วันนี้จะมาขอ review และแชร์ข้อมูลสำหรับทริปล่าสุดที่ New York ซึ่งทางผมได้มีโอกาสไปทำงาน และเที่ยวถ่ายรูปที่นั่นเป็นเวลา 7 วัน
ยังไงต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ยินดีต้อนรับคำติชม นะครับ
1.การเดินทาง
เดินทางโดยสายการบิน Etihad ซึ่งจะต้องไป transit เครื่องที่ Abu Dhabi
ที่เลือกสายการบินนี้เพราะว่าเช็คแล้วราคาตั๋วถูกที่สุด จองล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน ราคาประมาณ 3หมื่น2พันบาท
ข้อดีอีกอย่างของการกินสายการบิน Etihad คือที่นั่นจะมี US. Preclearance service หรือการเคลียตม. เข้าเมืองล่วงหน้าสำหรับทุก flight ที่บินไป US ทำให้เวลาเครื่องลงที่ JFK, New York เราแค่รอหยิบกระเป๋าและลากเข้าเมืองได้เลย อย่างไรก็ดี Preclearence process ค่อนข้างใช้เวลานาน เพราะฉะนั้นเวลาจอง flight ควรจะมีเวลา transit อย่างน้อยซัก 3-4 ชม. จะได้ไม่รีบร้อนเกินไป
จากสนามบิน เข้าเมือง New York
การเดินทางจากสนามบิน JFK เข้าสู้ตัวเมืองนั้นมี Taxi คอยรอรับที่สนามบินตลอด แต่เท่าที่ผมเช็คข้อมูลจากในเน็ตแล้วค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง คือประมาณ 60-70 USD ไม่รวม troll way และ tip คนขับ
เนื่องจากผมเดินทางคนเดียวและไม่มีตัวหาร จึงเลือกที่จะเดินทางเข้าเมืองโดยรถไฟ ซึ่งที่สนามบินจะมีรถไฟเชื่อมต่อแต่ละ terminal และเชื่อมไปยัง metro เพื่อเดินทางเข้าเมือง เรียกว่า Air train (แนะนำให้โหลด app NYC Metro ซึ่งจะเป็น offline map ใช้วางแผนการเดินทางแต่ละสถานีได้)
ค่าโดยสาร Air train ไปยังสถานีเชื่อมต่อ metro ซึ่งผมเลือกลงที่ Jamaica station นั่นราคาอยู่ที่ 5 USD + อีก 1 USD สำหรับค่าเปิดบัตรใหม่ซึ่งจะต้องซื้อบัตรตอนขาออก จาก Jamaica station สามารถนั่ง metro เชื่อมต่อเข้าเมืองได้หลายสายแล้วแต่ว่าเราพักแถบไหน ซึ่งค่าตั๋ว metro อยู่ที่ 2.5 USD ต่อเที่ยวและ +อีก 1 USD สำหรับค่าเปิดบัตรใหม่ (บัตร Air train และ metro ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้) สำหรับผมซึ่งกะว่าจะต้องใช้ metro ค่อนค้างเยอะเลยซื้อแบบ 7 วันไม่จำกัดเที่ยวซึ่งจะอยู่ที่ราคา 31 USD +อีก 1 USD เป็นค่าบัตร (ตรงนี้ถ้าใครมาคนเดียวและแบกกระเป๋ามาเยอะ อาจจะลำบากนิดนึงเพราะการเดินการโดย metro เข้าเมืองเวลาต้องเปลี่ยนขบวนไปอีกสาย ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงจากชานชรานึง ไปอีกที่นึง ซึ่งบางที่ไม่มีทั้งลิฟท์ และบันไดเลื่อน)
