หลังจากที่ผมอ่านรีวิวของเพื่อนใน Pantip แล้วจึงเกิดแรงบันดาลใจในการออกเดินทางท่องเที่ยวบ้าง เพราะผมเพิ่งลาออกจากงานประจำอันมั่นคง มาทำในสิ่งใหม่ๆให้ชีวิต กำหนดการเดินทางในครั้งนี้ ผมเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 – 8 กรกฎาคม 2559 โดยใช้ รถไฟ ต่อด้วยรถทัวร์ และเช่ารถจักรยานยนต์ในการเที่ยวรอบจังหวัดแม่ฮ่องสอนครับ
ผมไม่อยากรอให้อะไรพร้อมก่อนแล้วค่อยเที่ยว เพราะเวลานั้นจะไม่มีวันมาถึง ในเมื่อร่างกายผมพร้อม หัวใจเต็มที่แล้ว ผมก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ไปยังดินแดนที่ไม่เคยไป ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ผมไม่ได้คิด เอาเป็นว่าเที่ยวให้ประหยัดที่สุดเท่านั้นพอ เมื่อคิดได้แบบนี้ก็แบกเป้ พร้อมรองเท้าผ้าใบ ผมใช้โทรศัพท์ไอโฟน 5s นี้หละเป็นที่เก็บบันทึกภาพแห่งความประทับใจระหว่างทาง ส่วนอารมณ์และความรู้สึกนั้น เราเก็บไว้ได้ในใจอยู่แล้วครับ เมื่อพร้อมแล้ว ไปเที่ยวกัน
-----
วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2559
เวลา 09.30 นาฬิกา ออกเดินทางจากที่พัก โดยใช้รถเมย์สาย 113 มีนบุรี – หัวลำโพง วันจันทร์คนเยอะนิดหน่อย ทริปนี้ปลายทางแม่ฮ่องสอน เที่ยวหน้าฝน คนเดียว ก็ฟินได้ น่าจะได้ขึ้นรถไฟฟรี ขบวน 109 กรุงเทพ-เชียงใหม่ เวลา 13.45 นาฬิกา ชีวิตไม่รีบ มีเวลาเหลือเฟือ
-----
ถึงหัวลำโพงเวลา 11.50 นาฬิกา นำบัตรประชาชนไปรับตั๋วรถไฟฟรี ที่ช่องจำหน่ายตั๋ว ได้รถไฟขบวนกรุงเทพ-เชียงใหม่ รถไฟออกเวลา 13.45 ถึงเชียงใหม่ 04.00 แต่น่าจะถึงเชียงใหม่ 07.00-09.00 ระหว่างนี้เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่า หาอะไรกินให้อิ่มท้อง ชีวิตไม่รีบ ทำอะไรช้าลง มองดูผู้คนรอบข้างให้มากขึ้น
-----
เวลา 13.00 นาฬิกา กินข้าวเสร็จแล้ว ระหว่างรอรถไฟออก เดินถ่ายรูปเล่น อีกบรรยากาศของอีกหนึ่งชีวิต การเดินทางโดยรถไฟสะดวก ปลอดภัย และประหยัด เสียดายระหว่างทางไม่ได้ถ่ายรูปสวยๆไว้ เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์ และนอนหลับ
-----
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2559
เวลา 07.30 นาฬิกา รถไฟถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ ผมจึงลงจากรถหาของกิน และอาบน้ำที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ ก่อนนั่งรถสองแถวราคา 40 บาท จากสถานีรถไฟเชียงใหม่ ไปยังสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ หรือที่เขาเรียกกันว่า อาเขต
-----
เวลา 09.00 นาฬิกา ไปซื้อตั๋วรถตู้ของบริษัทเปรมประชา เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน (เส้นทางปาย) ราคาตั๋ว 250 บาท รถตู้ออกเวลา 10.30 นาฬิกา ระหว่างนี้ก็เดินดูชีวิตผู้คน จนเวลา 10.30 นาฬิกา รถตู้ออกจาก บขส. อาเขต มุ่งหน้าปลายทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน
