นับเป็นเรื่องที่น่าอายไม่น้อยที่สาเหตุแห่งความยุ่งเหยิงของประเทศไทย ประเทศไทยที่อ้างว่าเป็นเมืองพุทธและกำลังมีการส่งเสริมให้เป็นจุดศูนย์กลางของพุทธศาสนาโลกในตอนนี้นั้นถูกจุดประกายด้วยความเกลียดชังอิจฉาริษยาของคนไม่กี่คน และแม้จะเคยมีการพยายามจะให้อภัยกันและกัน(ตามแนวความเชื่อของพุทธ)มาแล้ว แต่ความพยายามตรงนั้นก็ยังถูกประณามและกีดขวางลุกลามกันใหญ่โต อย่าว่าแต่พุทธศาสนิกชนคนไทยทั่วๆ ไปเลยครับ ขนาดคนที่อ้างตัวว่าพระสงฆ์องค์เจ้าที่ไม่เคยก้าวล่วงพระวินัยแม้เพียงสิกขาบทเดียวบางรูปเคยลงทุนถลกสบงขึ้นเวทีกลางเวทีราชดำเนิน ประกาศรับรองการกระทำ(ที่ขัดต่อกฏหมาย สร้างรอยร้าวให้สังคม)กลุ่มคนหนึ่งว่าถูกต้องที่สุดในโลกก็เคยทำมาแล้ว
“ชนเหล่าใดมีความรู้อันหาสาระไม่ได้กลับมองว่านั่นเป็นสาระ ชนเหล่านั้นย่อมดำริผิด ไม่บรรลุถึงความจริงอันเป็นสาระคือสัจจธรรม” เหล่าพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สนับสนุนพระรูปหนึ่งออกจากวัดแล้วกระโจนขึ้นบนเวที จนมีส่วนทำให้คนเสียชีวิตและต้องขาดจากความเป็น “สมณะ” ไปนั้นควรนำพุทธดำรัสของพระพุทธองค์ที่ผมยกอ้างมาตรงนี้มาพิจารณาให้ถ้วนถี่
เป็นที่เข้าใจดีว่า....คนเรานั้นลงจะเกลียดหรือจะรักใครสักคนมันยากจะห้าม โดยเฉพาะการเกลียดชังที่ไร้น้ำหนักและไร้หลักฐานมารองรับนั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ทั้งน่าสงสารและน่ารังเกียจไปพร้อมๆ กัน น่าสงสาร...ที่เขาช่างเป็นคนหูเบา เชื่อง่าย ขาดการไตร่ตรอง พอมีคนเขามาเป่าหูว่า อ้ายนั่นโกง อีนี่คอร์รัปชั่น ก็ปักใจเชื่อจนหมดใจ ทั้งๆ ที่หลักฐานยังไม่ปรากฏให้เห็นความจริงยังไม่กระจ่าง แต่อีกด้านหนึ่ง หลักฐานการไม่โกง การทำคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของเขามีมากมายให้สัมผัสกลับถูกมองข้ามอย่างนี้แล้วจะไม่ให้สงสารได้อย่างไร? และที่น่ารังเกียจก็คือ เผอิญคนประเภทเชื่อง่ายหูเบาอย่างนี้มีเยอะพอสมควร(แต่ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่)ในระดับที่สามารถนำความเกลียดชังที่ขาดการไตร่ตรองของตัวเองตรงนั้นมาสร้างความปั่นป่วน หายนะ ก้าวล่วงกฏกติกาบ้านเมืองได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้
หลายคนเริ่มกังวลแล้วว่า อีกนานเท่าไหร่หนอเราจึงจะได้เห็นบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงบ(กว่าที่เป็นอยู่)หรือใกล้ปรกติ ความเป็นไปได้ที่บ้านเมืองเราจะเข้าสู่ภาวะปรกติในระยะเวลาอีกสามสี่ปีข้างหน้าคงจะเป็นไปน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับดีกรีของการเกลียดชัง(ทักษิณ)ว่ายังวิ่งพล่านในสายเลือดของคนอีกกลุ่มหนึ่งมากน้อยแค่ไหน ส่วนเรื่องที่ให้คนเลิกรักและเลิกศรัทธาทักษิณนั้น อีกสิบๆ ปีข้างหน้าหรืออาจจะชั่วชีวิตคนๆ หนึ่งนั้นคงจะเลิกยาก ตราบใดที่ยังยังไม่มีใครหา “ผลงาน” ที่ดีกว่าและเด่นกว่ามา “กลบ” ผลงานทักษิณได้ และตราบใดที่ยังมีการใช้วิธีการลงทุนเดิมๆ และถูกๆ มาหากินกับคนหูเบาคือสร้างวาทะกรรมเกลียดชังเช่นนี้อยู่
คนที่เคยเกลียดอยู่อย่างไรก็ยังคงเกลียดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง อีกด้านหนึ่ง ยิ่งอีกฝ่ายหนึ่งเกลียดมากเท่าไรก็ยิ่งรักและศรัทธาแถมเพิ่มความสงสารขึ้นมาอีกเป็นทวี นี่คือความเป็นไปของสังคมไทยในระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมา ใช่...สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้นเราได้สูญเสียอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างไปมากมายมหาศาล ไม่วาจะเป็นด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่สำคัญยิ่งก็คือการกลมเกลียวกันที่ไลเรียงกันไปตั้งแต่สถาบันเล็กๆ ครอบครัว เพื่อนฝูง ที่ทำงาน ฯลฯ ไปจนถึงระดับประเทศ
อีกนานครับ....คงอีกนาน
….วังวนการเมืองไทย ต้องรออีกกี่ชั่วอายุคนถึงจะสงบ??....
