สวัดดีครับ ผมเพิ่งมีประสบการณ์ในการยื่นวีซ่าอเมริกาครั้งแรก
เลยจะขอมาเล่าสู่ประสบการณ์ให้เพื่อนๆในห้อง blueplanet ฟังกันครับ
เริ่มต้นคือผมกับภรรยา จะไปเที่ยว NYC ช่วง 23 ธันวา 59 - 3 มกรา 60 กัน
เพราะบังเอิญไปเจอตั๋วของสายการบิน China Southern ราคา 24,730 บาทต่อคน
เพื่อไม่ให้สายการบินเสียใจ ที่ออกโปรโมชั่นมา เราก็เลยซื้อทันทีครับ
(จริงๆตั้งใจจะไปตอนสงกรานต์ปีหน้า แต่ค่าตั๋ว 34,000 บาท เลยเปลี่ยนใจไปปีใหม่ดีกว่า)
พอซื้อตั๋วเสร็จเท่านั้นแหละ ......
เราจะขอวีซ่าผ่านหรือเปล่านะ !!!!!
ขั้นตอนต่อจากนั้นก็วางโปรแกรมเที่ยวคร่าวๆ จองโรงแรม จองรถเช่า ซื้อประกันภัย
จริงๆก็ยังไม่ต้องมีก็ได้นะครับ แต่ของผมจองแบบ Cancellation Free ก็เลยโอเค
สำรองไว้เผื่อเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์สอบถามอะไร จะได้มีข้อมูลให้ครบทุกอย่าง
จากนั้นก็เข้า Website "
http://www.ustraveldocs.com/th/" เพื่อยื่นขอวีซ่า
อันนี้จะขอไม่รีวิวก็เเล้วกัน เพราะมีเพื่อนๆพูดถึงกันเยอะเเล้ว
แต่สำหรับผมก็มีส่วนของคำถามที่แตกต่างจากของคุณภรรยาเยอะเหมือนกัน
นึกว่าจะไม่ได้วีซ่าเพราะผมนี่เเหละ บังเอิญว่าทำงานรักษาคนไข้ เเละเคยเป็นทหารมาก่อน
คำถามเลยเยอะมาก เช่น เรียนจบที่ไหน ต่อเฉพาะทางรึป่าว เมื่อไหร่ ถึงเมื่อไหร่ ....
เป็นทหารอะไร ตำแหน่งอะไร เคยยุ่งเกี่ยวกับระเบิดมาก่อนหรือไม่ .... จะถามไรนักหนา 5555
หลังจากนัดวันสัมภาษณ์เสร็จ ก็ไปขอเอกสารทางการเงินจากธนาคารครับ
อันนี้ผมเซ็งคุณภรรยามาก แอบบอกก่อนว่า ....................
ผู้ชายจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องให้คุณภรรยาเป็นผู้ดูแลสมุดบัญชีนะครับ
ผมเลยไม่รู้ว่า ผมมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ยังไง
ผมไปยื่นขอเอกสารรับรองฐานะทางการเงิน เข้าใจว่าเค้าจะเฉลี่ยยอดเงิน 6 เดือนย้อนหลัง
ซึ่งถ้าต้องการแบบนั้นต้องบอกธนาคารว่าขอหนังสือรับรอง Statement นะครับ
และบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะไปยื่นวีซ่าอเมริกา ระหว่างรอเอกสาร เจ้าหน้าที่ก็เดินไปเดินมาทำเรื่อง
ผมแอบเห็นเจ้าหน้าที่หัวเราะกัน ซึ่งไม่รู้ว่าหัวเราะเรื่องอะไรกัน
จนสุดท้ายพอได้เอกสารมา ก็อ่านเจอว่า คุณมียอดเงินอยู่ 3 digits
เริ่มงงว่าคืออะไร ???? พออ่านต่อเท่านั้นแหละ 3 Digits (23 USD) กด google แทบไม่ทัน
23 USD ~ 860 บาท โอ้ว!!!! แม่เจ้า................ทำไมคุณภรรยาถึงทำกับผมแบบนี้
กดเงินไปเข้าบัญชีตัวเองซะหมดเลย
เข้าใจแล้วใช่มั๊ยครับว่าเจ้าหน้าที่หัวเราะอะไรกัน 5555
สุดท้ายเสียตังค่าขอเอกสารไป 100 บาท แต่ก็ไม่ได้เอาไปยื่นนะครับ Xerox book bank ไปแทน
พอถึงวันนัดสัมภาษณ์ บังเอิญบริษัทที่คุณภรรยาทำงานอยู่ใกล้สถานทูต เลยค่อยๆเดินกันไป
เข้าคิว จะมีเจ้าหน้าที่มาเช็ค passport และเอกสารใบนัดที่แถว และให้บัตรสีฟ้ามา
จากนั้นก็ยื่นให้ รปภ. ที่หน้าประตู เค้าบอกว่าให้หยิบของเหล่านี้ออกมาจากกระเป๋าให้หมด
"โทรศัพท์, Bluetooth, power bank, กุญแจรถ"
พอหยิบออกมาเท่านั้นแหละ รปภ.บอกว่า ไม่รับฝาก
ให้เดินออกไปหาคุณลุงที่ตั้งร่มอยู่เลยตึก all season ไป จะเจอร่มแรกเลย
ให้เอาของไปฝากคุณลุงเอาไว้ ......... เฮ้ย!!!