-----
เผลอหลับไปนิดหน่อย รู้สึกตัวเมื่อรถแวะพักข้างทาง มีของพื้นบ้านขาย สิ่งที่แปลกสำหรับผมคือ ลูกเนยหรืออโวกาโด สามกิโลร้อย และพวกต้นไม้ต่างๆ จนเวลาประมาณ 17.00 นาฬิกา เดินทางถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผมเลือกลงที่ป้ายในตลาดใกล้กับธนาคารกรุงไทย สาขาแม่ฮ่องสอน แล้วแบกเป้ ถามชาวบ้านว่า ที่พักเกสต์เฮาส์ส่วนใหญ่อยู่ตรงไหน ซึ่งเดินลงไปไม่ไกล เดินเท้ามาประมาณ 300 เมตร ก็เจอแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกนั้นก็คือ “หนองจองคำ” และเจอวัด ผมจึงเดินเที่ยวก่อน
-----
วัดจองกลาง มีพระธาตุเจดีใหญ่(กองมู)เหลืองอร่าม ภายในวัดมีตุ๊กตาไม้แบบพม่า พระพุทธรูปจากไม้ มีบันทึกบอกว่าเป็นฝีมือช่างพม่าจากมัณฑะเลย์ มาช่วงนี้ไม่มีคน วัดเงียบสงบ
-----
วัดจองคำ อยู่ติดกับวัดจองกลาง เป็นวัดแห่งแรกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน สร้างโดยพญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองซึ่งเป็นชาวไทยใหญ่ มีหลวงพ่อโตศิลปะแบบพม่าขนาดใหญ่อยู่ภายในวัด แม่ฮ่องสอนเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาแต่ศรัทธาในพุทธศาสนา
-----
เวลา 18.00 นาฬิกา หลังแบกเป้เดินเที่ยวรู้สึกเหนื่อย กระเป๋าเป้หนัก หาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งค่าเช่าวันละ 150 บาท มัดจำ 1,000 บาท เมื่อได้ยานพาหนะแล้ว ไปแว้นกัน แต่เดียวๆหาที่พักก่อน
-----
เมื่อขี่รถมอไซต์หาที่พัก เข้าไปสอบถามและตกลงพักที่นี้ครับ “สามหมอกเกสต์เฮาส์” ห้องพัดลม ราคาคืนละ 300 บาท ถือว่าประหยัดเพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่น, wifi และเตียงคู่ เดินไม่ไกลจากในตัวเมือง อยู่หลังหนองจองคำนั้นเอง
เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักแล้วผมก็ขี่มอเตอร์ไซต์ไปหาอะไรกิน แม่ฮ่องสอนพอตกเย็นแล้ว หาของกินยากมากเลยครับ แต่ที่หน้าไปรษณีย์มีของกินอยู่ จึงแวะไป รสชาติอร่อย ถือว่าใช้ได้เลยครับ โดยเฉพาะต้มเลือดหมูและข้าวเปล่า หลังกินข้าวเย็นแล้วก็เข้าที่พัก อาบน้ำนอนพักผ่อน
-----
วันที่ 6 กรกฎาคม 2559
เวลา 07.00 หลังจากตื่นนอนแล้วผมไปหาของกินในตัวเมือง ไปดูวิถีชีวิตผู้คนที่ตลาดสด ซึ่งก็คือตลาดสายหยุด ไปดูวัฒนธรรมของชาวแม่ฮ่องสอน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่ ก็ได้ไปกินอาหารไทยใหญ่ มีลักษณะคล้ายขนมจีนแต่เส้นเหนียวกว่า และน้ำข้นๆ รสชาติอร่อย ใช้ได้ แล้วผมก็เริ่มขับขี่รถจักรยานยนต์เที่ยวรอบเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัด
-----