เมือง New York นั้นผังเมืองจะถูกแบ่งออกเป็นบล๊อคๆ โดยแนวนอนจะเรียกว่า Street ไล่จากน้อยสุดไปมากสุดตามล่างขึ้นบน และแนวตั้งจะเรียกว่า avenue ไล่จากน้อยสุดไปมากสุดตามขวาไปซ้าย แต่บางที avenue อาจมีซื่อเฉพาะของมันไม่ไล่ตามเลขเช่น Madison Ave, Lexington Ave
วีธีเดินไม่ให้หลงคือ เราต้องจำที่พักเราให้ได้ ว่าอยู่ Street อะไร Ave อะไร เวลาเริ่มที่จะหลงก็ให้เดินไล่เลข Street จนถึงเลขที่ที่พักเราอยู่ จากนั้นก็เดินตัดไล่ avenue ไปเรื่อยๆก็จะกลับมาที่เดิมได้
2.มุมถ่ายรูป
เนื่องจากทริปนี้มีเวลาจำกัด ผมเลยพยายามที่จะเน้นถ่ายรูป landmark และจุดสำคัญๆของเมือง New York ให้มากที่สุด
สถานที่แรกคือ Grand Central Terminal เป็นสถานีรถไฟใหญ่สุดของเมือง New York ซึ่งคนพลุกพล่าน เต็มได้ด้วยนักท่องเที่ยว จุดถ่ายรูปของที่นี่คือตรงห้องโถงซึ่งจะมีบันไดขึ้นข้างบน เราจะถ่ายมุมสูงจากตรงนี้ได้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะห้ามใช้ขาตั้ง แต่ก็เอากล้องพาดกับขอบราวบันไดเพื่อจะได้เปิด shutter กล้องนานๆ เห็นความเคลื่อนไหวของผู้คน
Grand Central Terminal ทีพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว
สถานที่ถัดมาคือต้องการมาถ่ายวิวสะพาน Manhattan
ต้องนั่ง metro downtown มาที่ฝั่ง Brooklyn โดยลงที่สถานี High Street เดินเปิด google map ตามสถานที่ชื่อ “Dumbo” จุดนี้เราจะเจอวิวสะพาน Manhattan อยู่ตรงกลางระหว่างตึกพอดี เป็นมุมยอดฮิตที่เห็นได้ตามนิตยสาร และ postcard
Manhattan bridge view from Dumbo.
อีกรูป ใช้ tele ถ่านเจาะเข้าไปครับ
ขาวดำมั่ง^^
สถานที่ถ่ายรูปถัดไปนั้นอยู่ใกล้ๆกับ Dumbo เลยคือ Brooklyn bridge park ตรงที่เราสามารถที่จะถ่ายวิวเกาะ Manhattan พร้อมตึกสำคัญต่างๆได้ มีมุมให้เลือกถ่ายรูปค่อนข้างเยอะทีเดียว
มุมแรก เป็นมุมมหาชนเลยก็ว่าได้ เดินมาทางซ้ายจนสุดเขตของสวนสาธารณะจะเจอกับทางเดินริมน้ำซึ่งลงไปถ่ายรูปได้ จุดเด่นของมุมนี้คือจะมีตอไม้เป็นฉลากหน้า พร้อมกับฉลากหลังที่เป็นวิวของตึกฝั่ง Manhattan
เนื่องจากถ่ายก่อนช่วงฟ้ามืด จึงต้องใช้ ND 0.9 แบบเต็มแผ่นเพื่อที่จะได้เปิด shutterได้นาน ให้น้ำดูนุ่มขึ้น
เดินถัดออกมาอีกนิดก็ยังมีวิว Manhattan ริมน้ำให้ถ่ายได้อีกเรื่อยๆ ทั้งก่อนช่วงพระอาทิตย์ตก และช่วง twilight
NYC Skyline.
