คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
๑๐. ปาราสริยเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระปาราสริยเถระ
[๓๙๔] พระปาราสริยเถระ ผู้เป็นสมณะ
มีจิตแน่วแน่เป็นอารมณ์อันเดียว ผู้สงบ
ระงับ ชอบสงัด เจริญฌานอยู่ในป่าใหญ่
ฤดูดอกไม้ผลิ ได้มีความคิดว่า ในเมื่อ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ
ทรงเป็นนาถะของโลก ยังทรงพระชนมชีพอยู่ ความประพฤติของภิกษุทั้งหลายเป็น อย่างหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เดี๋ยวนี้ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง
คือ ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล ก็เพียงเพื่อจะป้องกันความหนาวอันเกิดแต่ลม และปกปิดความละอายเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน ขบฉันอาหารประณีตก็ตาม เศร้าหมองก็ตาม น้อยก็ตาม มากก็ตาม ก็เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ติดไม่พัวพันเลย
ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน (แม้จะถูกความเจ็บไข้ครอบงำ) ไม่ขวนขวายหาเภสัชปัจจัยอันเป็นบริการแก่ชีวิต เหมือนการขวนขวายในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนวิเวก มุ่งแต่เรื่องวิเวก อยู่ในป่า โคนไม้ ซอกเขาและถ้ำเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้อ่อนน้อม มีศรัทธาตั้งมั่น เลี้ยงง่าย อ่อนโยน มีน้ำใจไม่กระด้าง ไม่ปราศจากสติ ปากไม่ร้าย เปลี่ยนแปลงความคิดอันเป็นประโยชน์ของตนแลผู้อื่น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุแต่ปางก่อน เป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับมาข้างหลัง การบริโภคปัจจัย การส้องเสพโคจร และมีอิริยาบถ ละมุนละไม ก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนปากไม่ร้าย เปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็นประโยชน์ของตนและผู้อื่น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุแต่ปางก่อน เป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับมาข้างหลัง การบริโภคปัจจัย การส้องเสพโคจร และมีอิริยาบถละมุนละไม ก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนสายน้ำมันเหลว ไหลออกจากปากภาชนะไม่ขาดสาย ฉะนั้น
บัดนี้ ท่านเหล่านั้น สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว มักเจริญฌานเป็นอันมาก ประกอบแล้วด้วยฌานใหญ่ เป็นพระเถระผู้คงที่ พากันนิพพานไปเสียหมดแล้ว
บัดนี้ ท่านเช่นนั้นเหลืออยู่น้อยเต็มที เพราะความสิ้นไปแห่งกุศลธรรมและปัญญา
คำสั่งสอนของพระชินสีห์ อันประกอบแล้วด้วยอาการอันประเสริฐทุกอย่าง จะสิ้นไปในเวลาที่ควรจะทำให้ธรรมทั้งหลายอันลามกและกิเลสทั้งหลายสงบไป
ภิกษุเหล่าใด ปรารภความเพียรเพื่อความสงัด ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีพระสัทธรรมที่เหลือเป็นข้อปฏิบัติ
กิเลสเหล่านั้นเจริญงอกงามขึ้น ย่อมครอบงำคนพาลเป็นอันมากไว้ในอำนาจ ดังจะเล่นกับพวกคนพาล เหมือนปีศาจเข้าสิงคนทำให้เป็นบ้าเพ้อคลั่งอยู่ ฉะนั้น