วัดพระธาตุดอยกองมู ทางขึ้นพระธาตุค่อนข้างซิกแซกไปมา เดินเหนื่อยใช่เล่น แต่ระหว่างทางก็ชวนเพลินกับต้นไม้ใบหญ้า แปลกตา ตั้งใจมาขอพรพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภายในวัดกองมู สวยงามศิลปะแบบพม่าผสมไทยใหญ่ สร้างเมื่อปีพ.ศ.2403 มีสององค์ ภายในบรรจุอัฐิ(กระดูก) ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ อัครวาวกเบื้องขวาและซ้ายของพระพุทธเจ้า ซึ่งนำเข้ามาโดยชาวพม่าชื่อ จองต่องสู่และนางเหล็ก หลังอ่านประวัติแล้วก็ไปนมัสการ ขอพรพระธาตุดอยกองมู ก่อนลงจากดอยเสี่ยงเซียมซี ยกพระเสี่ยงทาย ที่ศาลาหลวงพ่อทันใจ ก่อนขี่มอไซต์ไปเที่ยวต่อ ชีวิตมีอิสรภาพ ดีแบบนี้นี้เอง
-----
อีกมุมนิยมภายในวัดพระธาตุกองมู
-----
เมื่อขับขี่รถมอไซต์ลงมาไม่นาน ก็เจอ รูปปั้นยื่นตะง่าน สง่างาม จึงขี่มอไซต์เข้าไปดู พบว่าเป็นรูปปั้นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอน ชานทะเลหรือพระญาสิงหนาทราชา ซึ่งเป็นชาวไทยใหญ่ที่สร้างบ้านแปลงเมืองจนมีวัฒนธรรมอันดีงาม ไม่รอช้ารีบไหว้ขอพร
-----
แวะเที่ยววัดก้ำก่อ ภายในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน หลังคาอุโบสถวัดนี้ยอมรับว่าสวยจริงๆเพราะการยกเป็นชั้นๆ ประดับด้วยลายชะลุ เหมือนจำลองมาจากสวรรค์กันเลยทีเดียว
-----
วัดพระนอน ไม่แปลกใจทำไมคนที่นี้ถึงจิตใจดี มีธรรมะ เพราะมีวัดวาอารามมากมาย ผมก็เพลิดเพลินเดินไหว้พระ ขอพร ชมศิลปวัฒนธรรมอันงดงาม เดินเข้าวัดไปเรื่อยๆ เจอที่เก็บอัฐิเจ้าเมืองหรือเจ้าฟ้าแม่ฮ่องสอน รู้สึกเย็นๆ ก็เลยรีบเดินกลับ
-----
วัดหัวเวียง ปลูกดอกไม้สีเหลือง(ดอกกระดังงา) ส่งกลิ่นหอมเย็นใจ พาให้เดินชมวัดเพลินมาก เพราะทั้งวิหารสร้างด้วยไม้ ลดลั่นกันลงมาอย่างชัดเจน สังเกตทุกวัดจะมีโบสถ์ พระธาตุ และวิหาร เป็นองค์ประกอบ
-----
วัดปางล้อ ในเมืองแม่ฮ่องสอน วัดนี้มีพระยานาคและสิงห์ ผสมกันอย่างลงตัวและสวยงาม ภายในวัดปลูกดอกไม้หอมหลายชนิด เดินเข้าไปรู้สึกสดชื่นมาก สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลย
-----
พอตกเย็นก็มาเดินเล่นริมสวนสาธารณะ หนองจองคำ ดูชีวิตผู้คน ดูความงดงามของวัดที่สะท้อนหนองน้ำ ช่างเย็นตาเย็นใจเสียนี่กระไร
-----
วันที่ 7 กรกฎาคม 2559
หลังตื่นนอน ทำภารกิจส่วนตัวแล้วผมก็ออกไปหาอะไรกินในตลาด และกินขนมพื้นบ้านของชาวแม่ฮ่องสอน ที่ชื่อแปลกแต่อร่อยมาก กินจนอิ่มแล้วผมก็แว้นมอเตอร์ไซต์ออกนอกเมืองบ้าง เพื่อไปชื่นชมธรรมชาติ ป่าเขาและท้องนา โดยขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไปทางอำเภอปาย ขี่ไปเรื่อย สบายๆ ช้าๆ จนมาถึง
-----