อีกมุมถ่ายรูปนึง ยังคงอยู่แถวๆ Brooklyn bridge park แต่จะอยู่เยื้องมาทางขวาของสะพาน Brooklyn ตรงนี้จะมีสวนสารณะเล็กๆอีกที่นึง ชื่อว่า Main Street Park
ที่นี่จะมีลานนั่งชมวิว และมีมุมที่สามารถถ่ายรูปตึกจากฝั่ง Manhattan พร้อมกับ สะพาน Brooklyn ได้
รูปนี้ใช้ 70-200 ถ่ายเจาะเข้าไป ^^
อีกมุมสำหรับการถ่ายรูปที่พลาดไม่ได้เลย คือวิวมุมสูงของเมือง New York ที่ Top of The Rock observation deck ซึ่งอยู่ที่ตึก Rockefeller Center วิวมุมสูงของตึกนี้เรียกได้ว่าเด็ดสุดเลย
ผมใช้วิธีการเดินเท้าจากที่พักมาที่ตึกนี้ตามเส้น 5th AV ระหว่างทางสามารถแวะไปถ่ายรูปที่ St. Patrick ‘s Cathedral ก่อนก็ได้ เพราะว่าอยู่ใกล้กันมากๆ
St. Patrick ‘s Cathedral
การขึ้นไปถ่ายรูปที่ Top of The Rock observation deck แนะนำให้มาก่อนช่วงพระอาทิตย์ตกซักชั่วโมง จะได้เก็บภาพทั้งช่วงที่ยังมีแสง และช่วง twilight แนะนำให้มาจองมุมกันก่อนเพราะว่าช่วงพระอาทิตย์ตกคนจะมาเยอะมาก อาจไม่ได้มุมที่ต้องการ
การขึ้นตึกเราต้องซื้อตั๋วจากทาง plaza ด้านล่างราคา 32 USD หรือถ้าใครอยากประหยัดสามารถซื้อล่วงหน้าผ่าน website น่าจะอยู่ที่ประมาณ 20 USD ปลายๆ
NYC, From Top of The Rock
ฟ้าเริ่มมืดขึ้นมาอีกนิด ที่นี่ห้ามใช้ขาตั้งกล้องนะครับ T^T
วิวอีกฝั่งนึงจะเห็น Central Park ครับ
กล้องเอาไว้ส่องชมวิวเมือง
3. แหล่ง shopping
เรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยถนัดนักแต่ด้วยความที่ว่ามีเพื่อนๆฝากหิ้วของกลับไปเลยได้มีโอกาสเดินสำรวจบ้าง ที่ New York จะมี shop แบรนต่างๆมากมาย ซึ่งหลักๆจะอยู่เส้น 5th Ave ไม่ว่าจะเป็น Apple Store, NBA Store, Barneys New York และ อื่นๆ ส่วนห้างๆใหญ่ๆที่นั่นก็จะมีห้าง Macy’s ซึ่งอยู่เส้น 7th Ave ใกล้ๆกับตึก Empire State สิ่งสำคัญก็ซื้อของคือต้องคำณวณราคาให้ดีเพราะว่าที่ New York จะมี sales tax 8.875% ซึ่งไม่ได้รวมไว้ในราคาตามป้ายสินค้า
Time Square
Trump Tower..
4.สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ไม่ร่วมการ shopping ดังนี้ครับ
ค่าตั๋วเครื่องบิน Etihad airway = 32,155 THB
ค่าที่พัก (Pod 39 Hotel) 6 คืนทั้งหมด 955 USD+sales tax 8.875% = 1,039.75 USD ตกประมาณ 36,391.46 THB
ค่ารถไฟ Air Train ขาไป และขากลับ 6 USD (1 USD ค่าเปิดบัตรใหม่ตอนขามา) + 5 USD = 11 USD หรือ 385 THB
ค่าบัตร metro 7วัน ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว 32 USD หรือ 1,120 THB
ค่าอาหารกินถูกแพงสลับกันบ้าง ถูกสุดคือ hotdog ข้างทางชิ้นละ 2 USD กลางๆหน่อยก็จะเป็นอาหารจีน 6-8 USD และแพงสุดคือพวก steak ต่างๆ ตกจานละ 13-15 USD
ขอบจบการ Review ไว้เพียงเท่านี้ครับ ถ้าข้อมูลขาดตก บกพร่องยังไงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ^__^
อุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพ
Nikon D800
lens: 20F1.8, 28F 1.8, Tamron 70-200 VC
Cityscape photos: แชร์ข้อมูล และมุมถ่ายภาพ Big Apple, New York City...
