เล่าให้ฟัง วันหนึ่งผมเขียนกระทู้ในนี้แหละ เพื่อนมาอ่านเจอ ก็ติงผมว่า “คำว่า
“รสชาด”ที่เอ็งเขียนมันไม่ถูก ที่ถูกมันต้องเขียนว่า “
รสชาติ”นะ ถึงจะใช่” ผมบลั๊ฟมันว่า “เอ็งอย่ามาเถียงข้านะเว้ย ข้าน่ะจบเอกภาษาไทยนะ ให้มันรู้ซะมั่ง ชิส์” เพื่อนมันก็ย้อนขึ้นมาว่า “เออ..ถึงเอ็งจะจบภาษาไทย แต่ข้าอยู่ราชบัณฑิตนะ มีไรมั๊ย ??” ผมเลยเงียบกริ๊บในทันที..ไม่เถียงอีกต่อไป !
อะไรที่เรียกว่า “รับของโจร” ธัมมชโยรับงินบริจาค ส่วนสุวิทย์รับซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนจากชาวบ้าน ??
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ผมสงสัยยิ่งนัก มันต่างกันตรงไหน ระหว่างคดีธัมมชโย ที่รับเงินบริจาคจากนายศุภชัยจนเป็นข่าวใหญ่โต สุดท้ายกลายกลับมาเป็น “รับของโจร” จนดีเอสไอระดมกำลังเข้าล้อมวัดหมายจะเทค โอเว่อร์พระธัมมชโยให้ได้นั้น กับสุวิทย์ อ้อน้อย ที่รับซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ชาวบ้านบุกรุกโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะมีเจ้าหน้าที่คนใดเรียกว่า “นี่คือการรับของโจร”..หรือเปล่า ??
สมมติว่า “นายศุภชัยเป็นโจร ไปปล้นทรัพย์แล้วนำมามอบให้ธัมมชโย ธัมมชโยจึงกลายเป็นผู้รับของโจร มีความผิดร่วมด้วย มีโทษจำคุก แถมเจอพ่วงข้อหาฟอกเงินอีกต่างหาก” กับเรื่องที่ชาวบ้านแถวนั้น ไปบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติมันผิดกฎหมายป่าไม้ จึงเป็นเสมือนโจร วันหนึ่งสุวิทย์ อ้อน้อย ก็ไปกว้านซื้อที่ดินเหล่านั้นจากชาวบ้าน เป็นจำนวน 300 ไร่(ที่จริงน่าจะมากกว่านั้น) ถามว่า “กรณีนี้เจ้าหน้าที่จะถือว่า สุวิทย์อ้อน้อยรับ(ซื้อ)ของโจรหรือไม่”..มีความผิดไหมครับ ??
มาตรา 357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ..ป.อาญา
ถ้าดูตามรูปการ ธัมมชโยกับสุวิทย์ ไม่มีอะไรต่างกันเลยใช่ไหมครับ ?? เพราะต่างก็รับเอาทรัพย์ที่ผิดกฎหมายมาไว้ครอบครอง ไม่ว่าจะได้มาโดยประการใดๆ ก็ถือว่ามีความผิด ต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งปล้ำทั้งปรับ..เอ๊ยทั้งจำทั้งปรับ..ยังไงก็ไม่รอด
แต่สุวิทย์ บอกว่าที่ดินเป็นของมูลนิธิธรรมอิสระเป็นผู้ซื้อไว้ แต่โดยพฤตินัยที่เห็นๆกัน มันก็เป็นของสุวิทย์นั่นแหละ เพราะเห็นภาพสุวิทย์ปรากฏอยู่ในป่าสงวนแห่งนั้นต่างกรรมต่างวาระ แถมสร้างอาคารใหญ่โต พร้อมบ้านหรูอีกด้วย มันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าสุวิทย์มีอำนาจเหนือมูลนิธิฯนี้ ส่วนมูลนิธิเป็นแค่“ตัวแทนอำพราง”ลูกกระจ๊อก เท่านั้นหรืออาจจะเรียกว่าเป็น “นอมินี”..ตัวจริงสุวิทย์ !
กรณีนี้ ถ้าสุวิทย์ไม่ผิด ย่อมจะเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นๆเอาเยี่ยงอย่างสุวิทย์ได้ ทุกคนสามารถมีข้ออ้างเช่นเดียวกับสุวิทย์ กรณีครอบครองป่าเพราะต้องการปลูกป่าเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน และผู้ที่กำลังครอบครองอยู่ในขณะนี้ก็อาจถือว่าไม่มีความผิดไปด้วย เพราะทำเพื่อชาติเหมือนกัน..ผมก็เอาด้วย !!
ชาวบ้านต้องคอยติดตามดูว่า กรณีของสุวิทย์ผลจะออกมาเป็นอย่างไร แม้เราจะค่อนข้างคาดเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว เพราะเราอยู่เมืองไทยที่นักกฎหมายต่างชาญฉลาดปราดเปรื่องเลื่องลือในสามโลก รู้จักตีความกฎหมายให้ไปทางหนึ่งทางใดได้อยู่แล้ว ..เก่งกว่าใคร
อีกอย่าง เราต้องไม่ลืมสองตายาย ที่ไปหาเก็บของป่าขายเพื่อประทังชีวิตจนมีโทษจำคุกเป็นเวลาหลายปี และคุณยายอีกท่านหนึ่งที่ถูกจับเพราะขายแกงป่า 2 ถุงคนนั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สะเทือนใจของคนทั่วไปที่ต้องทำผิดกฎหมาย เพราะตนเองอาจไม่รู้กฎหมายและเพื่อปากท้องเท่านั้น กับคนๆหนึ่งที่ไปกว้านซื้อที่ป่าสงวนแห่งชาติจำนวนมากเอามาเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองอย่างผิดกฏหมาย..จะได้เห็นชัดมากขึ้น !!!
