วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ การแอบชอบผู้สอนศาสนาครับ (ชาวต่างชาติ ใส่เสื้อเชิตสีขาว ปั่นจักรยาน) ซึ่งผู้ชายคนนี้ตรงสเปคผมอย่างเดียวเลย คือ เป็นฝรั่ง ส่วนหน้าตา รูปร่าง ความสูง ไม่ได้มีความน่าสนใจมากเท่าไหร่ แต่บางทีความรักก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับรูปร่างหน้าตาหรอก
เมื่อ 1 อาทิตย์ก่อน ผมได้ไปพบคนๆนึง ที่หน้าห้างสรรพสินค้า ขอเรียกเขาว่า เอลเดอร์ดี นะครับ เอลเดอร์ดีเป็นชาวอเมริกัน หน้าตาไม่ได้ดีมาก ผิวขาว ตัวอ้วนนิดหน่อย ใส่แว่น เอลเดอร์ดีได้เข้ามาทักทายผม แล้วเรียกผมว่าพี่ ทั้งๆที่ผมน่าจะเด็กกว่าเค้าประมาณ 5-10 ปี เราคุยกันเกี่ยวกับพระเจ้า และเอลเดอร์ดีชวนให้ผมไปโบสถ์ และผมก็สนใจเกี่ยวกับศาสนาคริตส์อยู่แล้ว ผมจึงตอบตกลง แล้วเอลเดอร์ดีก็ขอเบอร์โทรผมไว้
3 วันต่อมา เอลเดอร์ดีโทรมาหาผมและนัดผมให้ไปโบสถ์วันในวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปตามนัด และเจอเอลเดอร์ดียืนอยู่หน้าโบสถ์ แล้วเอลเดอร์ดีก็ขอโทษ ที่วันนั้นเรียกผมว่าพี่ เพราะลืมว่าผมเป็นน้อง เราเข้าไปในโบสถ์ แล้วเอลเดอร์ดีก็เล่าเรื่องราว เกี่ยวกับพระเยซูคริตส์ และเราก็คุยกันนิดหน่อย แต่เอลเดอร์ดีก็ยังคงเรียกผมว่าพี่อยู่ เอลเดอร์ดีเลยถามว่า "ขอเรียกว่า Brother B ได้ไหม" ผมตอบว่าได้ แล้วผมก็ขับรถกลับบ้าน และในคืนวันนั้นเอลเดอร์ดีโทรมาหาผม และบอกให้ผมไปโบสถ์อีกครั้งในวันพรุ่งนี้
ผมไปโบสถ์ และเอลเดอร์ดีทักทายผมด้วยคำว่า "Hey! Brother B" แล้วเอลเดอร์ดีก็ถามเกี่ยวกับเพลงสากล ซึ่งผมชอบเพลงสากลมากๆ เราก็คุยกันว่าชอบนักร้องคนไหนบ้าง แล้วเราก็ชอบนักร้องคนเดียวกัน เราคุยกันสักพัก แล้วทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวาน แค่ผมรู้สึกสนิทกับผู้ชายคนนี้มากขึ้น แล้วเอลเดอร์ดีก็พาผมไปเรียนศาสนากับคนอื่นๆต่อ แล้วหลังจากนั้นก็เล่นกีฬา ผมกลับไปถึงที่บ้าน เอลเดอร์ดีก็ชวนให้ไปโบสถ์อีก เพื่อไปดูพิธีรับบัพติศมา
ผมไปถึงที่โบสถ์ ทุกคนกำลังถ่ายรูปกัน ผมได้แต่มองเอลเดอร์ดีอยู่ห่างๆ ตลอดทั้งวัน เราคุยกันน้อยมากๆในวันนั้น และวันนั้นแหละ ที่ผมรู้สึกรักผู้ชายคนนี้ รักที่เขาคอยสอน รักที่ชวนผมคุย รักที่เขายิ้มตลอดเวลา
วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ เอลเดอร์ดีก็ชวนผมไปโบสถ์อีกเช่นเคย แต่ผมรู้สึกเหมือนไปโบสถ์เพื่อฟังข่าวร้ายมากกว่า เมื่อผมได้รู้ว่า มิสชั่นของเอลเดอร์ดีสำเร็จแล้ว และเอลเอดร์ดีจะได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น (ไม่รู้ว่ามิสชั่นนั้นคือมิสชั่นอะไร) ผมเสียใจมาก คิดอยู่อย่างเดียวว่า "เราเพิ่งรู้จักกัน จะต้องจากกันแล้วหรอ แล้วทำไมต้องมาชอบตอนนี้ด้วย" ผมฟังแต่เพลงเศร้าทั้งวัน กลับบ้านไปก็ร้องไห้ ร้องไห้จนหายใจไม่ออก แต่แล้วก็หยุดร้องไห้ได้ แล้วลุกไปแต่งเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกของผม และผมก็คิดจะส่งคลิปเสียงไปให้เอลเดอร์ดี ในวันที่เขาจะไป