ยังไงต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ยินดีต้อนรับคำติชม นะครับ
1.การเดินทาง
เดินทางโดยสายการบิน Etihad ซึ่งจะต้องไป transit เครื่องที่ Abu Dhabi
ที่เลือกสายการบินนี้เพราะว่าเช็คแล้วราคาตั๋วถูกที่สุด จองล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน ราคาประมาณ 3หมื่น2พันบาท
ข้อดีอีกอย่างของการกินสายการบิน Etihad คือที่นั่นจะมี US. Preclearance service หรือการเคลียตม. เข้าเมืองล่วงหน้าสำหรับทุก flight ที่บินไป US ทำให้เวลาเครื่องลงที่ JFK, New York เราแค่รอหยิบกระเป๋าและลากเข้าเมืองได้เลย อย่างไรก็ดี Preclearence process ค่อนข้างใช้เวลานาน เพราะฉะนั้นเวลาจอง flight ควรจะมีเวลา transit อย่างน้อยซัก 3-4 ชม. จะได้ไม่รีบร้อนเกินไป
จากสนามบิน เข้าเมือง New York
การเดินทางจากสนามบิน JFK เข้าสู้ตัวเมืองนั้นมี Taxi คอยรอรับที่สนามบินตลอด แต่เท่าที่ผมเช็คข้อมูลจากในเน็ตแล้วค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง คือประมาณ 60-70 USD ไม่รวม troll way และ tip คนขับ
เนื่องจากผมเดินทางคนเดียวและไม่มีตัวหาร จึงเลือกที่จะเดินทางเข้าเมืองโดยรถไฟ ซึ่งที่สนามบินจะมีรถไฟเชื่อมต่อแต่ละ terminal และเชื่อมไปยัง metro เพื่อเดินทางเข้าเมือง เรียกว่า Air train (แนะนำให้โหลด app NYC Metro ซึ่งจะเป็น offline map ใช้วางแผนการเดินทางแต่ละสถานีได้)
ค่าโดยสาร Air train ไปยังสถานีเชื่อมต่อ metro ซึ่งผมเลือกลงที่ Jamaica station นั่นราคาอยู่ที่ 5 USD + อีก 1 USD สำหรับค่าเปิดบัตรใหม่ซึ่งจะต้องซื้อบัตรตอนขาออก จาก Jamaica station สามารถนั่ง metro เชื่อมต่อเข้าเมืองได้หลายสายแล้วแต่ว่าเราพักแถบไหน ซึ่งค่าตั๋ว metro อยู่ที่ 2.5 USD ต่อเที่ยวและ +อีก 1 USD สำหรับค่าเปิดบัตรใหม่ (บัตร Air train และ metro ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้) สำหรับผมซึ่งกะว่าจะต้องใช้ metro ค่อนค้างเยอะเลยซื้อแบบ 7 วันไม่จำกัดเที่ยวซึ่งจะอยู่ที่ราคา 31 USD +อีก 1 USD เป็นค่าบัตร (ตรงนี้ถ้าใครมาคนเดียวและแบกกระเป๋ามาเยอะ อาจจะลำบากนิดนึงเพราะการเดินการโดย metro เข้าเมืองเวลาต้องเปลี่ยนขบวนไปอีกสาย ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงจากชานชรานึง ไปอีกที่นึง ซึ่งบางที่ไม่มีทั้งลิฟท์ และบันไดเลื่อน)
