สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากแชร์เรื่องความปลอดภัยของโรงเรียนในต่างประเทศในฐานะที่เป็นแม่มีลูกเรียนในระดับชั้นเนอสเซอรี่ (3-4 ขวบ) และในฐานะที่ทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในเนอสเซอรี่เหมือนกันว่าประเทศที่เราอยู่มีการรักษาความปลอดภัยและคุ้มครองเด็กได้ดีขนาดไหน เผื่อจะเป็นไอเดียให้โรงเรียนในเมืองไทยได้นำไปใช้บ้าง คงจะดีไม่น้อย
1. โรงเรียนที่นี่จะเปิดปิดประตูเป็นเวลา ผู้ปกครองไม่สามารถเอาลูกมาปล่อยตั้งแต่ 7 โมงเช้าได้ หรือใครก็ตามก็ไม่สามารถเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในรร.ได้ อย่างของลูกเราชั้นเนอสเซอรี่ประตูเปิด 8.30 ถ้าไปถึงก่อนนั้นก็ต้องยืนรอกับลูกไปค่ะ พอประตูเปิดก็จะมีครูมายืนเช็คชื่อเด็ก ประตูจะเปิดแค่ 15 นาที หลังจากนั้นถ้ามาส่งลูกสายผู้ปกครองต้องไปส่งลูกผ่านรีเซฟชั่นเท่านั้น ส่วนเวลารับลูกก็เหมือนกันค่ะ ประตูเปิด 15.15 ถ้าเป็นชั้นเนอสเซอรี่ผู้ปกครองจะสามารถเข้าไปรับลูกถึงในห้องเรียนได้ แต่ถ้าชั้นโตกว่านี้ครูจะเรียกให้เด็กออกมาพบผู้ปกครองข้างนอกเอง ผู้ปกครองต้องมารอรับเด็กให้ตรงเวลา เลทไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นโดนโทรตาม ถ้าครูโทรตามผู้ปกครองไม่ได้เรื่องถึงตำรวจค่ะ ถูกบันทึกประวัติแล้วอาจจะโดนส่งเรื่องถึง social service (นักสังคมสงเคราะห์) ยาวเลยค่ะทีนี้
2. ผู้ปกครองที่ต้องไปทำงานแต่เช้าและเลิกเย็นจะนิยมใช้บริการ before/after school club ซึ่งส่วนมากจะมีอยู่ในรร.ทุกรร. แต่ละที่จะรับจำนวนจำกัด ขึ้นอยู่กับความกว้างของพื้นที่ในคลับและจำนวนพี่เลี้ยง เราสามารถฝากเด็กได้ตั้งแต่ 7.30 จนรร.เข้า และหลังจาก 15.15 ถึง 6 โมงเย็น มีพี่เลี้ยงรับส่งเด็กจากคลับจนถึงห้องเรียนของเด็ก มีค่าใช้จ่ายค่ะ รร.ที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยตรงที่สามารถปล่อยเด็กวิ่งเล่นในรร.ได้เองหลังเลิกเรียน มีครูคุมบ้างไม่มีบ้างเหมือนบ้านเรา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีข่าวเด็กอนุบาลในเมืองไทยโดนขังลืมในห้องน้ำจนเสียชีวิตเป็นต้น
3. ครูและพนักงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน ภารโรง แม่ครัว พนักงานทำความสะอาด ฯลฯ ที่ทำงานในรร., สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือ play gym หรือไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับเด็ก ต้องผ่านการตรวจประวัติอาชญากรรมก่อนที่จะได้รับการจ้างงาน ทุกอย่างต้องเคลียร์คือไม่มีประวัติเลย ไม่อย่างนั้นไม่สามารถทำงานกับเด็กได้ พร้อมทั้งต้องได้ reference ดี ๆ 2 ที่ด้วย (เช่นจากนายจ้างเก่า) ถึงแม้จะผ่านสัมภาษณ์แต่ reference ไม่ดีก็ไม่ได้งานนะจ๊ะ อย่างเราก็ต้องโดนตรวจประวัติและเช็ค reference หลังจากสัมภาษณ์งานในเนอสเซอรี่แล้วเหมือนกัน
