เมื่อคอร์สสอนรวยเต็มไปหมด...มาดูวิธีเลือกคอร์สให้
(คนสอนรวย) VS ผู้เรียนนำไปใช้แล้วรวยจริง
-------------------
เมื่อโลกและสังคมปัจจุบันมีแต่คนที่นับถือคนที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุยังน้อย ใครอายุน้อยกว่าแล้วทำเงินได้เยอะแยะมากมาย ย่อมได้รับการยอมรับในสังคม ยิ่งมีภาพการใช้ชีวิตที่สวยหรู ทานอาหารบนสถานที่หรู อาหารแพง ย่อมได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างว่าประสบความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งการสถาปนาตัวเองให้เป็น Guru ในด้านใดด้านหนึ่งแล้วสอนคนที่รู้น้อยกว่าตัวเองให้เรียนรู้ด้วยเช่นเดียวกัน (ทั้งที่ตนเองอาจะรู้เพียงแค่ 5 แต่ไปสอนคนที่ไม่รู้ 1-4 แทน หรือบอกว่านี่เป็นความลับที่ทำให้เค้ารวย เค้าอยากให้คนอื่นรวยบ้างจึงอยากจะทำประโยนชน์ให้คนอื่น (แต่เก็บค่าเรียนที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองโครตแพง)
ดังนั้นแล้วมันเลยทำให้น้องนักศึกษาหรือเด็กจบใหม่ หรือแม้กระทั่งพนังงานประจำ อาจจะแห่กันลาออกหรือทุ่มเงินเพื่อซื้อคอร์สราคาแพง เพื่อการเรียนรู้ (เพราะเค้าบอกไว้ว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด) เลยทำให้เกิดค่านิยมของสังคมขึ้นว่า จบมาแล้วไม่ทำงานประจำ ขอมุ่งมั่นทำธุรกิจส่วนตัว และประสบความสำเร็จได้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในวัยเกษียรให้ได้เร็วที่สุด จะได้มีเวลาไปทำประโยชน์ให้สังคม ให้แก่ผู้ด้อยโอกาส (หรืออาจจะเปิดคอร์สสอนการประสำความสำเร็จอย่างเร็วที่สุด)
ซึ่งหากใครมีความคิดที่ตั้งใจดี ผมยินดีด้วยจริงๆครับ เพราะมีคนที่คิดแบบนี้ทำเพื่อคนอื่นในสังคมน้อยจริงๆครับ อยากให้คุณทำดีต่อไป หรือใครที่มุ่งหวังเพื่อที่จะโหนกระแสความร่ำรวยแบบติดจรวดของสังคมนี้ก็ขอให้พิจารณาว่า “ค่าคอร์สเรียนที่แสนแพง อาจจะแลกมากับเงินเก็บก้อนสุดท้ายของคนนั้น”
--------------------
เรามาลองดูกันครับว่า คอร์สแบบไหนที่คุณควรจะพิจารณาว่าเป็นประโยชน์กับตัวคุณเองมากที่สุดดังนี้
........................
