ก่อนอื่นต้องขออภัยพี่น้องพันทิปด้วยครับ ที่ผมได้ตั้งกระทู้รีวิวแล้วแต่ไม่ได้เขียนต่อเพราะงานยุ่งจริงๆ วันนี้ขอมาแก้ตัวใหม่ครับ
ขอเริ่มอย่างนี้นะครับ.....ผมเป็นหนึ่งในมนุษย์เงินเดือน(น้อย)ที่ชอบการท่องเที่ยวซะเหลือเกิน แต่เที่ยวแต่ละทีก็มีเรื่องให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆต้องคิดกันประจำ เป็นต้นว่า งบประมาณ, สถานที่เที่ยวที่สนใจ, ระยะเวลาที่จะเที่ยว และที่สำคัญวันลาพักร้อนครับ อันนี้สำคัญมาก555
แล้วทริปเช็คอินคันไซคราวนี้ มันเกิดมาจากสายการบินหางแดงออกโปรเที่ยวญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนมาครับ ในราคาในฝันเลย มันเกินห้ามใจจริงๆ แแแแแแแต่.....ด้วยปีนี้ก็มีทริปหัวปีท้ายปีลงตารางไว้แล้วน่ะสิ เลยคิดไว้ว่าถ้าจะไปญี่ปุ่นคราวนี้คงไปแป๊บเดียวสัก4-5วันก็พอ ซึ่งก็น่าจะพอลางานได้และงบประมาณก็ต้องคุมให้ดีๆเลยๆแหละ เพราะไม่งั้นทริปปลายปีกินแกลบแน่ๆ ผมก็เลยลงเอยกับการบินไปโอซาก้าช่วงปลาย มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยค่าตั๋วไปกลับเพียง6360บาท (ตั๋ว6160 บวกแชร์ค่าน้ำหนักกระเป๋าขากลับกับสมาชิกที่ไปด้วยอีกคนละ 200บาท) โดยได้ศึกษาสภาพอากาศญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนหน้าพายุเข้าแบบนี้อย่างละเอียด เพราะคิดว่าถ้าแพลนไม่ดี ไปเที่ยวoutdoorในวันฝนตกนี่กล่อยแน่ๆ
แต่ด้วยสภาพอากาศช่วงนี้ก็กำหนดทริปยากจริงๆครับ เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์เลย จนมานิ่งเมื่อสัปดาห์สุดท้ายก่อนจะบิน แพลนของผมเลยมีประมาณนี้ครับ
วันแรก ถึงสนามบินคันไซ ตามกำหนดการคือ 21.40น.(เวลาญี่ปุ่น) นั่งรถไฟเข้าที่พักย่าน dobutsumae
วันที่สอง เที่ยวในโอซาก้า ด้วยOsaka amazing pass
วันที่สาม เที่ยวเกียวโต
วันที่สี่ เที่ยวฮิเมจิ และ โกเบ
วันที่ห้า เที่ยวนารา กลับมาช้อปปิ้งโอซาก้า
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายขอสรุปไว้ตอนท้ายสุดนะ
วันแรก (วันแรกไม่มีรูปนะครับเพราะกระหืดกระหอบมาก เรื่องราวเป็นยังไงลองติดตามดูครับ555)
จากที่ได้อ่านรีวิวการนั่งหางแดงมาลงโอซาก้าก็พอรู้แล้วว่าต่อให้เวลาใหม่ที่หางแดงได้ปรับคือถึงโอซาก้า21.40น.นั้น ก็ต้องรีบพอสมควรเพื่อให้ทันรถไฟเข้าเมืองแบบชิลๆ และแล้วหางแดงที่ผมนั่งก็take offจากดอนเมืองแบบสวยๆในเวลาใกล้เคียงกับboarding pass แอบยิ้มมุมปากว่าลงโอซาก้าเดินแบบสวยๆเข้าเมืองแน่เรา555 แต่พอตอนจะlandingเท่านั้นแหละครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านั้นมีฝนตกหนักหรือtraffic jamที่สนามบินคันไซกันแน่ เพราะเครื่องที่นั่งบินวนไปมาอยู่20นาทีได้ครับ พอlandingแล้วผมและคณะก็วิ่ง100เมตรไปที่ตม.