4. ในรร.และเนอสเซอรี่ทุกที่จะมีกฏห้ามครูและพนักงานทุกคนใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเด็ดขาด ยกเว้นช่วงเบรคกลางวัน สามารถใช้ได้ในห้องพักครู/พนักงานและต้องปิดประตูไม่ให้เด็กเห็นโทรศัพท์ด้วย ห้ามมีการถ่ายภาพหรือบันทึกวีดีโอเด็กโดยเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
ขอเสริมเรื่องกฏข้อนี้ หลายปีมาแล้วมีข่าวพี่เลี้ยงในเนอสเซอรี่ที่อังกฤษแอบถ่ายรูปเด็กโป๊แล้วเอาไปลงในอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่นั้นมาทุกที่เลยมีกฏห้ามใช้มือถือโดยเด็ดขาด เพราะมันมีกล้อง
5. เมื่อเด็กมีการแสดงของรร.และผู้ปกครองได้รับเชิญเข้าไปดู ห้ามผู้ปกครองถ่ายภาพหรือบันทึกวีดีโอเด็กโดยเด็ดขาด ถ้าจะถ่ายสามารถถ่ายแค่ลูกของตัวเองได้หลังจากการแสดงจบ ห้ามถ่ายติดเด็กคนอื่น
6. ในรร.จะมีการถ่ายรูปเด็กเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ บ้างเพื่อนำไปติดในสมุดโปรไฟล์ของเด็กเอง แต่รร.จะให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอมว่าอนุญาตให้รร.ถ่ายรูปเด็กได้ก่อน ถ้าผู้ปกครองไม่ยินยอมรร.ก็ไม่ถ่าย
7. ข้อนี้เราชอบมากค่ะ บุคลากรในรร.และเนอสเซอรี่ทุกคนจะได้รับการอบรมในเรื่อง safeguarding children/child protection training หรือการป้องกันเด็กจากอันตรายและภัยคุกคามต่าง ๆ และวิธีการสังเกตว่าเด็กมีร่องรอยหรืออาการใด ๆ ที่อาจเกิดจากการถูกทำร้ายมาจากบ้านหรือจากใครก็ตามอย่างไร จะมีแบ่งเป็น physical abuse, emotional abuse, neglect abuse, sexual abuse ไม่ขอกล่าวในรายละเอียดนะคะ แต่จะบอกแค่ว่าทุกคนจะต้องผ่านการอบรมในเรื่องนี้ และรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไปเมื่อพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ เพราะที่นี่ถือว่ารร.มีหน้าที่ในการช่วยดูแลปกป้องเด็กด้วย
8. ถ้าเด็กขาดเรียนบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุอันควรโดนนักสังคมสงเคราะห์ตามไปส่องถึงบ้านแน่นอนค่ะ รร.รายงานให้เรียบร้อยเพื่อปกป้องเด็ก
9. ทุกคนที่ทำงานกับเด็กต้องผ่านการอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และทำการอบรมซ้ำทุก ๆ สองปี และทุกรร./เนอสเซอรี่ก็ต้องมี paediatric first aider แบบมีใบประกาศด้วย
10. เนอสเซอรี่ทุกที่ (ไปสมัครมาหลายที่ค่ะเลยรู้ดี 55) จะมีกล้องวงจรปิดและอินเตอร์คอมอยู่ที่ทางเข้า จะเข้าไปได้ต้องแจ้งชื่อและความประสงค์ที่จะมาติดต่อเนอสเซอรี่ก่อน
11. รร.ของลูกเรา ถ้าใครจะเข้าไปติดต่อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ต้องผ่านรีเซพชั่น ซึ่งจะมีกล้องถ่ายรูปเราแล้วปรินท์รูปเราติดบัตรเพื่อให้เอาติดตัวตลอดเวลา คือถ้าใครไม่มีบัตรห้อยคอ ใครในรร.ก็ตามสามารถไป challenge ได้ว่าคุณเป็นใคร
12. อัตราส่วนของพี่เลี้ยงหรือครูกับเด็กแบ่งไปตามอายุ คือ