สะพาน ซูตองเป้ สะพานไม้แห่งศรัทธาเมืองสามหมอก สะพานที่ทอดยาวกลางท้องทุ่งนา ยามหน้าฝนเช่นนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน เสียงสายน้ำไหล ท้องนาสีเขียว ผมเผลอปล่อยอารมณ์ไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ผมช่างมีความสุขเหลือเกินที่ได้มายืนอยู่บนสะพานและเดินทอดน่อง เนิบช้า จนไม่อยากไปที่ไหนต่ออีก
-----
จากนั้นผมก็แว้นรถมอเตอร์ไซต์ขึ้นบนดอย ปางอุ๋ง ขี่รถไปเรื่อยๆ สบายๆ แต่หนทางค่อนข้างชันเอาเรื่อง คดโค้งและหวาดเสียว ทำเอาผมตื่นเต้นตลอดเวลา แต่ได้รางวัลคืออากาศเย็นสบาย ทิวทัศน์ที่งดงาม และสายหมอกที่ล่องลอยเป็นเพื่อน ขี่มาจนถึงปางอุ๋ง ซึ่งสวยงามเหมือนในรูปไม่มีผิด ต่างกันตรงที่หน้าฝนไม่มีคนเท่านั้นเอง หลังนั่งลงมองดูทิวสน สายน้ำ และหงส์ที่ลอยอยู่กลางน้ำแล้ว ผมก็ขับรถจักรยานยนต์ต่อไปยังที่หมู่บ้านรักไทย
-----
ระหว่างทางขึ้นหมู่บ้านรักไทย ทำเอาผมตาค้างตลอด เพราะความสวยงามของธรรมชาติ ชีวิตผู้คน การทำนาขั้นบันได จนต้องแวะถ่ายรูปตลอดทาง ทำไงได้ละครับ อยากเก็บภาพแห่งความทรงจำไว้นานๆ
-----
เมื่อถึงหมู่บ้านรักไทย ก็เกิดอาการเหนื่อย ประกอบกับหิว จึงได้แวะหาอะไรกิน ยำยอดใบชาพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และน้ำชาที่หอมชื่นใจ หลังจากเดินชมวิว ทิวทัศน์ รอบหมู่บ้านรักไทย เดินซื้อชาของฝากแล้ว ผมก็ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับที่พัก นำรถจักรยานยนต์ไปคืนก่อนเวลา 18.00 นาฬิกา แล้วเดินเข้าที่พักอาบน้ำนอนพักผ่อน
-----
วันที่ 8 กรกฎาคม 2559
หลังจากตื่นขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าและโบกมือลาแม่ฮ่องสอนแล้ว ผมก็นั่งรถบัส แม่ฮ่องสอน-แม่สะเรียง-เชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงถึงเชียงใหม่แล้วนั่งรถไฟกลับกรุงเทพเวลา 18.00 นาฬิกา สิ้นสุดการเดินทาง
แบกเป้ คนเดียว เที่ยวแม่ฮ่องสอน ยามหน้าฝน
ผมไม่อยากรอให้อะไรพร้อมก่อนแล้วค่อยเที่ยว เพราะเวลานั้นจะไม่มีวันมาถึง ในเมื่อร่างกายผมพร้อม หัวใจเต็มที่แล้ว ผมก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ไปยังดินแดนที่ไม่เคยไป ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ผมไม่ได้คิด เอาเป็นว่าเที่ยวให้ประหยัดที่สุดเท่านั้นพอ เมื่อคิดได้แบบนี้ก็แบกเป้ พร้อมรองเท้าผ้าใบ ผมใช้โทรศัพท์ไอโฟน 5s นี้หละเป็นที่เก็บบันทึกภาพแห่งความประทับใจระหว่างทาง ส่วนอารมณ์และความรู้สึกนั้น เราเก็บไว้ได้ในใจอยู่แล้วครับ เมื่อพร้อมแล้ว ไปเที่ยวกัน
เวลา 09.30 นาฬิกา ออกเดินทางจากที่พัก โดยใช้รถเมย์สาย 113 มีนบุรี – หัวลำโพง วันจันทร์คนเยอะนิดหน่อย ทริปนี้ปลายทางแม่ฮ่องสอน เที่ยวหน้าฝน คนเดียว ก็ฟินได้ น่าจะได้ขึ้นรถไฟฟรี ขบวน 109 กรุงเทพ-เชียงใหม่ เวลา 13.45 นาฬิกา ชีวิตไม่รีบ มีเวลาเหลือเฟือ