และในวันที่ผมสร้างกระทู้นี้ขึ้นมา ผมเศร้า ผมนอนไม่หลับ คิดถึงแต่หน้าของเอลเดอร์ดี และคิดถึงคำพูดที่เอลเดอร์ดีทักทายผมทุกวัน ผมขับรถไปในที่ๆคิดว่าเอลเดอร์ดีน่าจะพักอาศัยอยู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเอลเดอร์ดีพักที่ไหน จนตอน 8 โมงเช้าผมได้โทรไปหาเอลเดอร์ดี เพื่อถามว่า เอลเดอร์ดีจะได้ย้ายไปจริงๆใช่ไหม และคำตอบคือ ใช่ จะย้ายในวันพุธนี้ตอนเย็น มันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องกล้าหาญมากกว่านี้ ผมต้องคุยกับเอลเดอร์ดีให้มากที่สุด เพราะเหลือเวลาแค่วันพรุ่งตอนเย็นเท่านั้น ที่เราจะได้พบกันอีก แต่เอลเดอร์ดีก็ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง เมื่อเอลเดอร์ดีถามว่า "อาหารที่โบสถ์แซ่บบ่" ประโยคนั้นทำให้ผมยิ้มได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง และมีความสุขมากๆ ที่เราได้คุยกันอีกครั้ง
วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้เจอกันกับเอลเดอร์ดี ผมหวังว่า ผมจะกล้าพูดมากขึ้น ผมจะไม่ทำให้เวลาที่มีไม่กี่ชั่วโมง เป็นแค่การเจอกันครั้งสุดท้าย และหวังว่าเอลเดอร์ดี จะมีความสุขกับสถานที่ใหม่ และสังคมใหม่
******ขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ครับ******
ประสบการณ์การแอบชอบผู้สอนศาสนา
เมื่อ 1 อาทิตย์ก่อน ผมได้ไปพบคนๆนึง ที่หน้าห้างสรรพสินค้า ขอเรียกเขาว่า เอลเดอร์ดี นะครับ เอลเดอร์ดีเป็นชาวอเมริกัน หน้าตาไม่ได้ดีมาก ผิวขาว ตัวอ้วนนิดหน่อย ใส่แว่น เอลเดอร์ดีได้เข้ามาทักทายผม แล้วเรียกผมว่าพี่ ทั้งๆที่ผมน่าจะเด็กกว่าเค้าประมาณ 5-10 ปี เราคุยกันเกี่ยวกับพระเจ้า และเอลเดอร์ดีชวนให้ผมไปโบสถ์ และผมก็สนใจเกี่ยวกับศาสนาคริตส์อยู่แล้ว ผมจึงตอบตกลง แล้วเอลเดอร์ดีก็ขอเบอร์โทรผมไว้
3 วันต่อมา เอลเดอร์ดีโทรมาหาผมและนัดผมให้ไปโบสถ์วันในวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปตามนัด และเจอเอลเดอร์ดียืนอยู่หน้าโบสถ์ แล้วเอลเดอร์ดีก็ขอโทษ ที่วันนั้นเรียกผมว่าพี่ เพราะลืมว่าผมเป็นน้อง เราเข้าไปในโบสถ์ แล้วเอลเดอร์ดีก็เล่าเรื่องราว เกี่ยวกับพระเยซูคริตส์ และเราก็คุยกันนิดหน่อย แต่เอลเดอร์ดีก็ยังคงเรียกผมว่าพี่อยู่ เอลเดอร์ดีเลยถามว่า "ขอเรียกว่า Brother B ได้ไหม" ผมตอบว่าได้ แล้วผมก็ขับรถกลับบ้าน และในคืนวันนั้นเอลเดอร์ดีโทรมาหาผม และบอกให้ผมไปโบสถ์อีกครั้งในวันพรุ่งนี้