เด็กอายุ 0-2 ขวบ ผู้ใหญ่ 1 ต่อเด็ก 3 คน
เด็กอายุ 2-3 ขวบ ผู้ใหญ่ 1 ต่อเด็ก 4 คน
เด็กอายุ 3-5 ขวบ ผู้ใหญ่ 1 ต่อเด็ก 6 คน (แต่ที่เนอสฯที่เราทำงานอยู่คือ 1 ต่อ 4 ค่ะ)
13. รร.จะมีการซ้อมหนีไฟเป็นประจำ พนักงานทุกคนต้องผ่านการอบรมในเรื่องเหตุฉุกเฉินต้องทำอย่างไร พาเด็กแต่ละห้องออกไปทางไหน จุดนัดพบอยู่ที่ไหน ฯลฯ ของเนอสฯเรามีซ้อมหนีน้ำท่วมด้วย
14. (ข้อนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็ก) พนักงานในเนอสฯถ้าเล่นเฟซบุ๊คส่วนตัวห้ามโพสต์หรือคอมเม้นท์อะไรหยาบคายเพราะมันส่งผลถึงภาพลักษณ์ของเนอสฯได้ โดนไล่ออกได้เลย ห้ามแอดเป็นเพื่อนกับผู้ปกครองของเด็ก เฟซในเมืองไทยตัวอย่างก็อย่างพวกเป็นถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือเป็นหมอโพสต์อะไรส่วนตั๊วส่วนตัวหรือหยาบคายก็ไม่มีใครว่าเลย แต่สำหรับเรา ๆ ว่ามันไม่ professional มาก ๆ
ตอนนี้คิดออกแค่นี้ค่ะ ผู้ปกครองคนไหนมีลูกเรียนที่ต่างประเทศมีไอเดียอะไรก็มาช่วยแชร์กันหน่อยนะคะ อยากให้เมืองไทยทำตามสักข้อสองข้อก็ยังดี อย่างน้อยก็เรื่องการตรวจประวัติอาชญากรรมเราว่าสำคัญที่สุด เห็นข่าวในเมืองไทยพวกครูล่วงละเมิดทางเพศของเด็ก หรือพวกข่าวพี่เลี้ยงทำร้ายเด็กแล้วโดนแค่ไล่ออกแล้วอ่อนใจค่ะ ออกแล้วก็หางานใหม่ ทำร้ายเด็กคนต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ ผู้ใหญ่อย่างเรามีหน้าที่ปกป้องเด็กค่ะ ช่วยกันนะคะ
**ไม่รู้แทคถูกห้องหรือเปล่านะคะ นาน ๆ จะตั้งกระทู้ค่ะ
***ขอแทคข้าราชการครูด้วยนะคะ เผื่อครูคนไหนจะเข้ามาอ่านแล้วจะได้ไอเดียอะไรขึ้นมาได้บ้าง
ความปลอดภัยของโรงเรียนในตปท.ที่อยากให้เมืองไทยมีเหมือนกัน
1. โรงเรียนที่นี่จะเปิดปิดประตูเป็นเวลา ผู้ปกครองไม่สามารถเอาลูกมาปล่อยตั้งแต่ 7 โมงเช้าได้ หรือใครก็ตามก็ไม่สามารถเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในรร.ได้ อย่างของลูกเราชั้นเนอสเซอรี่ประตูเปิด 8.30 ถ้าไปถึงก่อนนั้นก็ต้องยืนรอกับลูกไปค่ะ พอประตูเปิดก็จะมีครูมายืนเช็คชื่อเด็ก ประตูจะเปิดแค่ 15 นาที หลังจากนั้นถ้ามาส่งลูกสายผู้ปกครองต้องไปส่งลูกผ่านรีเซฟชั่นเท่านั้น ส่วนเวลารับลูกก็เหมือนกันค่ะ ประตูเปิด 15.15 ถ้าเป็นชั้นเนอสเซอรี่ผู้ปกครองจะสามารถเข้าไปรับลูกถึงในห้องเรียนได้ แต่ถ้าชั้นโตกว่านี้ครูจะเรียกให้เด็กออกมาพบผู้ปกครองข้างนอกเอง ผู้ปกครองต้องมารอรับเด็กให้ตรงเวลา เลทไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นโดนโทรตาม ถ้าครูโทรตามผู้ปกครองไม่ได้เรื่องถึงตำรวจค่ะ ถูกบันทึกประวัติแล้วอาจจะโดนส่งเรื่องถึง social service (นักสังคมสงเคราะห์) ยาวเลยค่ะทีนี้
