว้างเกินกว่าจะเก็บซ่อนรอยยิ้มมุมปากยามที่นางสบตากับลอร์ดเบลิช หรือมือที่ยืนออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายจูบทักทายยามพบหน้าให้พ้นจากสายตาเขาได้ ลอร์ดเบลิชแวะมาเยี่ยมเยียนวินเทอร์เฟลเสมอ และซานซ่าก็ต้อนรับอีกฝ่ายเป็นอย่างดีในแบบที่เจ้าบ้านพึงกระทำ หลายครั้งที่เขาเห็นคนทั้งคู่เดินเคียงกันไปตามทางเดินในวินเทอร์เฟล พูดคุยกันด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน ก่อนที่การพูดคุยจะสะดุดหยุดลง เมื่อซานซ่าหันมาเห็นเขาเข้า
‘ข้าควรบอกเรื่องเขากับเจ้า เรื่องอัศวินแห่งเวล ...ข้าขอโทษ’
ซานซ่าเคยบอกเขาว่านางควรบอก แต่หลังจากวันนั้น นางกลับไม่เคยพูดถึงลอร์ดเบลิชให้เขาฟังอีกเลย
‘เราต้องเชื่อใจกัน’
ต้องเชื่อใจ...
รองเท้าหนังสีเข้มกระทบพื้นหินดังเป็นจังหวะ เมื่อเจ้าของของมันเดินด้วยก้าวย่างสม่ำเสมอไปยังห้องนอนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของปราสาท ชั่วพริบตาเดียว คนที่ปล่อยความคิดคำนึงให้หวนกลับไปสู่วันวานก็ เดินมาถึงประตูห้องนอนใหญ่ ห้องที่ซานซ่ายกให้เขา ทั้งที่มันสมควรเป็นของนาง
เปลวไฟสีส้มเหลืองที่ลุกโชนอยู่ในเตาผิงริมผนังห้องกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน อุณหภูมิภายในห้องอบอุ่นกว่าทางเดินด้านนอกที่มีเพียงแสงจากคบเพลิงนำทาง เทียนเล่มน้อยที่ถูกจุดไว้รอบบริเวณทำให้ห้องที่ควรจะมืดมิดสว่างเรืองไปด้วยสีเหลืองนวลตา มือหนาแข็งแรงเอื้อมปิดประตูหลังจากพาร่างของตัวเองเข้ามาภายในห้องเรียบร้อย รอยแผลเป็นหลังหางคิ้วข้างขวาของจอนขยับตามการเคลื่อนไหว เมื่อหัวคิ้วของเขาเคลื่อนเข้าหากันยามจ้องมองไปเบื้องหน้า จอนยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เมื่อโกสต์ผงกหัวของมันขึ้นจากขาหน้าสองข้างที่ทำหน้าที่ต่างหมอน มันครางหงิงและพาร่างที่ปกคลุมด้วยขนขาวราวปุยนุ่นเดินตรงมาหาเขา
“ว่าไงเพื่อน”
จอนย่อตัวลง ใช้มือสอดเข้าไปใต้ขนขาวพร้อมเอ่ยทักทาย ดวงตาสีเทามองเลยโกสต์ไปยังริมเตียงนอนข้างเตาผิง ก่อนจะหันกลับมาสบตากับเพื่อนคู่ใจ โกสต์หันมองตามสายตาผู้เป็นนายไปยังร่างร่างหนึ่งที่นั่งพับเพียบอยู่ริมเตียงไม้ขนาดใหญ่ มันผละจากเขากลับไปหาร่างนั้น และค่อยๆหมอบลงข้างเด็กสาวผู้กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา
ดวงตาทั้งสองข้างของซานซ่าปิดสนิท ใบหน้าด้านหนึ่งแนบลงกับผ้าห่มขนสัตว์บนเตียงนุ่ม ผมยาวถึงกลางหลังที่ถักเป็นเปียรวบไว้ข้างหนึ่งส่องประกายแดงจัด เมื่อแสงจากเปลวไฟในเตาผิงตกกระทบ จอนปลดผ้าคลุมไหล่ที่คนตรงหน้าเป็นคนทำให้ออกจากบ่า เขาวางมันลงตรงปลายเตียงอย่างเบามือ และเดินอ้อมไปริมเตียงนอนด้วยน้ำหนักเท้าที่เบาราวใบไม้ไหว
