โดยปกติแล้วเราเป็นคนไม่สนใจใครค่ะ
ทำทุกอย่างที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง เป็นคนแข็งๆ แต่ว่ามีน้ำใจนะคะ
จนวันหนึ่งชีวิตเราเปลี่ยนไปเพราะเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกชั่วข้ามคืน
จากคนที่ร่าเริง กลายเป็นซึมเศร้า
ตอนนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้เลย
โรคนี้ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดค่ะ
แต่ก่อนหน้าที่เราจะเป็น เรานอนหลับแค่วันละ3ชั่วโมงติดต่อกัน3วัน
ประกอบกับใกล้คลอด ร่างกายอ่อนแอด้วย
ใครจะคิดว่าตื่นมา หน้าเราจะขยับได้แค่ซีกเดียว ซึ่งถ้าไม่ส่องกระจกจะไม่รู้เลย
เพราะความรู้สึกมันปกติดีทุกอย่าง
ตอนนั้นคิดว่าทำไมเราถึงต้องเป็นแบบนี้
ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา
ชาตินี้เราจะหายมั้ย
ลูกเราจะอายคนอื่นไหมถ้าแม่ไม่หาย
ตอนนั้นทำทุกทางค่ะ
ไปหาหมอที่เก่งที่สุด
กินยา
กระตุ้นด้วยไฟฟ้า
ทำกายภาพ
และต้องลาออกจากงานเพราะต้องทำกายภาพอย่างต่อเนื่องค่ะ
จนสุดท้าย 4 เดือนผ่านไป เราหาย97%
ใบหน้าเหมือนปกติทั่วไป ยกเว้นตอนหาว ตาจะหลับข้างเดียว
นี่ถือว่าดีที่สุดสำหรับเราแล้วค่ะ
ช่วง4เดือนที่ผ่านมาจึงทำให้เราเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง
เข้าใจชีวิตคนพิการ เข้าใจคนเป็นอัมพาต
เข้าใจคนที่ประสบอุบัติเหตุแล้วร่างกายไม่เหมือนเดิม
เค้าไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความโชคร้าย
แต่ยังรู้สึกน้อยใจโชคชะตาที่มีอะไรไม่เหมือนคนอื่นๆในสังคม
นี่คือจุดเริ่มต้นของการให้ค่ะ
ตอนนั้นเราตัดสินใจบริจาคดวงตา และบริจาคอวัยวะ ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
อยากให้คนที่ตาพร่ามัวหรือตาบอด ได้มองเห็นอีกครั้งค่ะ
ส่วนอวัยวะจะได้ช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยได้อีกค่ะ
ร่างกายก็บริจาคให้นักศึกษาแพทย์เพื่อศึกษาค่ะ
อยากเชิญชวนผู้อ่านมาทำบุญครั้งใหญ่
เมื่อร่างกายเราถึงเวลาที่ไม่สามารถใช้ได้แล้ว
ก็ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้กลับมายิ้มกับครอบครัวเค้าอีกครั้งเถ
อะค่ะ
เป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก สู่การบริจาคทั้งชีวิตเพื่อผู้อื่น
ทำทุกอย่างที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง เป็นคนแข็งๆ แต่ว่ามีน้ำใจนะคะ
จนวันหนึ่งชีวิตเราเปลี่ยนไปเพราะเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกชั่วข้ามคืน
จากคนที่ร่าเริง กลายเป็นซึมเศร้า
ตอนนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้เลย
โรคนี้ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดค่ะ
แต่ก่อนหน้าที่เราจะเป็น เรานอนหลับแค่วันละ3ชั่วโมงติดต่อกัน3วัน
ประกอบกับใกล้คลอด ร่างกายอ่อนแอด้วย
ใครจะคิดว่าตื่นมา หน้าเราจะขยับได้แค่ซีกเดียว ซึ่งถ้าไม่ส่องกระจกจะไม่รู้เลย
เพราะความรู้สึกมันปกติดีทุกอย่าง
ตอนนั้นคิดว่าทำไมเราถึงต้องเป็นแบบนี้
ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา
ชาตินี้เราจะหายมั้ย
ลูกเราจะอายคนอื่นไหมถ้าแม่ไม่หาย
ตอนนั้นทำทุกทางค่ะ
ไปหาหมอที่เก่งที่สุด
กินยา
กระตุ้นด้วยไฟฟ้า
ทำกายภาพ
และต้องลาออกจากงานเพราะต้องทำกายภาพอย่างต่อเนื่องค่ะ
จนสุดท้าย 4 เดือนผ่านไป เราหาย97%
ใบหน้าเหมือนปกติทั่วไป ยกเว้นตอนหาว ตาจะหลับข้างเดียว
นี่ถือว่าดีที่สุดสำหรับเราแล้วค่ะ
ช่วง4เดือนที่ผ่านมาจึงทำให้เราเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง
เข้าใจชีวิตคนพิการ เข้าใจคนเป็นอัมพาต
เข้าใจคนที่ประสบอุบัติเหตุแล้วร่างกายไม่เหมือนเดิม
เค้าไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความโชคร้าย
แต่ยังรู้สึกน้อยใจโชคชะตาที่มีอะไรไม่เหมือนคนอื่นๆในสังคม
นี่คือจุดเริ่มต้นของการให้ค่ะ
ตอนนั้นเราตัดสินใจบริจาคดวงตา และบริจาคอวัยวะ ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
อยากให้คนที่ตาพร่ามัวหรือตาบอด ได้มองเห็นอีกครั้งค่ะ
ส่วนอวัยวะจะได้ช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยได้อีกค่ะ
ร่างกายก็บริจาคให้นักศึกษาแพทย์เพื่อศึกษาค่ะ
อยากเชิญชวนผู้อ่านมาทำบุญครั้งใหญ่
เมื่อร่างกายเราถึงเวลาที่ไม่สามารถใช้ได้แล้ว
ก็ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้กลับมายิ้มกับครอบครัวเค้าอีกครั้งเถ
อะค่ะ