ผมไปโบสถ์ และเอลเดอร์ดีทักทายผมด้วยคำว่า "Hey! Brother B" แล้วเอลเดอร์ดีก็ถามเกี่ยวกับเพลงสากล ซึ่งผมชอบเพลงสากลมากๆ เราก็คุยกันว่าชอบนักร้องคนไหนบ้าง แล้วเราก็ชอบนักร้องคนเดียวกัน เราคุยกันสักพัก แล้วทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวาน แค่ผมรู้สึกสนิทกับผู้ชายคนนี้มากขึ้น แล้วเอลเดอร์ดีก็พาผมไปเรียนศาสนากับคนอื่นๆต่อ แล้วหลังจากนั้นก็เล่นกีฬา ผมกลับไปถึงที่บ้าน เอลเดอร์ดีก็ชวนให้ไปโบสถ์อีก เพื่อไปดูพิธีรับบัพติศมา
ผมไปถึงที่โบสถ์ ทุกคนกำลังถ่ายรูปกัน ผมได้แต่มองเอลเดอร์ดีอยู่ห่างๆ ตลอดทั้งวัน เราคุยกันน้อยมากๆในวันนั้น และวันนั้นแหละ ที่ผมรู้สึกรักผู้ชายคนนี้ รักที่เขาคอยสอน รักที่ชวนผมคุย รักที่เขายิ้มตลอดเวลา
วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ เอลเดอร์ดีก็ชวนผมไปโบสถ์อีกเช่นเคย แต่ผมรู้สึกเหมือนไปโบสถ์เพื่อฟังข่าวร้ายมากกว่า เมื่อผมได้รู้ว่า มิสชั่นของเอลเดอร์ดีสำเร็จแล้ว และเอลเอดร์ดีจะได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น (ไม่รู้ว่ามิสชั่นนั้นคือมิสชั่นอะไร) ผมเสียใจมาก คิดอยู่อย่างเดียวว่า "เราเพิ่งรู้จักกัน จะต้องจากกันแล้วหรอ แล้วทำไมต้องมาชอบตอนนี้ด้วย" ผมฟังแต่เพลงเศร้าทั้งวัน กลับบ้านไปก็ร้องไห้ ร้องไห้จนหายใจไม่ออก แต่แล้วก็หยุดร้องไห้ได้ แล้วลุกไปแต่งเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกของผม และผมก็คิดจะส่งคลิปเสียงไปให้เอลเดอร์ดี ในวันที่เขาจะไป
และในวันที่ผมสร้างกระทู้นี้ขึ้นมา ผมเศร้า ผมนอนไม่หลับ คิดถึงแต่หน้าของเอลเดอร์ดี และคิดถึงคำพูดที่เอลเดอร์ดีทักทายผมทุกวัน ผมขับรถไปในที่ๆคิดว่าเอลเดอร์ดีน่าจะพักอาศัยอยู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเอลเดอร์ดีพักที่ไหน จนตอน 8 โมงเช้าผมได้โทรไปหาเอลเดอร์ดี เพื่อถามว่า เอลเดอร์ดีจะได้ย้ายไปจริงๆใช่ไหม และคำตอบคือ ใช่ จะย้ายในวันพุธนี้ตอนเย็น มันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องกล้าหาญมากกว่านี้ ผมต้องคุยกับเอลเดอร์ดีให้มากที่สุด เพราะเหลือเวลาแค่วันพรุ่งตอนเย็นเท่านั้น ที่เราจะได้พบกันอีก แต่เอลเดอร์ดีก็ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง เมื่อเอลเดอร์ดีถามว่า "อาหารที่โบสถ์แซ่บบ่" ประโยคนั้นทำให้ผมยิ้มได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง และมีความสุขมากๆ ที่เราได้คุยกันอีกครั้ง
วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้เจอกันกับเอลเดอร์ดี ผมหวังว่า ผมจะกล้าพูดมากขึ้น ผมจะไม่ทำให้เวลาที่มีไม่กี่ชั่วโมง เป็นแค่การเจอกันครั้งสุดท้าย และหวังว่าเอลเดอร์ดี จะมีความสุขกับสถานที่ใหม่ และสังคมใหม่
******ขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ครับ******