จอนคว้าเสื้อที่วางอยู่ตรงหน้าตักของเด็กสาวขึ้นมา เข็มกับด้ายยังคงปักคาอยู่ที่ริมด้านหนึ่งของชายเสื้อ รอยขาดยังคงปรากฏให้เห็น มันคือเสื้อตัวเดียวกับที่จอนวางเอาไว้บนเตียงเมื่อค่ำ เหมือนอย่างที่เขาเคยทำ เมื่อพบว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ชำรุด การดวลดาบกลางลานประลองของวินเทอร์เฟลท่ามกลางหิมะ ฝากรอยแผลเล็กๆน้อยๆไว้ให้เครื่องแต่งกายของราชาแห่งแดนเหนือเสมอ เขาต้องการฝึกให้ชายทุกคนที่อยู่ใต้ธงหมาป่าโลกันต์เคยชินกับความหนาวที่เสียดแทงผิวเนื้อเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาจเดินทางมาพร้อมหิมะเมื่อใดก็ได้
จอนเคยเอ่ยปากขอบคุณสาวใช้ที่นำเสื้อตัวเก่งกลับมาให้เขาในสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ นางย่อตัวลงรับคำชมอย่างสุภาพ และบอกเพียงว่านางไม่ได้เป็นคนเย็บมัน เขาจึงคิดไปว่าคงเป็นใครคนหนึ่งในบรรดาสาวใช้ที่หวนกลับมารับใช้วินเทอร์เฟลอีกครั้ง และเพราะจอนไม่ถาม เขาจึงไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่คาดคิดผิดจากความจริงไปไม่น้อย
มือหนาแข็งแรงวางเสื้อสีดำที่หยิบติดมือขึ้นมาไว้บนที่ว่างเหนือเตาผิง ก่อนที่เจ้าของร่างนั้นจะเดินกลับมาหาเด็กสาว มือที่กำลังจะเอื้อมแตะหัวไหล่ชะงักค้าง เมื่อเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากหัวตาที่ยังคงปิดสนิท หยาดน้ำใสที่เคลื่อนที่ผ่านสันจมูกโด่งสวยลงสู่ผิวแก้มอีกด้านที่แนบกับเตียงนอน ทำให้แววตาของคนที่เฝ้ามองไหววูบราวเทียนต้องลม เขาเอื้อมดึงผ้าห่มไปทางหนึ่ง ก่อนใช้สองแขนช้อนร่างบอบบางขึ้นจากพื้น และวางร่างที่ยังคงหลับใหลลงบนเตียงใหญ่ นิ้วเรียวปาดน้ำตาบนใบหน้าขาวซีดทิ้งให้แผ่วเบา ชายหนุ่มค่อยๆถอดรองเท้าบูทที่นางสวมออกและวางมันลงบนพื้น แล้วเอื้อมดึงผ้าห่มกลับมาคลุมร่างเด็กสาวเอาไว้
จอนดึงเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมายังริมเตียงนอน เขาทรุดตัวลงนั่ง วางท่อนแขนลงกับหน้าขาของตัวเอง แล้วผ่อนลมหายใจแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงขนนุ่มนิ่มของโกสต์ที่ยืดตัวขึ้นมามองตามร่างที่ถูกอุ้มขึ้นไปนอนบนเตียงใต้ผ้าห่มอบอุ่นในคืนเหน็บหนาว จอนไม่ได้ก้มลงมองโกสต์ แต่ยังคงมองตรงไปหาเด็กสาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิด
ชีวิตของเขาและซานซ่าแยกจากกันไปแสนไกล ไม่ต่างจากพี่น้องคนอื่นๆในตระกูลสตาร์ค เขาขึ้นเหนือเพื่อสวมชุดดำแห่งหน่วยพิทักษ์ราตรี ส่วนนางลงใต้เพื่อสวมชุดขาวเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของมกุฎราชกุมารแห่งเวสเทอรอส จอนจำไม่ได้ว่าคำสุดท้ายที่เขาพูดกับนางก่อนจากกันคือคำใด เขารู้เพียงวันที่พบนางอีกครั้ง นางยืนอยู่ตรงนั้น กลางลานกว้างที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนหน้าปราสาททมิฬ แววตายินดีปนโล่งใจ ร่างที่โถมเข้าหาและเอื้อมคว้าเขาไว้ในอ้อมกอด เสียงลมหายใจและปลายคางที่กดลงบนบ่า ทำให้จอนรู้ว่าอย่างน้อยเขาก็มีค่ากับเด็กสาวคนหนึ่งมากที่สุด ในวินาทีหนึ่งของชีวิตที่ผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมายเหลือเกิน แม้จะไม่เคยบอก แต่จอนเชื่อว่าซานซ่าย่อมรู้ดี ว่าการพบกันอีกครั้งมีค่าต่อเขามากมายไม่ต่างกัน