...อะไรเล่า ที่ท่านเรียกว่า “รับของโจร”??? !...
อะไรที่เรียกว่า “รับของโจร” ธัมมชโยรับงินบริจาค ส่วนสุวิทย์รับซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนจากชาวบ้าน ??
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ผมสงสัยยิ่งนัก มันต่างกันตรงไหน ระหว่างคดีธัมมชโย ที่รับเงินบริจาคจากนายศุภชัยจนเป็นข่าวใหญ่โต สุดท้ายกลายกลับมาเป็น “รับของโจร” จนดีเอสไอระดมกำลังเข้าล้อมวัดหมายจะเทค โอเว่อร์พระธัมมชโยให้ได้นั้น กับสุวิทย์ อ้อน้อย ที่รับซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ชาวบ้านบุกรุกโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะมีเจ้าหน้าที่คนใดเรียกว่า “นี่คือการรับของโจร”..หรือเปล่า ??
สมมติว่า “นายศุภชัยเป็นโจร ไปปล้นทรัพย์แล้วนำมามอบให้ธัมมชโย ธัมมชโยจึงกลายเป็นผู้รับของโจร มีความผิดร่วมด้วย มีโทษจำคุก แถมเจอพ่วงข้อหาฟอกเงินอีกต่างหาก” กับเรื่องที่ชาวบ้านแถวนั้น ไปบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติมันผิดกฎหมายป่าไม้ จึงเป็นเสมือนโจร วันหนึ่งสุวิทย์ อ้อน้อย ก็ไปกว้านซื้อที่ดินเหล่านั้นจากชาวบ้าน เป็นจำนวน 300 ไร่(ที่จริงน่าจะมากกว่านั้น) ถามว่า “กรณีนี้เจ้าหน้าที่จะถือว่า สุวิทย์อ้อน้อยรับ(ซื้อ)ของโจรหรือไม่”..มีความผิดไหมครับ ??
มาตรา 357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ..ป.อาญา
ถ้าดูตามรูปการ ธัมมชโยกับสุวิทย์ ไม่มีอะไรต่างกันเลยใช่ไหมครับ ?? เพราะต่างก็รับเอาทรัพย์ที่ผิดกฎหมายมาไว้ครอบครอง ไม่ว่าจะได้มาโดยประการใดๆ ก็ถือว่ามีความผิด ต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งปล้ำทั้งปรับ..เอ๊ยทั้งจำทั้งปรับ..ยังไงก็ไม่รอด
แต่สุวิทย์ บอกว่าที่ดินเป็นของมูลนิธิธรรมอิสระเป็นผู้ซื้อไว้ แต่โดยพฤตินัยที่เห็นๆกัน มันก็เป็นของสุวิทย์นั่นแหละ เพราะเห็นภาพสุวิทย์ปรากฏอยู่ในป่าสงวนแห่งนั้นต่างกรรมต่างวาระ แถมสร้างอาคารใหญ่โต พร้อมบ้านหรูอีกด้วย มันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าสุวิทย์มีอำนาจเหนือมูลนิธิฯนี้ ส่วนมูลนิธิเป็นแค่“ตัวแทนอำพราง”ลูกกระจ๊อก เท่านั้นหรืออาจจะเรียกว่าเป็น “นอมินี”..ตัวจริงสุวิทย์ !
กรณีนี้ ถ้าสุวิทย์ไม่ผิด ย่อมจะเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นๆเอาเยี่ยงอย่างสุวิทย์ได้ ทุกคนสามารถมีข้ออ้างเช่นเดียวกับสุวิทย์ กรณีครอบครองป่าเพราะต้องการปลูกป่าเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน และผู้ที่กำลังครอบครองอยู่ในขณะนี้ก็อาจถือว่าไม่มีความผิดไปด้วย เพราะทำเพื่อชาติเหมือนกัน..ผมก็เอาด้วย !!
ชาวบ้านต้องคอยติดตามดูว่า กรณีของสุวิทย์ผลจะออกมาเป็นอย่างไร แม้เราจะค่อนข้างคาดเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว เพราะเราอยู่เมืองไทยที่นักกฎหมายต่างชาญฉลาดปราดเปรื่องเลื่องลือในสามโลก รู้จักตีความกฎหมายให้ไปทางหนึ่งทางใดได้อยู่แล้ว ..เก่งกว่าใคร
อีกอย่าง เราต้องไม่ลืมสองตายาย ที่ไปหาเก็บของป่าขายเพื่อประทังชีวิตจนมีโทษจำคุกเป็นเวลาหลายปี และคุณยายอีกท่านหนึ่งที่ถูกจับเพราะขายแกงป่า 2 ถุงคนนั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สะเทือนใจของคนทั่วไปที่ต้องทำผิดกฎหมาย เพราะตนเองอาจไม่รู้กฎหมายและเพื่อปากท้องเท่านั้น กับคนๆหนึ่งที่ไปกว้านซื้อที่ป่าสงวนแห่งชาติจำนวนมากเอามาเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองอย่างผิดกฏหมาย..จะได้เห็นชัดมากขึ้น !!!