เลย (ตั้งใจที่จะไม่โหลดกระเป๋าขาไป) คิวต่อแถวตม.ก็ยาวเอาเรื่องทีเดียวแถม จนท.ตม.ตอนดึกยังไม่แค่4คนเอง สนุกล่ะทีนี้ ตอนนั้นเวลา 22.30น.ซึ่งคิดว่ามีโอกาสที่จะไม่ทันรถไฟรอบสุดท้ายเหมือนกัน ระหว่างที่รอไปลุ้นไป ก็หาวิธีเข้าเมืองด้วยวิธีอื่นด้วยครับ ที่จริงแล้วถ้าใครไม่ทันจริงๆก็นั่งลิมูซีนบัสเข้าเมืองได้เลย ถ้าจำไม่ผิดมีจอดป้ายที่อูเมดะด้วยครับ(ป้ายอื่นจำไม่ได้) แต่ด้วยที่ผมจองรร.ไว้แถวสถานีdobutsumae จึงไม่อยากนั่งบัส เพราะต้องต่อรถจากอูเมดะไปย่านdobutsumaeซึ่งก็คงเป็นแท็กซี่ เพราะรถไฟคงปิดแล้ว ทำไงได้ล่ะครับความที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือนน้อยก็ต้องคิดหาทางประหยัดสิครับ รถไฟnankaiเข้าเมือง920เยน แต่ถ้านั่งรถบัสประมาณ1500เยน+ค่าแท็กซี่อีก (อันนี้ถ้าใครไม่คิดนอนสนามบิน ควรจองรร.แถวป้ายรถบัสจะดีที่สุดครับ) กลับมาที่สถานการณ์จริงของผม ปรากฏว่า จนท.ตม.ทำงานเร็วครับ ตรวจเสร็จผมรีบคว้าพาสปอร์ตออกมาเลย ผมผ่าน ตม.ออกมาตอน23.10 แต่ก็ยังต้องรีบไปสถานีรถไฟอยู่ดี ท่องไว้รถไฟรอบสุดท้าย23.29น. จากตม.เดินไปถึงสถานีรถไฟnankaiใช้เวลา10นาทีได้ครับ ไปถึงก็ซื้อตั๋วรถไฟที่ตู้เลยครับ ได้รอบก่อนสุดท้ายครับ ถอนหายใจกันยาวๆ
แต่จะนั่งรถไฟ อ้าววววพาสปอร์ตผมหายไปไหนเนี่ย ผมและคณะก็เดินออกจากรถไฟมาก่อน แล้วผมก็รีบวิ่งไปหาจนท.สถานีรถไฟ บริเวณใกล้ตู้ขายตั๋วอีกครั้ง แล้วก็เป็นโชคดีของผมที่ทางจนท.เก็บพาสปอร์ตไว้ให้ครับ ผมนี่ยกมือไหว้เลยครับ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถไฟพร้อมกับคณะแบบลืมเหนื่อยไปเลย
ผมมาถึงสถานีshin imamiyaแล้วเดินไปรร.แถวสถานีdobutsumaeครับใช้เวลาเกือบ20นาที แถวนั้นมีfamilymartพอฝากท้องไว้ได้ครับ แล้วคืนแรกก็หลับไปด้วยความเหนื่อย
วันที่สอง
จากที่ดูสภาพอากาศมา วันนี้วางแผนว่าจะเที่ยวในโอซาก้า โดยใช้Osaka amazing passแบบ1วันที่ซื้อมาจากไทย
เพราะบัตรนี้สามารถเข้าสถานที่ต่างๆได้เยอะแยะมากมายตามที่หลายๆรีวิวบอกไว้ครับ ส่วนตัวผมตั้งใจจะไปปราสาทโอซาก้าช่วงเช้า พอสายๆก็จะไปtempozanไปนั่งชิงช้า และนั่งเรือsanta maria ส่วนตอนบ่ายถึงเย็นจะแวะชิมแวะช้อปที่ย่านนัมบะ แล้วหกโมงเย็นจะไปดูวิวที่Umeda sky building
ดังนั้นตอนเช้าผมก็ตรงไปที่ปราสาทโอซาก้าเลย กว่าจะเดินเข้าไปแล้วแวะถ่ายรูประหว่างทางจนถึงทางเข้าปราสาทก็เกือบ9.00น.