1. เรื่องของประวัติของผู้สอนขอให้นำ้หนักเพียงแค่ 20% พอครับ การที่คนสอนตั้งมานั่งเล่าประวัติความสำเร็จของเค้าว่าเค้าทำอะไรมาถึงประสบความสำเร็จใช้เวลาเล่าหลายชั่วโมง ผมว่าเรื่องนี้เป็นการขายตัวตนที่ไม่มีเนื้อหาของความสำเร็จเท่าไหร่
2. ขอให้ดูในเนื้อหาการสอนและตารางเวลาการสอน ดูว่าในช่วงการสอนนั้นมีเนื้อหาที่ตรงกับคุณหรือไม่ ขอให้ทำการบ้านในการเรียนรู้ไปก่อนเช่น คุณเรียนรู้ในเรื่องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรจะหาซื้อหนังสือเพื่อมาอ่านทำความเข้าใจในขั้นตอนธุรกิจก่อน เพราะหนังสือมันจะมักจะแค่หลักร้อย ส่วนคอร์สสอนน้อยๆมักจะเสียหลักพันถึงแสน ดังนั้นหากคุณได้อ่านหนังสือมาก่อน คุณอาจจะเปลี่ยนใจในคอร์สเรียนที่แสนแพง
3. เนื้อหาในการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะต้องเป็นเนื้อหาที่ไม่ใช่เพียงแค่พื้นฐาน แต่ควรจะรวมองค์ประกอบทั้งขั้นตอนและเทคนิคใส่เข้าไปด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การปูพื้นฐานในการเริ่มต้น แล้วไปสอนต่อในคอร์ส Advance และดึงคนเข้าไปเรียนในคอร์สต่อๆไปเพื่อจะได้เรียนรู้ให้มากขึ้น คอร์สหากเป็นแนวคิดควรจะจบภายใน 1-2 วันคือจบแบจบจริงๆ ส่วนคอร์สเทคนิคและขั้นตอนปฏิบัติอาจจะใช้เวลาเรียน 5-7 วัน ซึ่งลองเข้าไปดูของพวกสถานบันที่เค้าสอนเนื้อหาแบบจริงจังดูครับ จะเห็นถึงความแตกต่างในการเรียนการสอน
4. คอร์สที่บุคคลสอนกับคอร์สที่องค์กรสอนนั้นแตกต่างกัน อะไรที่เหมาะสมสำหรับตัวเรานั้น ต้องไปดูที่เนื้อหาและวิธีการเรียนการสอน บางครั้งคนที่ไม่ดังไม่ต้องโปรโมทให้สังคมได้รับรู้ อาจจะสอนได้เป็นอย่างดีและมีความเป็น “ครูผู้ให้” อย่างจริงจังมากกว่าคอร์สปลุกใจให้คนลงมือทำ
5. หากอยากเรียนอย่างจริงจัง ลองศึกษาประวัติของผู้สอนว่ามีผลงานอะไรมาบ้าง ผมให้ความสำคัญเรื่อง “ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า” บางครั้งคนที่สอนมีอายุมากๆไม่ใช่ว่าเค้าสำเร็จช้า แต่ความสำเร็จแบบยั่งยืนและยืนมาอย่างยาวานนี่สำคัญกว่ามาก ผู้สอนบางคนอาจจะอายุยังไม่มากแต่ทำเงินได้เยอะในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่เค้าสำเร็จเพียงแค่อย่างเดียวและนำมาถ่ายทอด ซึ่งจะต้องดูต่อไปว่า การเริ่มต้นในสิ่งที่เค้าสอนตอนนี้ มันเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ เช่น การปล่อยเช่าคอนโดในปัจจุบันย่อมยากกว่าในอดีต เป็นต้น
6. ความสำคัญของการจัดสัมนาอยู่ที่เนื้อหา ไม่ใช่สถานที่จัด อาหารกลางวัน หรือ อาหารว่าง ที่ต้องเขียนหัวข้อนี้ขึ้นมาเพราะว่า มักจะมีพวกติเตียนเรื่องสถานที่ และ อาหารพอสมควร ให้คิดเสียว่า ยิ่งสถานที่หรูหรา อาหารดีเลิศรสราคาแพง ย่อมแลกด้วยคอร์สที่แสนแพงที่คุณจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แต่คอร์สคุณภาพนั้นเค้าเน้นเรื่องเวลาเรียนที่คุณจะได้เรียนรุ้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นแล้ว เนื้อหาการเรียนรู้ สิ่งที่เราจะได้รับสำคัญกว่า สถานที่และอาหารนะครับ
7. สุดท้ายผู้เรียนจะต้องเลือกก่อนไปเรียนครับว่า ตัวเราเองสนใจและถนัดด้านไหนเป็นพิเศษ คิดว่าจะอยู่กับมันได้นานที่สุด มีความสุขที่ได้ทำ นั่นล่ะครับ ธุรกิจที่คุณควรจะเข้าไปเรียนรู้ ผมไม่แนะนำว่า หากยังหาตัวตนไม่เจอ เลยไปเรียนรุ้เสียหมดทุกคอร์ส คุณก็จะ “เสียเงิน” กับทุกคอร์สจนหมดและไม่เหลือเงินทุนในการเริ่มต้นเลยนะครับ การหาตัวตนให้พบเจอ สังเกตุได้จากการที่คุณลงทุนกับหนังสือควรรุ้ที่มีค่าแต่ราคาไม่ได้แพง เลือกที่จะอ่านให้จบ เลือกที่ตนเองชอบที่สุด และทดลองเริ่มต้นกับมันก่อน เรียนรู้ไปพร้อมกับการกระทำ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเรียนเพื่อให้รู้ไปเสียหมดแล้วค่อยเริ่มต้นลงมือทำ “เพราะโค้ชที่เค้าจะสอนเรา ตอนที่เค้าลงมือทำแล้วสำเร็จเค้าก็ไม่ได้ไปเรียนรู้กับใคร นอกจากประสบการณ์และการแก้ไขตอนลงมือทำจริงๆ”