ถึงหัวลำโพงเวลา 11.50 นาฬิกา นำบัตรประชาชนไปรับตั๋วรถไฟฟรี ที่ช่องจำหน่ายตั๋ว ได้รถไฟขบวนกรุงเทพ-เชียงใหม่ รถไฟออกเวลา 13.45 ถึงเชียงใหม่ 04.00 แต่น่าจะถึงเชียงใหม่ 07.00-09.00 ระหว่างนี้เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่า หาอะไรกินให้อิ่มท้อง ชีวิตไม่รีบ ทำอะไรช้าลง มองดูผู้คนรอบข้างให้มากขึ้น
เวลา 13.00 นาฬิกา กินข้าวเสร็จแล้ว ระหว่างรอรถไฟออก เดินถ่ายรูปเล่น อีกบรรยากาศของอีกหนึ่งชีวิต การเดินทางโดยรถไฟสะดวก ปลอดภัย และประหยัด เสียดายระหว่างทางไม่ได้ถ่ายรูปสวยๆไว้ เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์ และนอนหลับ
เวลา 07.30 นาฬิกา รถไฟถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ ผมจึงลงจากรถหาของกิน และอาบน้ำที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ ก่อนนั่งรถสองแถวราคา 40 บาท จากสถานีรถไฟเชียงใหม่ ไปยังสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ หรือที่เขาเรียกกันว่า อาเขต
เวลา 09.00 นาฬิกา ไปซื้อตั๋วรถตู้ของบริษัทเปรมประชา เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน (เส้นทางปาย) ราคาตั๋ว 250 บาท รถตู้ออกเวลา 10.30 นาฬิกา ระหว่างนี้ก็เดินดูชีวิตผู้คน จนเวลา 10.30 นาฬิกา รถตู้ออกจาก บขส. อาเขต มุ่งหน้าปลายทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เผลอหลับไปนิดหน่อย รู้สึกตัวเมื่อรถแวะพักข้างทาง มีของพื้นบ้านขาย สิ่งที่แปลกสำหรับผมคือ ลูกเนยหรืออโวกาโด สามกิโลร้อย และพวกต้นไม้ต่างๆ จนเวลาประมาณ 17.00 นาฬิกา เดินทางถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผมเลือกลงที่ป้ายในตลาดใกล้กับธนาคารกรุงไทย สาขาแม่ฮ่องสอน แล้วแบกเป้ ถามชาวบ้านว่า ที่พักเกสต์เฮาส์ส่วนใหญ่อยู่ตรงไหน ซึ่งเดินลงไปไม่ไกล เดินเท้ามาประมาณ 300 เมตร ก็เจอแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกนั้นก็คือ “หนองจองคำ” และเจอวัด ผมจึงเดินเที่ยวก่อน
วัดจองกลาง มีพระธาตุเจดีใหญ่(กองมู)เหลืองอร่าม ภายในวัดมีตุ๊กตาไม้แบบพม่า พระพุทธรูปจากไม้ มีบันทึกบอกว่าเป็นฝีมือช่างพม่าจากมัณฑะเลย์ มาช่วงนี้ไม่มีคน วัดเงียบสงบ
วัดจองคำ อยู่ติดกับวัดจองกลาง เป็นวัดแห่งแรกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน สร้างโดยพญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองซึ่งเป็นชาวไทยใหญ่ มีหลวงพ่อโตศิลปะแบบพม่าขนาดใหญ่อยู่ภายในวัด แม่ฮ่องสอนเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาแต่ศรัทธาในพุทธศาสนา
เวลา 18.00 นาฬิกา หลังแบกเป้เดินเที่ยวรู้สึกเหนื่อย กระเป๋าเป้หนัก หาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งค่าเช่าวันละ 150 บาท มัดจำ 1,000 บาท เมื่อได้ยานพาหนะแล้ว ไปแว้นกัน แต่เดียวๆหาที่พักก่อน