ซึ่งปราสาทเปิดพอดี แต่แล้วด้วยความเบลอ(สืบเนื่องจากวันแรก) พวกเราใช้บัตรผิดครับ คือหยิบkansai through passแบบ3วัน
มาใช้แทนosaka amazing passเฉยเลย เอาไงล่ะทีนี้ มีทางเดียวคือต้องเปลี่ยนแผนครับ เพราะเค้านับเป็นวันแรกที่ใช้บัตรไปแล้วครับ แต่ยังโชคดีตรงที่kansai through pass ไม่จำเป็นต้องใช้ติดต่อกัน3วันก็ได้
เลยกลายเป็นว่าต้องยกแผนของวันที่สี่ที่ไปฮิเมจิ โกเบ มาวันนี้แทน เพราะเป็นrouteเดียวที่เหมาะสมกับเวลา ณ ตอนนั้น พวกเรามุ่งตรงไปสถานีumeda เพื่อทานข้าวแล้วขึ้นรถไฟไปฮิเมจิ ข้าวมื้อนี้เลยทานกันแบบง่ายๆเร็วๆครับ ร้านที่คุณก็รู้ว่าร้านอะไร
การขึ้นรถไฟผมใช้ถามจนท.สถานีเอาเลยครับ ง่ายดี บอกจนท.ไปเลยว่าเราจะไปไหน เดี๋ยวพี่เค้าจะบอกเราเองว่าต้องไปรอที่ชานชลาเบอร์อะไร
นั่งรถไฟจากอุเมดะไปฮิเมจิใช้เวลานานเหมือนกันครับประมาณ 1.40นาที นั่งไปหลับไป ตื่นมาก็ดูวิวเพลินๆครับเดี๋ยวก็ถึง เพราะเป็นรถไฟวิ่งเรียบริมเกาะครับ เป็นวิวทะเลยาวมาก
พอมาถึงฮิเมจิก็พุ่งเข้าห้องน้ำก่อนเลยครับ นั่งมานาน แถมไม่มีห้องน้ำให้เข้าบนรถไฟด้วย จากนั้นจะมีป้ายบอกชัดเจนครับ ว่าปราสาทฮิเมจิเดินไปทางไหน
คิวแท๊กซี่หน้าสถานีฮิเมจิครับ จอดเป็นระเบียบเชียว
ระหว่างทางเดินไปนั้นก็มีร้านอาหารร้านไอติมตลอดทางเลย ผมได้แวะซื้อไอติมเป็นรสชาเขียวและข้าวคั่ว หอมอร่อยมากครับ ไม่หวานดี
ผมเดินผ่านร้านอุด้ง พ่อครัวกำลังนวดแป้งทำเส้นเองเลยน่าทานมาก แต่เสียดายที่ท้องแน่นตึงแล้ว เดินจากสถานีราวๆ15นาทีก็ถึงปากทางเข้าปราสาทครับ
ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก ซึ่งค่าเข้าชมก็อลังเช่นกันครับ1000เยน
มาชมบรรยากาศของปราสาทฮิเมจิกันครับ
ซึ่งโดยรวมถือว่าคุ้มค่ามากครับถ้าใครจะมาโกเบแล้วมีเวลา ลองนั่งรถไฟเลยมาฮิเมจิกันครับ
จากนั้นขากลับ ก็นั่งรถไฟย้อนไปลงโกเบ แต่ก่อนถึงโกเบ ก็แวะลงที่สถานีMaikoเพื่อชมวิวคู่กับสะพานAkashi Kaikyoกันก่อน เป็นสะพานแขวนที่ยาวมากครับ ผมให้เวลากับที่นี่1ชม.