เมือง New York นั้นผังเมืองจะถูกแบ่งออกเป็นบล๊อคๆ โดยแนวนอนจะเรียกว่า Street ไล่จากน้อยสุดไปมากสุดตามล่างขึ้นบน และแนวตั้งจะเรียกว่า avenue ไล่จากน้อยสุดไปมากสุดตามขวาไปซ้าย แต่บางที avenue อาจมีซื่อเฉพาะของมันไม่ไล่ตามเลขเช่น Madison Ave, Lexington Ave
วีธีเดินไม่ให้หลงคือ เราต้องจำที่พักเราให้ได้ ว่าอยู่ Street อะไร Ave อะไร เวลาเริ่มที่จะหลงก็ให้เดินไล่เลข Street จนถึงเลขที่ที่พักเราอยู่ จากนั้นก็เดินตัดไล่ avenue ไปเรื่อยๆก็จะกลับมาที่เดิมได้
2.มุมถ่ายรูป
เนื่องจากทริปนี้มีเวลาจำกัด ผมเลยพยายามที่จะเน้นถ่ายรูป landmark และจุดสำคัญๆของเมือง New York ให้มากที่สุด
สถานที่แรกคือ Grand Central Terminal เป็นสถานีรถไฟใหญ่สุดของเมือง New York ซึ่งคนพลุกพล่าน เต็มได้ด้วยนักท่องเที่ยว จุดถ่ายรูปของที่นี่คือตรงห้องโถงซึ่งจะมีบันไดขึ้นข้างบน เราจะถ่ายมุมสูงจากตรงนี้ได้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะห้ามใช้ขาตั้ง แต่ก็เอากล้องพาดกับขอบราวบันไดเพื่อจะได้เปิด shutter กล้องนานๆ เห็นความเคลื่อนไหวของผู้คน
Grand Central Terminal ทีพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว
สถานที่ถัดมาคือต้องการมาถ่ายวิวสะพาน Manhattan
ต้องนั่ง metro downtown มาที่ฝั่ง Brooklyn โดยลงที่สถานี High Street เดินเปิด google map ตามสถานที่ชื่อ “Dumbo” จุดนี้เราจะเจอวิวสะพาน Manhattan อยู่ตรงกลางระหว่างตึกพอดี เป็นมุมยอดฮิตที่เห็นได้ตามนิตยสาร และ postcard
Manhattan bridge view from Dumbo.
อีกรูป ใช้ tele ถ่านเจาะเข้าไปครับ
ขาวดำมั่ง^^
สถานที่ถ่ายรูปถัดไปนั้นอยู่ใกล้ๆกับ Dumbo เลยคือ Brooklyn bridge park ตรงที่เราสามารถที่จะถ่ายวิวเกาะ Manhattan พร้อมตึกสำคัญต่างๆได้ มีมุมให้เลือกถ่ายรูปค่อนข้างเยอะทีเดียว
มุมแรก เป็นมุมมหาชนเลยก็ว่าได้ เดินมาทางซ้ายจนสุดเขตของสวนสาธารณะจะเจอกับทางเดินริมน้ำซึ่งลงไปถ่ายรูปได้ จุดเด่นของมุมนี้คือจะมีตอไม้เป็นฉลากหน้า พร้อมกับฉลากหลังที่เป็นวิวของตึกฝั่ง Manhattan
เนื่องจากถ่ายก่อนช่วงฟ้ามืด จึงต้องใช้ ND 0.9 แบบเต็มแผ่นเพื่อที่จะได้เปิด shutterได้นาน ให้น้ำดูนุ่มขึ้น
เดินถัดออกมาอีกนิดก็ยังมีวิว Manhattan ริมน้ำให้ถ่ายได้อีกเรื่อยๆ ทั้งก่อนช่วงพระอาทิตย์ตก และช่วง twilight
NYC Skyline.