เมื่อขี่รถมอไซต์หาที่พัก เข้าไปสอบถามและตกลงพักที่นี้ครับ “สามหมอกเกสต์เฮาส์” ห้องพัดลม ราคาคืนละ 300 บาท ถือว่าประหยัดเพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่น, wifi และเตียงคู่ เดินไม่ไกลจากในตัวเมือง อยู่หลังหนองจองคำนั้นเอง
เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักแล้วผมก็ขี่มอเตอร์ไซต์ไปหาอะไรกิน แม่ฮ่องสอนพอตกเย็นแล้ว หาของกินยากมากเลยครับ แต่ที่หน้าไปรษณีย์มีของกินอยู่ จึงแวะไป รสชาติอร่อย ถือว่าใช้ได้เลยครับ โดยเฉพาะต้มเลือดหมูและข้าวเปล่า หลังกินข้าวเย็นแล้วก็เข้าที่พัก อาบน้ำนอนพักผ่อน
เวลา 07.00 หลังจากตื่นนอนแล้วผมไปหาของกินในตัวเมือง ไปดูวิถีชีวิตผู้คนที่ตลาดสด ซึ่งก็คือตลาดสายหยุด ไปดูวัฒนธรรมของชาวแม่ฮ่องสอน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่ ก็ได้ไปกินอาหารไทยใหญ่ มีลักษณะคล้ายขนมจีนแต่เส้นเหนียวกว่า และน้ำข้นๆ รสชาติอร่อย ใช้ได้ แล้วผมก็เริ่มขับขี่รถจักรยานยนต์เที่ยวรอบเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัด
วัดพระธาตุดอยกองมู ทางขึ้นพระธาตุค่อนข้างซิกแซกไปมา เดินเหนื่อยใช่เล่น แต่ระหว่างทางก็ชวนเพลินกับต้นไม้ใบหญ้า แปลกตา ตั้งใจมาขอพรพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภายในวัดกองมู สวยงามศิลปะแบบพม่าผสมไทยใหญ่ สร้างเมื่อปีพ.ศ.2403 มีสององค์ ภายในบรรจุอัฐิ(กระดูก) ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ อัครวาวกเบื้องขวาและซ้ายของพระพุทธเจ้า ซึ่งนำเข้ามาโดยชาวพม่าชื่อ จองต่องสู่และนางเหล็ก หลังอ่านประวัติแล้วก็ไปนมัสการ ขอพรพระธาตุดอยกองมู ก่อนลงจากดอยเสี่ยงเซียมซี ยกพระเสี่ยงทาย ที่ศาลาหลวงพ่อทันใจ ก่อนขี่มอไซต์ไปเที่ยวต่อ ชีวิตมีอิสรภาพ ดีแบบนี้นี้เอง
อีกมุมนิยมภายในวัดพระธาตุกองมู
เมื่อขับขี่รถมอไซต์ลงมาไม่นาน ก็เจอ รูปปั้นยื่นตะง่าน สง่างาม จึงขี่มอไซต์เข้าไปดู พบว่าเป็นรูปปั้นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอน ชานทะเลหรือพระญาสิงหนาทราชา ซึ่งเป็นชาวไทยใหญ่ที่สร้างบ้านแปลงเมืองจนมีวัฒนธรรมอันดีงาม ไม่รอช้ารีบไหว้ขอพร
แวะเที่ยววัดก้ำก่อ ภายในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน หลังคาอุโบสถวัดนี้ยอมรับว่าสวยจริงๆเพราะการยกเป็นชั้นๆ ประดับด้วยลายชะลุ เหมือนจำลองมาจากสวรรค์กันเลยทีเดียว
วัดพระนอน ไม่แปลกใจทำไมคนที่นี้ถึงจิตใจดี มีธรรมะ เพราะมีวัดวาอารามมากมาย ผมก็เพลิดเพลินเดินไหว้พระ ขอพร ชมศิลปวัฒนธรรมอันงดงาม เดินเข้าวัดไปเรื่อยๆ เจอที่เก็บอัฐิเจ้าเมืองหรือเจ้าฟ้าแม่ฮ่องสอน รู้สึกเย็นๆ ก็เลยรีบเดินกลับ