จากนั้นก็นั่งรถไฟไปโกเบ โดยลงที่สถานีsannomiya แถวๆนั้นมีห้างร้านเยอะมากๆครับ
ถึงตอนนี้ผมเริ่มแล้ว เลยฝากท้องมื้อเย็นที่ร้านsisseriyaครับเป็นอาหารอิตาเลียนสไตล์ญี่ปุ่น ราคาไม่แพงเลยครับ แต่จานเล็กหน่อย ก็นับว่าดีงามเพราะได้สั่งหลายเมนูครับ
ฃ
ั้
มื้อนี้ตกคนละ 300บาทเท่านั้น อิ่มกำลังดี
พอทานกันเสร็จก็แวะเดินย่านตลาดmotomachi ในความเห็นผมว่าตลาดนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไร ทั้งเรื่องสินค้าและราคาครับ
จากตลาดmotomachiเดินไปอีกนิดขอแวะไปย่านไชน่าทาวน์ด้วยครับ
แวะชิมกันสักหน่อยนึง
หมั่นโถวไส้หมูสามชั้นพะโล้ พอใช้ได้ครับ
ส่วนเป็ดปักกิ่งนี่บอกเลยว่าไม่ต้องไปลองครับ ตั้ง500เยน แต่หนังเป็ดเหนียวหนืด ไม่หอมเท่ากินที่ไทยด้วย
โดยรวมย่านไชน่าทาวน์ที่โกเบจะเป็นร้านของกินที่ขายอาหารซ้ำกันครับ เช่น เป็ดปักกิ่ง ซาลาเปา บะจ่าง ของทอด แต่มีร้านขายkobe beefซึ่งผมไม่ได้ลองครับ
จากนั้นผมก็นั่งรถไฟไปที่merikan park จากรถไฟแล้วต้องเดินไปอีกประมาณ30นาทีเลย ค่อนข้างไกล ตรงนั้นจะเป็นริมอ่าวโกเบ เพื่อดูวิวแสงสีของKobe towerยามค่ำคืน (ที่จริงตรงmerikan parkมีศูนย์อาหารชื่อ Mosaic ที่ประกอบไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่หลายร้านอยู่ภายใน ใครที่จะมาก็แวะมานั่งกินดื่ม ชมวิวKobe harbourได้ชิลๆล่ะครับงานนี้)
ได้เวลาสัก2ทุ่มผมก็กลับโอซาก้าเก็บแรงไว้ลุยพรุ่งนี้ครับ
วันที่3,4,5เดี๋ยวตามแน่นอนครับ
[CR] เช็คอินคันไซ สไตล์มนุษย์เงินเดือน(น้อย) งบหมื่นกว่าบาทก็สนุกแบบครบเครื่อง
ขอเริ่มอย่างนี้นะครับ.....ผมเป็นหนึ่งในมนุษย์เงินเดือน(น้อย)ที่ชอบการท่องเที่ยวซะเหลือเกิน แต่เที่ยวแต่ละทีก็มีเรื่องให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆต้องคิดกันประจำ เป็นต้นว่า งบประมาณ, สถานที่เที่ยวที่สนใจ, ระยะเวลาที่จะเที่ยว และที่สำคัญวันลาพักร้อนครับ อันนี้สำคัญมาก555
แล้วทริปเช็คอินคันไซคราวนี้ มันเกิดมาจากสายการบินหางแดงออกโปรเที่ยวญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนมาครับ ในราคาในฝันเลย มันเกินห้ามใจจริงๆ แแแแแแแต่.....ด้วยปีนี้ก็มีทริปหัวปีท้ายปีลงตารางไว้แล้วน่ะสิ เลยคิดไว้ว่าถ้าจะไปญี่ปุ่นคราวนี้คงไปแป๊บเดียวสัก4-5วันก็พอ ซึ่งก็น่าจะพอลางานได้และงบประมาณก็ต้องคุมให้ดีๆเลยๆแหละ เพราะไม่งั้นทริปปลายปีกินแกลบแน่ๆ ผมก็เลยลงเอยกับการบินไปโอซาก้าช่วงปลาย มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยค่าตั๋วไปกลับเพียง6360บาท (ตั๋ว6160 บวกแชร์ค่าน้ำหนักกระเป๋าขากลับกับสมาชิกที่ไปด้วยอีกคนละ 200บาท) โดยได้ศึกษาสภาพอากาศญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนหน้าพายุเข้าแบบนี้อย่างละเอียด เพราะคิดว่าถ้าแพลนไม่ดี ไปเที่ยวoutdoorในวันฝนตกนี่กล่อยแน่ๆ