เป็นที่เข้าใจดีว่า....คนเรานั้นลงจะเกลียดหรือจะรักใครสักคนมันยากจะห้าม โดยเฉพาะการเกลียดชังที่ไร้น้ำหนักและไร้หลักฐานมารองรับนั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ทั้งน่าสงสารและน่ารังเกียจไปพร้อมๆ กัน น่าสงสาร...ที่เขาช่างเป็นคนหูเบา เชื่อง่าย ขาดการไตร่ตรอง พอมีคนเขามาเป่าหูว่า อ้ายนั่นโกง อีนี่คอร์รัปชั่น ก็ปักใจเชื่อจนหมดใจ ทั้งๆ ที่หลักฐานยังไม่ปรากฏให้เห็นความจริงยังไม่กระจ่าง แต่อีกด้านหนึ่ง หลักฐานการไม่โกง การทำคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของเขามีมากมายให้สัมผัสกลับถูกมองข้ามอย่างนี้แล้วจะไม่ให้สงสารได้อย่างไร? และที่น่ารังเกียจก็คือ เผอิญคนประเภทเชื่อง่ายหูเบาอย่างนี้มีเยอะพอสมควร(แต่ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่)ในระดับที่สามารถนำความเกลียดชังที่ขาดการไตร่ตรองของตัวเองตรงนั้นมาสร้างความปั่นป่วน หายนะ ก้าวล่วงกฏกติกาบ้านเมืองได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้
หลายคนเริ่มกังวลแล้วว่า อีกนานเท่าไหร่หนอเราจึงจะได้เห็นบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงบ(กว่าที่เป็นอยู่)หรือใกล้ปรกติ ความเป็นไปได้ที่บ้านเมืองเราจะเข้าสู่ภาวะปรกติในระยะเวลาอีกสามสี่ปีข้างหน้าคงจะเป็นไปน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับดีกรีของการเกลียดชัง(ทักษิณ)ว่ายังวิ่งพล่านในสายเลือดของคนอีกกลุ่มหนึ่งมากน้อยแค่ไหน ส่วนเรื่องที่ให้คนเลิกรักและเลิกศรัทธาทักษิณนั้น อีกสิบๆ ปีข้างหน้าหรืออาจจะชั่วชีวิตคนๆ หนึ่งนั้นคงจะเลิกยาก ตราบใดที่ยังยังไม่มีใครหา “ผลงาน” ที่ดีกว่าและเด่นกว่ามา “กลบ” ผลงานทักษิณได้ และตราบใดที่ยังมีการใช้วิธีการลงทุนเดิมๆ และถูกๆ มาหากินกับคนหูเบาคือสร้างวาทะกรรมเกลียดชังเช่นนี้อยู่
คนที่เคยเกลียดอยู่อย่างไรก็ยังคงเกลียดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง อีกด้านหนึ่ง ยิ่งอีกฝ่ายหนึ่งเกลียดมากเท่าไรก็ยิ่งรักและศรัทธาแถมเพิ่มความสงสารขึ้นมาอีกเป็นทวี นี่คือความเป็นไปของสังคมไทยในระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมา ใช่...สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้นเราได้สูญเสียอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างไปมากมายมหาศาล ไม่วาจะเป็นด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่สำคัญยิ่งก็คือการกลมเกลียวกันที่ไลเรียงกันไปตั้งแต่สถาบันเล็กๆ ครอบครัว เพื่อนฝูง ที่ทำงาน ฯลฯ ไปจนถึงระดับประเทศ
อีกนานครับ....คงอีกนาน