วัดหัวเวียง ปลูกดอกไม้สีเหลือง(ดอกกระดังงา) ส่งกลิ่นหอมเย็นใจ พาให้เดินชมวัดเพลินมาก เพราะทั้งวิหารสร้างด้วยไม้ ลดลั่นกันลงมาอย่างชัดเจน สังเกตทุกวัดจะมีโบสถ์ พระธาตุ และวิหาร เป็นองค์ประกอบ
วัดปางล้อ ในเมืองแม่ฮ่องสอน วัดนี้มีพระยานาคและสิงห์ ผสมกันอย่างลงตัวและสวยงาม ภายในวัดปลูกดอกไม้หอมหลายชนิด เดินเข้าไปรู้สึกสดชื่นมาก สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลย
พอตกเย็นก็มาเดินเล่นริมสวนสาธารณะ หนองจองคำ ดูชีวิตผู้คน ดูความงดงามของวัดที่สะท้อนหนองน้ำ ช่างเย็นตาเย็นใจเสียนี่กระไร
หลังตื่นนอน ทำภารกิจส่วนตัวแล้วผมก็ออกไปหาอะไรกินในตลาด และกินขนมพื้นบ้านของชาวแม่ฮ่องสอน ที่ชื่อแปลกแต่อร่อยมาก กินจนอิ่มแล้วผมก็แว้นมอเตอร์ไซต์ออกนอกเมืองบ้าง เพื่อไปชื่นชมธรรมชาติ ป่าเขาและท้องนา โดยขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไปทางอำเภอปาย ขี่ไปเรื่อย สบายๆ ช้าๆ จนมาถึง
สะพาน ซูตองเป้ สะพานไม้แห่งศรัทธาเมืองสามหมอก สะพานที่ทอดยาวกลางท้องทุ่งนา ยามหน้าฝนเช่นนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน เสียงสายน้ำไหล ท้องนาสีเขียว ผมเผลอปล่อยอารมณ์ไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ผมช่างมีความสุขเหลือเกินที่ได้มายืนอยู่บนสะพานและเดินทอดน่อง เนิบช้า จนไม่อยากไปที่ไหนต่ออีก
จากนั้นผมก็แว้นรถมอเตอร์ไซต์ขึ้นบนดอย ปางอุ๋ง ขี่รถไปเรื่อยๆ สบายๆ แต่หนทางค่อนข้างชันเอาเรื่อง คดโค้งและหวาดเสียว ทำเอาผมตื่นเต้นตลอดเวลา แต่ได้รางวัลคืออากาศเย็นสบาย ทิวทัศน์ที่งดงาม และสายหมอกที่ล่องลอยเป็นเพื่อน ขี่มาจนถึงปางอุ๋ง ซึ่งสวยงามเหมือนในรูปไม่มีผิด ต่างกันตรงที่หน้าฝนไม่มีคนเท่านั้นเอง หลังนั่งลงมองดูทิวสน สายน้ำ และหงส์ที่ลอยอยู่กลางน้ำแล้ว ผมก็ขับรถจักรยานยนต์ต่อไปยังที่หมู่บ้านรักไทย
ระหว่างทางขึ้นหมู่บ้านรักไทย ทำเอาผมตาค้างตลอด เพราะความสวยงามของธรรมชาติ ชีวิตผู้คน การทำนาขั้นบันได จนต้องแวะถ่ายรูปตลอดทาง ทำไงได้ละครับ อยากเก็บภาพแห่งความทรงจำไว้นานๆ
เมื่อถึงหมู่บ้านรักไทย ก็เกิดอาการเหนื่อย ประกอบกับหิว จึงได้แวะหาอะไรกิน ยำยอดใบชาพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และน้ำชาที่หอมชื่นใจ หลังจากเดินชมวิว ทิวทัศน์ รอบหมู่บ้านรักไทย เดินซื้อชาของฝากแล้ว ผมก็ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับที่พัก นำรถจักรยานยนต์ไปคืนก่อนเวลา 18.00 นาฬิกา แล้วเดินเข้าที่พักอาบน้ำนอนพักผ่อน
หลังจากตื่นขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าและโบกมือลาแม่ฮ่องสอนแล้ว ผมก็นั่งรถบัส แม่ฮ่องสอน-แม่สะเรียง-เชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงถึงเชียงใหม่แล้วนั่งรถไฟกลับกรุงเทพเวลา 18.00 นาฬิกา สิ้นสุดการเดินทาง