แต่ด้วยสภาพอากาศช่วงนี้ก็กำหนดทริปยากจริงๆครับ เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์เลย จนมานิ่งเมื่อสัปดาห์สุดท้ายก่อนจะบิน แพลนของผมเลยมีประมาณนี้ครับ
วันแรก ถึงสนามบินคันไซ ตามกำหนดการคือ 21.40น.(เวลาญี่ปุ่น) นั่งรถไฟเข้าที่พักย่าน dobutsumae
วันที่สอง เที่ยวในโอซาก้า ด้วยOsaka amazing pass
วันที่สาม เที่ยวเกียวโต
วันที่สี่ เที่ยวฮิเมจิ และ โกเบ
วันที่ห้า เที่ยวนารา กลับมาช้อปปิ้งโอซาก้า
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายขอสรุปไว้ตอนท้ายสุดนะ
วันแรก (วันแรกไม่มีรูปนะครับเพราะกระหืดกระหอบมาก เรื่องราวเป็นยังไงลองติดตามดูครับ555)
จากที่ได้อ่านรีวิวการนั่งหางแดงมาลงโอซาก้าก็พอรู้แล้วว่าต่อให้เวลาใหม่ที่หางแดงได้ปรับคือถึงโอซาก้า21.40น.นั้น ก็ต้องรีบพอสมควรเพื่อให้ทันรถไฟเข้าเมืองแบบชิลๆ และแล้วหางแดงที่ผมนั่งก็take offจากดอนเมืองแบบสวยๆในเวลาใกล้เคียงกับboarding pass แอบยิ้มมุมปากว่าลงโอซาก้าเดินแบบสวยๆเข้าเมืองแน่เรา555 แต่พอตอนจะlandingเท่านั้นแหละครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านั้นมีฝนตกหนักหรือtraffic jamที่สนามบินคันไซกันแน่ เพราะเครื่องที่นั่งบินวนไปมาอยู่20นาทีได้ครับ พอlandingแล้วผมและคณะก็วิ่ง100เมตรไปที่ตม.เลย (ตั้งใจที่จะไม่โหลดกระเป๋าขาไป) คิวต่อแถวตม.ก็ยาวเอาเรื่องทีเดียวแถม จนท.ตม.ตอนดึกยังไม่แค่4คนเอง สนุกล่ะทีนี้ ตอนนั้นเวลา 22.30น.ซึ่งคิดว่ามีโอกาสที่จะไม่ทันรถไฟรอบสุดท้ายเหมือนกัน ระหว่างที่รอไปลุ้นไป ก็หาวิธีเข้าเมืองด้วยวิธีอื่นด้วยครับ ที่จริงแล้วถ้าใครไม่ทันจริงๆก็นั่งลิมูซีนบัสเข้าเมืองได้เลย ถ้าจำไม่ผิดมีจอดป้ายที่อูเมดะด้วยครับ(ป้ายอื่นจำไม่ได้) แต่ด้วยที่ผมจองรร.ไว้แถวสถานีdobutsumae จึงไม่อยากนั่งบัส เพราะต้องต่อรถจากอูเมดะไปย่านdobutsumaeซึ่งก็คงเป็นแท็กซี่ เพราะรถไฟคงปิดแล้ว ทำไงได้ล่ะครับความที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือนน้อยก็ต้องคิดหาทางประหยัดสิครับ รถไฟnankaiเข้าเมือง920เยน แต่ถ้านั่งรถบัสประมาณ1500เยน+ค่าแท็กซี่อีก (อันนี้ถ้าใครไม่คิดนอนสนามบิน ควรจองรร.