8. หากมั่นใจแล้วว่า นั่นล่ะคืองานคือธุรกิจที่คุณอยากจะฝากชีวิตที่จะประสบความสำเร็จหลังจากนี้อย่างจริงจัง ค่อยเข้าไปต่อยอดความรู้เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจจะดีกว่า อย่าลืมว่า คุณไปเรียนทฤษฎีประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ หากไม่ลงมือทำเองก็ไม่สำเร็จสักที ดังนั้นแล้วสำคัญที่คุณได้เรียนรุ้จากการลงมือทำนะครับ
สุดท้ายการเรียนรุ้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด คนสอนคนอื่นแล้วเก็บค่าคอร์สเรียนแพงๆก็ไม่ได้ผิด เพราะเค้าตีคุณค่าแห่งการเรียนรุ้ที่ต่างกัน บางคนไปเรียนรุ้เพียงแค่เพื่อที่จะฟังเทคนิคเพียงแค่อย่างเดียวแล้วนำมาใช้ให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจมีเยอะแยะไป เค้าก็พอใจที่จะจ่าย แต่คนที่ไม่มีเงินมากมายเพื่อที่จะไปเรียนรู้ล่ะ ลองทำตามคำแนะนำนี้ดู เพื่อที่คุณจะได้เก็บเงินที่มี ไปเป็นเงินทุนในการสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ดีกว่าครับ
-------------------
ด้วยความหวังดี
เมื่อคอร์สสอนรวยเต็มไปหมด...มาดูวิธีเลือกคอร์สให้ (คนสอนรวย) VS ผู้เรียนนำไปใช้แล้วรวยจริง
(คนสอนรวย) VS ผู้เรียนนำไปใช้แล้วรวยจริง
-------------------
เมื่อโลกและสังคมปัจจุบันมีแต่คนที่นับถือคนที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุยังน้อย ใครอายุน้อยกว่าแล้วทำเงินได้เยอะแยะมากมาย ย่อมได้รับการยอมรับในสังคม ยิ่งมีภาพการใช้ชีวิตที่สวยหรู ทานอาหารบนสถานที่หรู อาหารแพง ย่อมได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างว่าประสบความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งการสถาปนาตัวเองให้เป็น Guru ในด้านใดด้านหนึ่งแล้วสอนคนที่รู้น้อยกว่าตัวเองให้เรียนรู้ด้วยเช่นเดียวกัน (ทั้งที่ตนเองอาจะรู้เพียงแค่ 5 แต่ไปสอนคนที่ไม่รู้ 1-4 แทน หรือบอกว่านี่เป็นความลับที่ทำให้เค้ารวย เค้าอยากให้คนอื่นรวยบ้างจึงอยากจะทำประโยนชน์ให้คนอื่น (แต่เก็บค่าเรียนที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองโครตแพง)
ดังนั้นแล้วมันเลยทำให้น้องนักศึกษาหรือเด็กจบใหม่ หรือแม้กระทั่งพนังงานประจำ อาจจะแห่กันลาออกหรือทุ่มเงินเพื่อซื้อคอร์สราคาแพง เพื่อการเรียนรู้ (เพราะเค้าบอกไว้ว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด) เลยทำให้เกิดค่านิยมของสังคมขึ้นว่า จบมาแล้วไม่ทำงานประจำ ขอมุ่งมั่นทำธุรกิจส่วนตัว และประสบความสำเร็จได้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในวัยเกษียรให้ได้เร็วที่สุด จะได้มีเวลาไปทำประโยชน์ให้สังคม ให้แก่ผู้ด้อยโอกาส (หรืออาจจะเปิดคอร์สสอนการประสำความสำเร็จอย่างเร็วที่สุด)
ซึ่งหากใครมีความคิดที่ตั้งใจดี ผมยินดีด้วยจริงๆครับ เพราะมีคนที่คิดแบบนี้ทำเพื่อคนอื่นในสังคมน้อยจริงๆครับ อยากให้คุณทำดีต่อไป หรือใครที่มุ่งหวังเพื่อที่จะโหนกระแสความร่ำรวยแบบติดจรวดของสังคมนี้ก็ขอให้พิจารณาว่า “ค่าคอร์สเรียนที่แสนแพง อาจจะแลกมากับเงินเก็บก้อนสุดท้ายของคนนั้น”
--------------------
เรามาลองดูกันครับว่า คอร์สแบบไหนที่คุณควรจะพิจารณาว่าเป็นประโยชน์กับตัวคุณเองมากที่สุดดังนี้
........................