นรชนเหล่านั้นถูกกิเลสครอบงำ ท่องเที่ยวไปมาในสงสารเพราะกิเลสนั้น ๆ ยึดถือในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นตัวตนเพราะกิเลส เป็นเหตุพากันละทิ้งพระสัทธรรมเสีย ทำการทะเลาะซึ่งกันและกัน ยึดถือตามความเห็นของตน สำคัญว่าสิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ
นรชนทั้งหลายที่ละทิ้งทรัพย์สมบัติ บุตรและภรรยา ออกบวชแล้วพากันทำกรรมที่ไม่ควรทำ แม้เพราะเหตุแห่งภักษาหารเพียงทัพพีเดียว ภิกษุทั้งหลายฉันภัตตาหารเต็มอิ่มแล้ว ถึงเวลานอนก็นอนหงาย ตื่นแล้วก็กล่าวแต่ถ้อยคำที่พระศาสดาทรงติเตียน ภิกษุผู้มีจิตไม่สงบในภายใน พากันเรียนทำแต่ศิลปะที่ไม่ควรทำ มีการประดับร่มเป็นต้น ย่อมไม่หวังประโยชน์ในทางบำเพ็ญสมณธรรมเสียเลย
ภิกษุทั้งหลายผู้มุ่งแต่สิ่งของดีๆ ให้มาก จึงนำเอาดินเหนียวบ้าง น้ำมันบ้าง จุรณเจิมบ้าง น้ำบ้าง ที่นั่งที่นอนบ้าง อาหารบ้าง ไม้สีฟันบ้าง ผลมะขวิดบ้าง ดอกไม้บ้าง ของควรเคี้ยวบ้าง บิณฑบาตบ้าง ผลมะม่วงบ้าง ผลมะขามป้อมบ้าง ไปให้แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายพากันประกอบเภสัชเหมือนพวกหมอรักษาโรค ทำกิจน้อยใหญ่อย่างคฤหัสถ์ ตบแต่งร่างกายเหมือนหญิงแพศยา ประพฤติตนเหมือนกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ บริโภคอามิสด้วยอุบายเป็นอันมาก คือ ทำให้คนหลงเชื่อ หลอกลวง เป็นพยานโกงตามโรงศาล ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ อย่างนักเลง
ภิกษุเหล่านั้น บริโภคอามิสด้วยการพูดเลียบเคียงเป็นอันมาก เที่ยวแส่หาปัจจัยโดยใช้อุบายต่างๆ ล่อลวงโดยปริยายเพียงเล็กน้อย รวบรวมทรัพย์ไว้เป็นอันมากเพราะเหตุแห่งอาชีพ ย่อมยังบริษัทให้บำเรอตนเพราะเหตุแห่งการงาน แต่มิให้บำรุงโดยธรรม เที่ยวแสดงธรรมตามถิ่นต่างๆ เพราะเหตุแห่งลาภ มิใช่เพราะมุ่งประโยชน์
ภิกษุเหล่านั้นทะเลาะวิวาทกัน เพราะเหตุแห่งลาภสงฆ์ เป็นผู้เหินห่างจากอริยสงฆ์ เลี้ยงชีวิตด้วยการอาศัยลาภของผู้อื่น ไม่มีหิริ ไม่ละอาย จริงอย่างนั้น
ภิกษุบางพวก
ไม่ประพฤติตามสมณธรรมเสียเลย
เป็นเพียงคนโล้น
คลุมร่างไว้ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้นปรารถนาแต่การสรรเสริญถ่ายเดียว
มุ่งหวังแต่ลาภและสักการะ
เมื่อธรรมเป็นเครื่องทำลายมีประการต่างๆ เป็นไปอยู่อย่างนี้ การบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ หรือการตามรักษาธรรมที่ได้บรรลุแล้ว ไม่ใช่ทำได้ง่ายเหมือนเมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่
มุนีพึงตั้งสติเที่ยวไปในบ้าน เหมือนกับบุรุษผู้ไม่ได้สวมรองเท้า ตั้งสติเที่ยวไปในถิ่นที่มีหนาม ฉะนั้น พระโยคีเมื่อตามระลึกถึงวิปัสสนาที่ปรารภมาแล้วในกาลก่อน ไม่ทอดทิ้งวัตรสำหรับภาวนาวิธีเหล่านั้นเสีย ถึงเวลานี้จะเป็นเวลาสุดท้ายภายหลัง แต่ก็พึงบรรลุอมตบทได้
พระปาราสริยเถระ ผู้เป็นสมณะ มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว เป็นพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว ครั้นกล่าววิธีปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ปรินิพพานในสาลวัน.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=7899&Z=7979
คาถาสุภาษิตของพระปาราสริยเถระ
[๓๙๔] พระปาราสริยเถระ ผู้เป็นสมณะ
มีจิตแน่วแน่เป็นอารมณ์อันเดียว ผู้สงบ
ระงับ ชอบสงัด เจริญฌานอยู่ในป่าใหญ่