ซานซ่าเปลี่ยนไปมาก จากเด็กหญิงกลายเป็นเด็กสาว นางสูงขึ้น สวยขึ้น สวยกว่าที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้ แววตาช่างฝัน ปลายคางที่เคยเชิดขึ้น และรอยยิ้มอย่างคนมั่นใจในตัวเองเหลือเกินมลายหายไป เหลือเพียงดวงตาสีน้ำเงินที่นิ่งสงบเหมือนน้ำนิ่งในทะเลลึก นางเลิกปรายตามองผู้คนอย่างที่ชอบทำ แต่จ้องมองดวงตาคู่สนทนาตรงๆและพูดสิ่งที่คิดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ใบหน้าขาวเนียนที่ปรากฏรอยกระน่ารักคล้ายถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็งแม้ในยามยิ้ม มีเพียงบางคราวซึ่งน้อยนักที่จอนจะเห็นนางยิ้มทั้งปากและตาอย่างคนที่มีความสุขแท้จริง
น่าแปลกที่แม้ในอดีต จอนจะห่างเหินกับซานซ่าเพียงใด แต่เขากลับอ่านความรู้สึกนึกคิดของนางได้ง่ายดาย แต่ในยามนี้ ยามที่เขาอยู่ใกล้นางเพียงเอื้อมมือ ชายหนุ่มกลับรู้สึกราวกับมีกำแพงบางๆกั้นกลางระหว่างกันเอาไว้ เขาอ่านใจนางไม่ออก คาดเดาความคิดนางไม่ได้
จอนแน่ใจว่าเขาปรารถนาดีต่อนาง แต่ไม่เคยแน่ใจว่านางคิดเช่นไร…
ชายหนุ่มขยับตัว เมื่อร่างบนเตียงนุ่มขยับ หัวคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น โกสต์ลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากหมอบลงข้างเก้าอี้ไม้ มันชะโงกหน้ามองคนที่เริ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง สองมือของซานซ่ากำแน่น ราวกับกำลังพยายามยึดเกาะบางสิ่งเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดลอยไปกับฝันร้าย โกสต์เห่าเสียงดังครั้งหนึ่ง พร้อมกับที่จอนเอื้อมคว้ามือที่เริ่มปัดป่ายข้างหนึ่งไว้ในอุ้งมือ เพียงเท่านั้นคนที่ตกอยู่ในห้วงนิทราก็ผวาตื่น เด็กสาวสูดหายใจเข้าปอดไม่ต่างจากวินาทีที่จอนฟื้นจากความตาย ร่างทั้งร่างลุกพรวดขึ้นนั่ง จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามนางจับมือจอนไว้แน่น หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ใต้เปลือกตาหยาดหยดลงข้างแก้ม ตกต้องฝ่ามือแข็งแรงที่กระชับแน่นอยู่กับอุ้งมือบอบบาง
ภายในห้องนอนอันกว้างใหญ่นั้นเงียบงัน มีเพียงเสียงหอบหายใจของคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน และเสียงแตกเปรี๊ยะของฟืนในเตาผิงดังมาให้ได้ยิน ใบหน้าขาวซีดที่เปรอะคราบน้ำตาเงยหน้าขึ้นจากมือของตัวเองในอุ้งมือเขา แววระลึกได้ค่อยๆปรากฏขึ้นในดวงตาว่างเปล่า นางเหลือบมองรองเท้าบูทที่ถูกถอดไว้ข้างเตียงแล้วสบตากับจอนอีกครั้ง
สิ่งแรกที่ซานซ่าเลือกจะทำต่อจากนั้นคือปล่อยมือและเช็ดน้ำตา