1. เรื่องของประวัติของผู้สอนขอให้นำ้หนักเพียงแค่ 20% พอครับ การที่คนสอนตั้งมานั่งเล่าประวัติความสำเร็จของเค้าว่าเค้าทำอะไรมาถึงประสบความสำเร็จใช้เวลาเล่าหลายชั่วโมง ผมว่าเรื่องนี้เป็นการขายตัวตนที่ไม่มีเนื้อหาของความสำเร็จเท่าไหร่
2. ขอให้ดูในเนื้อหาการสอนและตารางเวลาการสอน ดูว่าในช่วงการสอนนั้นมีเนื้อหาที่ตรงกับคุณหรือไม่ ขอให้ทำการบ้านในการเรียนรู้ไปก่อนเช่น คุณเรียนรู้ในเรื่องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรจะหาซื้อหนังสือเพื่อมาอ่านทำความเข้าใจในขั้นตอนธุรกิจก่อน เพราะหนังสือมันจะมักจะแค่หลักร้อย ส่วนคอร์สสอนน้อยๆมักจะเสียหลักพันถึงแสน ดังนั้นหากคุณได้อ่านหนังสือมาก่อน คุณอาจจะเปลี่ยนใจในคอร์สเรียนที่แสนแพง
3. เนื้อหาในการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะต้องเป็นเนื้อหาที่ไม่ใช่เพียงแค่พื้นฐาน แต่ควรจะรวมองค์ประกอบทั้งขั้นตอนและเทคนิคใส่เข้าไปด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การปูพื้นฐานในการเริ่มต้น แล้วไปสอนต่อในคอร์ส Advance และดึงคนเข้าไปเรียนในคอร์สต่อๆไปเพื่อจะได้เรียนรู้ให้มากขึ้น คอร์สหากเป็นแนวคิดควรจะจบภายใน 1-2 วันคือจบแบจบจริงๆ ส่วนคอร์สเทคนิคและขั้นตอนปฏิบัติอาจจะใช้เวลาเรียน 5-7 วัน ซึ่งลองเข้าไปดูของพวกสถานบันที่เค้าสอนเนื้อหาแบบจริงจังดูครับ จะเห็นถึงความแตกต่างในการเรียนการสอน
4. คอร์สที่บุคคลสอนกับคอร์สที่องค์กรสอนนั้นแตกต่างกัน อะไรที่เหมาะสมสำหรับตัวเรานั้น ต้องไปดูที่เนื้อหาและวิธีการเรียนการสอน บางครั้งคนที่ไม่ดังไม่ต้องโปรโมทให้สังคมได้รับรู้ อาจจะสอนได้เป็นอย่างดีและมีความเป็น “ครูผู้ให้” อย่างจริงจังมากกว่าคอร์สปลุกใจให้คนลงมือทำ
5. หากอยากเรียนอย่างจริงจัง ลองศึกษาประวัติของผู้สอนว่ามีผลงานอะไรมาบ้าง ผมให้ความสำคัญเรื่อง “ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า” บางครั้งคนที่สอนมีอายุมากๆไม่ใช่ว่าเค้าสำเร็จช้า แต่ความสำเร็จแบบยั่งยืนและยืนมาอย่างยาวานนี่สำคัญกว่ามาก ผู้สอนบางคนอาจจะอายุยังไม่มากแต่ทำเงินได้เยอะในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่เค้าสำเร็จเพียงแค่อย่างเดียวและนำมาถ่ายทอด ซึ่งจะต้องดูต่อไปว่า การเริ่มต้นในสิ่งที่เค้าสอนตอนนี้ มันเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ เช่น การปล่อยเช่าคอนโดในปัจจุบันย่อมยากกว่าในอดีต เป็นต้น