แถวป้ายรถบัสจะดีที่สุดครับ) กลับมาที่สถานการณ์จริงของผม ปรากฏว่า จนท.ตม.ทำงานเร็วครับ ตรวจเสร็จผมรีบคว้าพาสปอร์ตออกมาเลย ผมผ่าน ตม.ออกมาตอน23.10 แต่ก็ยังต้องรีบไปสถานีรถไฟอยู่ดี ท่องไว้รถไฟรอบสุดท้าย23.29น. จากตม.เดินไปถึงสถานีรถไฟnankaiใช้เวลา10นาทีได้ครับ ไปถึงก็ซื้อตั๋วรถไฟที่ตู้เลยครับ ได้รอบก่อนสุดท้ายครับ ถอนหายใจกันยาวๆ
แต่จะนั่งรถไฟ อ้าววววพาสปอร์ตผมหายไปไหนเนี่ย ผมและคณะก็เดินออกจากรถไฟมาก่อน แล้วผมก็รีบวิ่งไปหาจนท.สถานีรถไฟ บริเวณใกล้ตู้ขายตั๋วอีกครั้ง แล้วก็เป็นโชคดีของผมที่ทางจนท.เก็บพาสปอร์ตไว้ให้ครับ ผมนี่ยกมือไหว้เลยครับ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถไฟพร้อมกับคณะแบบลืมเหนื่อยไปเลย
ผมมาถึงสถานีshin imamiyaแล้วเดินไปรร.แถวสถานีdobutsumaeครับใช้เวลาเกือบ20นาที แถวนั้นมีfamilymartพอฝากท้องไว้ได้ครับ แล้วคืนแรกก็หลับไปด้วยความเหนื่อย
วันที่สอง
จากที่ดูสภาพอากาศมา วันนี้วางแผนว่าจะเที่ยวในโอซาก้า โดยใช้Osaka amazing passแบบ1วันที่ซื้อมาจากไทย
เพราะบัตรนี้สามารถเข้าสถานที่ต่างๆได้เยอะแยะมากมายตามที่หลายๆรีวิวบอกไว้ครับ ส่วนตัวผมตั้งใจจะไปปราสาทโอซาก้าช่วงเช้า พอสายๆก็จะไปtempozanไปนั่งชิงช้า และนั่งเรือsanta maria ส่วนตอนบ่ายถึงเย็นจะแวะชิมแวะช้อปที่ย่านนัมบะ แล้วหกโมงเย็นจะไปดูวิวที่Umeda sky building
ดังนั้นตอนเช้าผมก็ตรงไปที่ปราสาทโอซาก้าเลย กว่าจะเดินเข้าไปแล้วแวะถ่ายรูประหว่างทางจนถึงทางเข้าปราสาทก็เกือบ9.00น.
ซึ่งปราสาทเปิดพอดี แต่แล้วด้วยความเบลอ(สืบเนื่องจากวันแรก) พวกเราใช้บัตรผิดครับ คือหยิบkansai through passแบบ3วัน
มาใช้แทนosaka amazing passเฉยเลย เอาไงล่ะทีนี้ มีทางเดียวคือต้องเปลี่ยนแผนครับ เพราะเค้านับเป็นวันแรกที่ใช้บัตรไปแล้วครับ แต่ยังโชคดีตรงที่kansai through pass ไม่จำเป็นต้องใช้ติดต่อกัน3วันก็ได้
เลยกลายเป็นว่าต้องยกแผนของวันที่สี่ที่ไปฮิเมจิ โกเบ มาวันนี้แทน เพราะเป็นrouteเดียวที่เหมาะสมกับเวลา ณ ตอนนั้น พวกเรามุ่งตรงไปสถานีumeda เพื่อทานข้าวแล้วขึ้นรถไฟไปฮิเมจิ ข้าวมื้อนี้เลยทานกันแบบง่ายๆเร็วๆครับ ร้านที่คุณก็รู้ว่าร้านอะไร
การขึ้นรถไฟผมใช้ถามจนท.สถานีเอาเลยครับ ง่ายดี บอกจนท.ไปเลยว่าเราจะไปไหน เดี๋ยวพี่เค้าจะบอกเราเองว่าต้องไปรอที่ชานชลาเบอร์อะไร
นั่งรถไฟจากอุเมดะไปฮิเมจิใช้เวลานานเหมือนกันครับประมาณ 1.40นาที นั่งไปหลับไป ตื่นมาก็ดูวิวเพลินๆครับเดี๋ยวก็ถึง เพราะเป็นรถไฟวิ่งเรียบริมเกาะครับ เป็นวิวทะเลยาวมาก