ฤดูดอกไม้ผลิ ได้มีความคิดว่า ในเมื่อ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ
ทรงเป็นนาถะของโลก ยังทรงพระชนมชีพอยู่ ความประพฤติของภิกษุทั้งหลายเป็น อย่างหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เดี๋ยวนี้ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง
คือ ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล ก็เพียงเพื่อจะป้องกันความหนาวอันเกิดแต่ลม และปกปิดความละอายเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน ขบฉันอาหารประณีตก็ตาม เศร้าหมองก็ตาม น้อยก็ตาม มากก็ตาม ก็เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ติดไม่พัวพันเลย
ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน (แม้จะถูกความเจ็บไข้ครอบงำ) ไม่ขวนขวายหาเภสัชปัจจัยอันเป็นบริการแก่ชีวิต เหมือนการขวนขวายในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนวิเวก มุ่งแต่เรื่องวิเวก อยู่ในป่า โคนไม้ ซอกเขาและถ้ำเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้อ่อนน้อม มีศรัทธาตั้งมั่น เลี้ยงง่าย อ่อนโยน มีน้ำใจไม่กระด้าง ไม่ปราศจากสติ ปากไม่ร้าย เปลี่ยนแปลงความคิดอันเป็นประโยชน์ของตนแลผู้อื่น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุแต่ปางก่อน เป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับมาข้างหลัง การบริโภคปัจจัย การส้องเสพโคจร และมีอิริยาบถ ละมุนละไม ก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนปากไม่ร้าย เปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็นประโยชน์ของตนและผู้อื่น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุแต่ปางก่อน เป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับมาข้างหลัง การบริโภคปัจจัย การส้องเสพโคจร และมีอิริยาบถละมุนละไม ก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนสายน้ำมันเหลว ไหลออกจากปากภาชนะไม่ขาดสาย ฉะนั้น
บัดนี้ ท่านเหล่านั้น สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว มักเจริญฌานเป็นอันมาก ประกอบแล้วด้วยฌานใหญ่ เป็นพระเถระผู้คงที่ พากันนิพพานไปเสียหมดแล้ว
บัดนี้ ท่านเช่นนั้นเหลืออยู่น้อยเต็มที เพราะความสิ้นไปแห่งกุศลธรรมและปัญญา
คำสั่งสอนของพระชินสีห์ อันประกอบแล้วด้วยอาการอันประเสริฐทุกอย่าง จะสิ้นไปในเวลาที่ควรจะทำให้ธรรมทั้งหลายอันลามกและกิเลสทั้งหลายสงบไป
ภิกษุเหล่าใด ปรารภความเพียรเพื่อความสงัด ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีพระสัทธรรมที่เหลือเป็นข้อปฏิบัติ
กิเลสเหล่านั้นเจริญงอกงามขึ้น ย่อมครอบงำคนพาลเป็นอันมากไว้ในอำนาจ ดังจะเล่นกับพวกคนพาล เหมือนปีศาจเข้าสิงคนทำให้เป็นบ้าเพ้อคลั่งอยู่ ฉะนั้น
นรชนเหล่านั้นถูกกิเลสครอบงำ ท่องเที่ยวไปมาในสงสารเพราะกิเลสนั้น ๆ ยึดถือในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นตัวตนเพราะกิเลส เป็นเหตุพากันละทิ้งพระสัทธรรมเสีย ทำการทะเลาะซึ่งกันและกัน ยึดถือตามความเห็นของตน สำคัญว่าสิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ
นรชนทั้งหลายที่ละทิ้งทรัพย์สมบัติ บุตรและภรรยา ออกบวชแล้วพากันทำกรรมที่ไม่ควรทำ แม้เพราะเหตุแห่งภักษาหารเพียงทัพพีเดียว ภิกษุทั้งหลายฉันภัตตาหารเต็มอิ่มแล้ว ถึงเวลานอนก็นอนหงาย ตื่นแล้วก็กล่าวแต่ถ้อยคำที่พระศาสดาทรงติเตียน ภิกษุผู้มีจิตไม่สงบในภายใน พากันเรียนทำแต่ศิลปะที่ไม่ควรทำ มีการประดับร่มเป็นต้น ย่อมไม่หวังประโยชน์ในทางบำเพ็ญสมณธรรมเสียเลย
ภิกษุทั้งหลายผู้มุ่งแต่สิ่งของดีๆ ให้มาก จึงนำเอาดินเหนียวบ้าง น้ำมันบ้าง จุรณเจิมบ้าง น้ำบ้าง ที่นั่งที่นอนบ้าง อาหารบ้าง ไม้สีฟันบ้าง ผลมะขวิดบ้าง ดอกไม้บ้าง ของควรเคี้ยวบ้าง บิณฑบาตบ้าง ผลมะม่วงบ้าง ผลมะขามป้อมบ้าง ไปให้แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายพากันประกอบเภสัชเหมือนพวกหมอรักษาโรค ทำกิจน้อยใหญ่อย่างคฤหัสถ์ ตบแต่งร่างกายเหมือนหญิงแพศยา ประพฤติตนเหมือนกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ บริโภคอามิสด้วยอุบายเป็นอันมาก คือ ทำให้คนหลงเชื่อ หลอกลวง เป็นพยานโกงตามโรงศาล ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ อย่างนักเลง
ภิกษุเหล่านั้น บริโภคอามิสด้วยการพูดเลียบเคียงเป็นอันมาก เที่ยวแส่หาปัจจัยโดยใช้อุบายต่างๆ ล่อลวงโดยปริยายเพียงเล็กน้อย รวบรวมทรัพย์ไว้เป็นอันมากเพราะเหตุแห่งอาชีพ ย่อมยังบริษัทให้บำเรอตนเพราะเหตุแห่งการงาน แต่มิให้บำรุงโดยธรรม เที่ยวแสดงธรรมตามถิ่นต่างๆ เพราะเหตุแห่งลาภ มิใช่เพราะมุ่งประโยชน์
ภิกษุเหล่านั้นทะเลาะวิวาทกัน เพราะเหตุแห่งลาภสงฆ์ เป็นผู้เหินห่างจากอริยสงฆ์ เลี้ยงชีวิตด้วยการอาศัยลาภของผู้อื่น ไม่มีหิริ ไม่ละอาย จริงอย่างนั้น
ภิกษุบางพวก
ไม่ประพฤติตามสมณธรรมเสียเลย
เป็นเพียงคนโล้น
คลุมร่างไว้ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้นปรารถนาแต่การสรรเสริญถ่ายเดียว
มุ่งหวังแต่ลาภและสักการะ
เมื่อธรรมเป็นเครื่องทำลายมีประการต่างๆ เป็นไปอยู่อย่างนี้ การบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ หรือการตามรักษาธรรมที่ได้บรรลุแล้ว ไม่ใช่ทำได้ง่ายเหมือนเมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่
มุนีพึงตั้งสติเที่ยวไปในบ้าน เหมือนกับบุรุษผู้ไม่ได้สวมรองเท้า ตั้งสติเที่ยวไปในถิ่นที่มีหนาม ฉะนั้น พระโยคีเมื่อตามระลึกถึงวิปัสสนาที่ปรารภมาแล้วในกาลก่อน ไม่ทอดทิ้งวัตรสำหรับภาวนาวิธีเหล่านั้นเสีย ถึงเวลานี้จะเป็นเวลาสุดท้ายภายหลัง แต่ก็พึงบรรลุอมตบทได้
พระปาราสริยเถระ ผู้เป็นสมณะ มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว เป็นพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว ครั้นกล่าววิธีปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ปรินิพพานในสาลวัน.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=7899&Z=7979
แสดงความคิดเห็น
พระนี่เป็นตำแหน่งทางราชการเหรอครับ พระที่ไม่ถือวัตรที่พึงมีของสงฆ์ เรียกโล้นได้ไหม ?
แบบนี้ถือเป็น racistm ถือเป็น hate speech เข้าใจได้
แต่สำหรับบุคคลซึ่งตั้งใจแสดงตัวเป็นพระ โกนหัว ห่มเหลืองคล้ายพระ
แต่ไม่พึงถือวัตรอันพึงมี ของสงฆ์ แบบนี้ถือว่าเลือกเองที่จะเป็นสงฆ์แค่คำเรียกขาน
เพราะขาดวัตรที่พึงมี
แบบนี้ผมว่าไม่เข้าข่าย hate speech นะ เพราะไม่มีใครบังคับ
ให้โกนหัวโล้น ห่มเหลือง แต่ไม่ถือวัตร