6. ความสำคัญของการจัดสัมนาอยู่ที่เนื้อหา ไม่ใช่สถานที่จัด อาหารกลางวัน หรือ อาหารว่าง ที่ต้องเขียนหัวข้อนี้ขึ้นมาเพราะว่า มักจะมีพวกติเตียนเรื่องสถานที่ และ อาหารพอสมควร ให้คิดเสียว่า ยิ่งสถานที่หรูหรา อาหารดีเลิศรสราคาแพง ย่อมแลกด้วยคอร์สที่แสนแพงที่คุณจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แต่คอร์สคุณภาพนั้นเค้าเน้นเรื่องเวลาเรียนที่คุณจะได้เรียนรุ้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นแล้ว เนื้อหาการเรียนรู้ สิ่งที่เราจะได้รับสำคัญกว่า สถานที่และอาหารนะครับ
7. สุดท้ายผู้เรียนจะต้องเลือกก่อนไปเรียนครับว่า ตัวเราเองสนใจและถนัดด้านไหนเป็นพิเศษ คิดว่าจะอยู่กับมันได้นานที่สุด มีความสุขที่ได้ทำ นั่นล่ะครับ ธุรกิจที่คุณควรจะเข้าไปเรียนรู้ ผมไม่แนะนำว่า หากยังหาตัวตนไม่เจอ เลยไปเรียนรุ้เสียหมดทุกคอร์ส คุณก็จะ “เสียเงิน” กับทุกคอร์สจนหมดและไม่เหลือเงินทุนในการเริ่มต้นเลยนะครับ การหาตัวตนให้พบเจอ สังเกตุได้จากการที่คุณลงทุนกับหนังสือควรรุ้ที่มีค่าแต่ราคาไม่ได้แพง เลือกที่จะอ่านให้จบ เลือกที่ตนเองชอบที่สุด และทดลองเริ่มต้นกับมันก่อน เรียนรู้ไปพร้อมกับการกระทำ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเรียนเพื่อให้รู้ไปเสียหมดแล้วค่อยเริ่มต้นลงมือทำ “เพราะโค้ชที่เค้าจะสอนเรา ตอนที่เค้าลงมือทำแล้วสำเร็จเค้าก็ไม่ได้ไปเรียนรู้กับใคร นอกจากประสบการณ์และการแก้ไขตอนลงมือทำจริงๆ”
8. หากมั่นใจแล้วว่า นั่นล่ะคืองานคือธุรกิจที่คุณอยากจะฝากชีวิตที่จะประสบความสำเร็จหลังจากนี้อย่างจริงจัง ค่อยเข้าไปต่อยอดความรู้เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจจะดีกว่า อย่าลืมว่า คุณไปเรียนทฤษฎีประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ หากไม่ลงมือทำเองก็ไม่สำเร็จสักที ดังนั้นแล้วสำคัญที่คุณได้เรียนรุ้จากการลงมือทำนะครับ
สุดท้ายการเรียนรุ้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด คนสอนคนอื่นแล้วเก็บค่าคอร์สเรียนแพงๆก็ไม่ได้ผิด เพราะเค้าตีคุณค่าแห่งการเรียนรุ้ที่ต่างกัน บางคนไปเรียนรุ้เพียงแค่เพื่อที่จะฟังเทคนิคเพียงแค่อย่างเดียวแล้วนำมาใช้ให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจมีเยอะแยะไป เค้าก็พอใจที่จะจ่าย แต่คนที่ไม่มีเงินมากมายเพื่อที่จะไปเรียนรู้ล่ะ ลองทำตามคำแนะนำนี้ดู เพื่อที่คุณจะได้เก็บเงินที่มี ไปเป็นเงินทุนในการสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ดีกว่าครับ
-------------------
ด้วยความหวังดี