2. ผู้ปกครองที่ต้องไปทำงานแต่เช้าและเลิกเย็นจะนิยมใช้บริการ before/after school club ซึ่งส่วนมากจะมีอยู่ในรร.ทุกรร. แต่ละที่จะรับจำนวนจำกัด ขึ้นอยู่กับความกว้างของพื้นที่ในคลับและจำนวนพี่เลี้ยง เราสามารถฝากเด็กได้ตั้งแต่ 7.30 จนรร.เข้า และหลังจาก 15.15 ถึง 6 โมงเย็น มีพี่เลี้ยงรับส่งเด็กจากคลับจนถึงห้องเรียนของเด็ก มีค่าใช้จ่ายค่ะ รร.ที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยตรงที่สามารถปล่อยเด็กวิ่งเล่นในรร.ได้เองหลังเลิกเรียน มีครูคุมบ้างไม่มีบ้างเหมือนบ้านเรา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีข่าวเด็กอนุบาลในเมืองไทยโดนขังลืมในห้องน้ำจนเสียชีวิตเป็นต้น
3. ครูและพนักงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน ภารโรง แม่ครัว พนักงานทำความสะอาด ฯลฯ ที่ทำงานในรร., สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือ play gym หรือไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับเด็ก ต้องผ่านการตรวจประวัติอาชญากรรมก่อนที่จะได้รับการจ้างงาน ทุกอย่างต้องเคลียร์คือไม่มีประวัติเลย ไม่อย่างนั้นไม่สามารถทำงานกับเด็กได้ พร้อมทั้งต้องได้ reference ดี ๆ 2 ที่ด้วย (เช่นจากนายจ้างเก่า) ถึงแม้จะผ่านสัมภาษณ์แต่ reference ไม่ดีก็ไม่ได้งานนะจ๊ะ อย่างเราก็ต้องโดนตรวจประวัติและเช็ค reference หลังจากสัมภาษณ์งานในเนอสเซอรี่แล้วเหมือนกัน
4. ในรร.และเนอสเซอรี่ทุกที่จะมีกฏห้ามครูและพนักงานทุกคนใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเด็ดขาด ยกเว้นช่วงเบรคกลางวัน สามารถใช้ได้ในห้องพักครู/พนักงานและต้องปิดประตูไม่ให้เด็กเห็นโทรศัพท์ด้วย ห้ามมีการถ่ายภาพหรือบันทึกวีดีโอเด็กโดยเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
ขอเสริมเรื่องกฏข้อนี้ หลายปีมาแล้วมีข่าวพี่เลี้ยงในเนอสเซอรี่ที่อังกฤษแอบถ่ายรูปเด็กโป๊แล้วเอาไปลงในอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่นั้นมาทุกที่เลยมีกฏห้ามใช้มือถือโดยเด็ดขาด เพราะมันมีกล้อง
5. เมื่อเด็กมีการแสดงของรร.และผู้ปกครองได้รับเชิญเข้าไปดู ห้ามผู้ปกครองถ่ายภาพหรือบันทึกวีดีโอเด็กโดยเด็ดขาด ถ้าจะถ่ายสามารถถ่ายแค่ลูกของตัวเองได้หลังจากการแสดงจบ ห้ามถ่ายติดเด็กคนอื่น
6. ในรร.จะมีการถ่ายรูปเด็กเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ บ้างเพื่อนำไปติดในสมุดโปรไฟล์ของเด็กเอง แต่รร.จะให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอมว่าอนุญาตให้รร.ถ่ายรูปเด็กได้ก่อน ถ้าผู้ปกครองไม่ยินยอมรร.ก็ไม่ถ่าย
7. ข้อนี้เราชอบมากค่ะ บุคลากรในรร.และเนอสเซอรี่ทุกคนจะได้รับการอบรมในเรื่อง safeguarding children/child protection training หรือการป้องกันเด็กจากอันตรายและภัยคุกคามต่าง ๆ และวิธีการสังเกตว่าเด็กมีร่องรอยหรืออาการใด ๆ ที่อาจเกิดจากการถูกทำร้ายมาจากบ้านหรือจากใครก็ตามอย่างไร จะมีแบ่งเป็น physical abuse, emotional abuse, neglect abuse, sexual abuse ไม่ขอกล่าวในรายละเอียดนะคะ แต่จะบอกแค่ว่าทุกคนจะต้องผ่านการอบรมในเรื่องนี้ และรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไปเมื่อพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ เพราะที่นี่ถือว่ารร.มีหน้าที่ในการช่วยดูแลปกป้องเด็กด้วย