อีกมุมถ่ายรูปนึง ยังคงอยู่แถวๆ Brooklyn bridge park แต่จะอยู่เยื้องมาทางขวาของสะพาน Brooklyn ตรงนี้จะมีสวนสารณะเล็กๆอีกที่นึง ชื่อว่า Main Street Park
ที่นี่จะมีลานนั่งชมวิว และมีมุมที่สามารถถ่ายรูปตึกจากฝั่ง Manhattan พร้อมกับ สะพาน Brooklyn ได้
รูปนี้ใช้ 70-200 ถ่ายเจาะเข้าไป ^^
อีกมุมสำหรับการถ่ายรูปที่พลาดไม่ได้เลย คือวิวมุมสูงของเมือง New York ที่ Top of The Rock observation deck ซึ่งอยู่ที่ตึก Rockefeller Center วิวมุมสูงของตึกนี้เรียกได้ว่าเด็ดสุดเลย
ผมใช้วิธีการเดินเท้าจากที่พักมาที่ตึกนี้ตามเส้น 5th AV ระหว่างทางสามารถแวะไปถ่ายรูปที่ St. Patrick ‘s Cathedral ก่อนก็ได้ เพราะว่าอยู่ใกล้กันมากๆ
St. Patrick ‘s Cathedral
การขึ้นไปถ่ายรูปที่ Top of The Rock observation deck แนะนำให้มาก่อนช่วงพระอาทิตย์ตกซักชั่วโมง จะได้เก็บภาพทั้งช่วงที่ยังมีแสง และช่วง twilight แนะนำให้มาจองมุมกันก่อนเพราะว่าช่วงพระอาทิตย์ตกคนจะมาเยอะมาก อาจไม่ได้มุมที่ต้องการ
การขึ้นตึกเราต้องซื้อตั๋วจากทาง plaza ด้านล่างราคา 32 USD หรือถ้าใครอยากประหยัดสามารถซื้อล่วงหน้าผ่าน website น่าจะอยู่ที่ประมาณ 20 USD ปลายๆ
NYC, From Top of The Rock
ฟ้าเริ่มมืดขึ้นมาอีกนิด ที่นี่ห้ามใช้ขาตั้งกล้องนะครับ T^T
วิวอีกฝั่งนึงจะเห็น Central Park ครับ
กล้องเอาไว้ส่องชมวิวเมือง
3. แหล่ง shopping
เรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยถนัดนักแต่ด้วยความที่ว่ามีเพื่อนๆฝากหิ้วของกลับไปเลยได้มีโอกาสเดินสำรวจบ้าง ที่ New York จะมี shop แบรนต่างๆมากมาย ซึ่งหลักๆจะอยู่เส้น 5th Ave ไม่ว่าจะเป็น Apple Store, NBA Store, Barneys New York และ อื่นๆ ส่วนห้างๆใหญ่ๆที่นั่นก็จะมีห้าง Macy’s ซึ่งอยู่เส้น 7th Ave ใกล้ๆกับตึก Empire State สิ่งสำคัญก็ซื้อของคือต้องคำณวณราคาให้ดีเพราะว่าที่ New York จะมี sales tax 8.875% ซึ่งไม่ได้รวมไว้ในราคาตามป้ายสินค้า
Time Square
Trump Tower..
4.สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ไม่ร่วมการ shopping ดังนี้ครับ
ค่าตั๋วเครื่องบิน Etihad airway = 32,155 THB
ค่าที่พัก (Pod 39 Hotel) 6 คืนทั้งหมด 955 USD+sales tax 8.875% = 1,039.75 USD ตกประมาณ 36,391.46 THB
ค่ารถไฟ Air Train ขาไป และขากลับ 6 USD (1 USD ค่าเปิดบัตรใหม่ตอนขามา) + 5 USD = 11 USD หรือ 385 THB
ค่าบัตร metro 7วัน ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว 32 USD หรือ 1,120 THB
ค่าอาหารกินถูกแพงสลับกันบ้าง ถูกสุดคือ hotdog ข้างทางชิ้นละ 2 USD กลางๆหน่อยก็จะเป็นอาหารจีน 6-8 USD และแพงสุดคือพวก steak ต่างๆ ตกจานละ 13-15 USD
ขอบจบการ Review ไว้เพียงเท่านี้ครับ ถ้าข้อมูลขาดตก บกพร่องยังไงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ^__^
อุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพ
Nikon D800
lens: 20F1.8, 28F 1.8, Tamron 70-200 VC