พอมาถึงฮิเมจิก็พุ่งเข้าห้องน้ำก่อนเลยครับ นั่งมานาน แถมไม่มีห้องน้ำให้เข้าบนรถไฟด้วย จากนั้นจะมีป้ายบอกชัดเจนครับ ว่าปราสาทฮิเมจิเดินไปทางไหน
คิวแท๊กซี่หน้าสถานีฮิเมจิครับ จอดเป็นระเบียบเชียว
ระหว่างทางเดินไปนั้นก็มีร้านอาหารร้านไอติมตลอดทางเลย ผมได้แวะซื้อไอติมเป็นรสชาเขียวและข้าวคั่ว หอมอร่อยมากครับ ไม่หวานดี
ผมเดินผ่านร้านอุด้ง พ่อครัวกำลังนวดแป้งทำเส้นเองเลยน่าทานมาก แต่เสียดายที่ท้องแน่นตึงแล้ว เดินจากสถานีราวๆ15นาทีก็ถึงปากทางเข้าปราสาทครับ
ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก ซึ่งค่าเข้าชมก็อลังเช่นกันครับ1000เยน
มาชมบรรยากาศของปราสาทฮิเมจิกันครับ
ซึ่งโดยรวมถือว่าคุ้มค่ามากครับถ้าใครจะมาโกเบแล้วมีเวลา ลองนั่งรถไฟเลยมาฮิเมจิกันครับ
จากนั้นขากลับ ก็นั่งรถไฟย้อนไปลงโกเบ แต่ก่อนถึงโกเบ ก็แวะลงที่สถานีMaikoเพื่อชมวิวคู่กับสะพานAkashi Kaikyoกันก่อน เป็นสะพานแขวนที่ยาวมากครับ ผมให้เวลากับที่นี่1ชม.
จากนั้นก็นั่งรถไฟไปโกเบ โดยลงที่สถานีsannomiya แถวๆนั้นมีห้างร้านเยอะมากๆครับ
ถึงตอนนี้ผมเริ่มแล้ว เลยฝากท้องมื้อเย็นที่ร้านsisseriyaครับเป็นอาหารอิตาเลียนสไตล์ญี่ปุ่น ราคาไม่แพงเลยครับ แต่จานเล็กหน่อย ก็นับว่าดีงามเพราะได้สั่งหลายเมนูครับ
ฃ
ั้
มื้อนี้ตกคนละ 300บาทเท่านั้น อิ่มกำลังดี
พอทานกันเสร็จก็แวะเดินย่านตลาดmotomachi ในความเห็นผมว่าตลาดนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไร ทั้งเรื่องสินค้าและราคาครับ
จากตลาดmotomachiเดินไปอีกนิดขอแวะไปย่านไชน่าทาวน์ด้วยครับ
แวะชิมกันสักหน่อยนึง
หมั่นโถวไส้หมูสามชั้นพะโล้ พอใช้ได้ครับ
ส่วนเป็ดปักกิ่งนี่บอกเลยว่าไม่ต้องไปลองครับ ตั้ง500เยน แต่หนังเป็ดเหนียวหนืด ไม่หอมเท่ากินที่ไทยด้วย
โดยรวมย่านไชน่าทาวน์ที่โกเบจะเป็นร้านของกินที่ขายอาหารซ้ำกันครับ เช่น เป็ดปักกิ่ง ซาลาเปา บะจ่าง ของทอด แต่มีร้านขายkobe beefซึ่งผมไม่ได้ลองครับ
จากนั้นผมก็นั่งรถไฟไปที่merikan park จากรถไฟแล้วต้องเดินไปอีกประมาณ30นาทีเลย ค่อนข้างไกล ตรงนั้นจะเป็นริมอ่าวโกเบ เพื่อดูวิวแสงสีของKobe towerยามค่ำคืน (ที่จริงตรงmerikan parkมีศูนย์อาหารชื่อ Mosaic ที่ประกอบไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่หลายร้านอยู่ภายใน ใครที่จะมาก็แวะมานั่งกินดื่ม ชมวิวKobe harbourได้ชิลๆล่ะครับงานนี้)
ได้เวลาสัก2ทุ่มผมก็กลับโอซาก้าเก็บแรงไว้ลุยพรุ่งนี้ครับ
วันที่3,4,5เดี๋ยวตามแน่นอนครับ