8. ถ้าเด็กขาดเรียนบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุอันควรโดนนักสังคมสงเคราะห์ตามไปส่องถึงบ้านแน่นอนค่ะ รร.รายงานให้เรียบร้อยเพื่อปกป้องเด็ก
9. ทุกคนที่ทำงานกับเด็กต้องผ่านการอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และทำการอบรมซ้ำทุก ๆ สองปี และทุกรร./เนอสเซอรี่ก็ต้องมี paediatric first aider แบบมีใบประกาศด้วย
10. เนอสเซอรี่ทุกที่ (ไปสมัครมาหลายที่ค่ะเลยรู้ดี 55) จะมีกล้องวงจรปิดและอินเตอร์คอมอยู่ที่ทางเข้า จะเข้าไปได้ต้องแจ้งชื่อและความประสงค์ที่จะมาติดต่อเนอสเซอรี่ก่อน
11. รร.ของลูกเรา ถ้าใครจะเข้าไปติดต่อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ต้องผ่านรีเซพชั่น ซึ่งจะมีกล้องถ่ายรูปเราแล้วปรินท์รูปเราติดบัตรเพื่อให้เอาติดตัวตลอดเวลา คือถ้าใครไม่มีบัตรห้อยคอ ใครในรร.ก็ตามสามารถไป challenge ได้ว่าคุณเป็นใคร
12. อัตราส่วนของพี่เลี้ยงหรือครูกับเด็กแบ่งไปตามอายุ คือ
เด็กอายุ 0-2 ขวบ ผู้ใหญ่ 1 ต่อเด็ก 3 คน
เด็กอายุ 2-3 ขวบ ผู้ใหญ่ 1 ต่อเด็ก 4 คน
เด็กอายุ 3-5 ขวบ ผู้ใหญ่ 1 ต่อเด็ก 6 คน (แต่ที่เนอสฯที่เราทำงานอยู่คือ 1 ต่อ 4 ค่ะ)
13. รร.จะมีการซ้อมหนีไฟเป็นประจำ พนักงานทุกคนต้องผ่านการอบรมในเรื่องเหตุฉุกเฉินต้องทำอย่างไร พาเด็กแต่ละห้องออกไปทางไหน จุดนัดพบอยู่ที่ไหน ฯลฯ ของเนอสฯเรามีซ้อมหนีน้ำท่วมด้วย
14. (ข้อนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็ก) พนักงานในเนอสฯถ้าเล่นเฟซบุ๊คส่วนตัวห้ามโพสต์หรือคอมเม้นท์อะไรหยาบคายเพราะมันส่งผลถึงภาพลักษณ์ของเนอสฯได้ โดนไล่ออกได้เลย ห้ามแอดเป็นเพื่อนกับผู้ปกครองของเด็ก เฟซในเมืองไทยตัวอย่างก็อย่างพวกเป็นถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือเป็นหมอโพสต์อะไรส่วนตั๊วส่วนตัวหรือหยาบคายก็ไม่มีใครว่าเลย แต่สำหรับเรา ๆ ว่ามันไม่ professional มาก ๆ
ตอนนี้คิดออกแค่นี้ค่ะ ผู้ปกครองคนไหนมีลูกเรียนที่ต่างประเทศมีไอเดียอะไรก็มาช่วยแชร์กันหน่อยนะคะ อยากให้เมืองไทยทำตามสักข้อสองข้อก็ยังดี อย่างน้อยก็เรื่องการตรวจประวัติอาชญากรรมเราว่าสำคัญที่สุด เห็นข่าวในเมืองไทยพวกครูล่วงละเมิดทางเพศของเด็ก หรือพวกข่าวพี่เลี้ยงทำร้ายเด็กแล้วโดนแค่ไล่ออกแล้วอ่อนใจค่ะ ออกแล้วก็หางานใหม่ ทำร้ายเด็กคนต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ ผู้ใหญ่อย่างเรามีหน้าที่ปกป้องเด็กค่ะ ช่วยกันนะคะ
**ไม่รู้แทคถูกห้องหรือเปล่านะคะ นาน ๆ จะตั้งกระทู้ค่ะ
***ขอแทคข้าราชการครูด้วยนะคะ เผื่อครูคนไหนจะเข้ามาอ่านแล้วจะได้ไอเดียอะไรขึ้นมาได้บ้าง