ถ้าจะไม่รับฝากของพวกนี้ก็บอกไปเลยมั๊ยว่าไม่ต้องเอามา (เหมือนเค้ารับฝากแค่โทรศัพท์เท่านั้นครับ)
ประกาศไว้ใน website ของสถานทูตเลยสิครับ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้
จำใจรับสภาพและเดินออกไปหาคุณลุง คุณลุงคิดค่ารับฝาก 100 บาท
แอบถามลุงว่ามีคนมาฝากวันละกี่คนครับ ลุงบอกประมาณ 30 คน
ได้ยินดังนั้น เกือบจะลาออกจากการรักษาคนไข้ แล้วมาตั้งร่มตัดหน้าลุงซะแล้ว 555
พอฝากเสร็จกลับมา เพื่อนๆไม่ต้องไปเข้าแถวใหม่แล้วนะครับ
ให้เดินไปขึ้นบันไดทางขวามือ แล้วบอก รปภ. ว่าเมื่อกี้ที่ให้ไปฝากของ กลับมาละ
ก็เข้าไปได้ตามปกติ จนถึงด้านใน
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลแถวของการสัมภาษณ์วีซ่า
ผมว่าเค้าจะต้องเคยเป็นกระเป๋ารถเมล์มาก่อนอย่างแน่นอน
เพราะตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดประมาณ 300 ล้านรอบว่า
"ชิดในด้วยค่ะ อย่าเว้นที่ ให้เดินให้ชิดๆกัน"
จะบอกว่าผมไปคิวตอน 8 โมง คนยังไม่ได้เยอะแบบล้นหลามขนาดที่ต้องให้ชิดกันขนาดนั้น
คือ ไม่จำเป็นต้องชิดกันมากนักในความเห็นของผม คนไม่ได้รัก ไม่ได้รู้จักสนิทสนม จะให้ชิดกันไปไหน
By the way, ข้ามมาถึงการสัมภาษณ์ดีกว่า
จะมีเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์ 4 คน มีผู้ชายคนนึงโหดมาก เพราะเราเห็นว่าคนที่สัมภาษณ์ช่องเค้า
ถือ Passport กลับบ้านไปหลายคนละ ภาวนาว่า เราคงไม่เจอคนนนั้นนะ
แต่อย่างที่โบราณบอกไว้ ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ 5555
ผู้ชายคนนี้เป็นฝรั่งที่พูดไทยได้ ก่อนหน้าเรา เค้ามีสัมภาษณ์ชายคนนึง
ที่ขนเอาเอกสารหลักฐานการเงินมาเพียบ บอกว่าคุณอาจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้
อาเป็นเจ้าของบริษัทด้วย บลา บลา บลา .... สุดท้าย ไม่ผ่านครับ
พอถึงคิวผม เค้าก็ถามว่า
1. คุณ 2 คนเป็นอะไรกัน - สามีภรรยาครับ
2. แต่งงานกันมากี่ปีแล้วครับ - เอิ่ม.......คิดนานเลยครับ ทั้งผมและภรรยา
สุดท้ายภรรยาตอบว่า Six ..... ฝรั่งสวนกลับเลยครับ Six Days or Years 555555
ก็ตอบกลับไปว่า Years (รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเลย นายฝรั่งคนนี้ก็ไม่โหดซะหน่อย)
3. เค้าถามผม แต่ไม่ถามภรรยา Can you speak English? ฮือๆๆๆ แปลว่าผมหน้าตาไม่ Inter หรอ ก็ตอบว่า Yes ตามระเบียบ
4. What are you doing? - I'm an opthamologist at .... Hospital
5. คราวนี้ก็กลับมาถามภรรยาผมบ้าง คุณทำงานอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็ตอบไป
6. What's your plan to US? - Travelling to NYC, Boston, Niagara Falls, and DC
7. คุณเคยไปประเทศไหนมาบ้าง - Europe, Japan, South Korea, Indonesia, Russia, and so on.
8. Why u went to Russia? - นึกในใจ จะซวยป่าว แต่ก็ตอบไปว่า Travel and take picture
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า โอเค ผ่าน Bye Bye
สรุปว่าเอกสารที่เตรียมมามากมาย ไม่ขอดูอะไรเลย
จากนั้นอีก 2 วันก็ได้รับ EMS Visa 10 ปีครับทั้ง 2 คน
เพราะฉะนั้นผมบอกเลยว่าตัวเลขในบัญชีไม่สำคัญสำหรับการขอวีซ่าอเมริกา
มันสำคัญตรงที่ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน และมีอาชีพการงานอะไรต่างหาก
และที่สำคัญตอนสัมภาษณ์ให้พูดจาฉะฉาน ชัดเจน มั่นใจ เท่านั้นพอครับ
ยังไงก็ขอให้ทุกคนที่จะไปยื่นวีซ่าโชคดี และเที่ยวให้สนุกนะครับ
[CR] ยื่น Visa อเมริกา ไม่ยากอย่างที่คิด ... @ มิถุนายน 59
เลยจะขอมาเล่าสู่ประสบการณ์ให้เพื่อนๆในห้อง blueplanet ฟังกันครับ
เริ่มต้นคือผมกับภรรยา จะไปเที่ยว NYC ช่วง 23 ธันวา 59 - 3 มกรา 60 กัน
เพราะบังเอิญไปเจอตั๋วของสายการบิน China Southern ราคา 24,730 บาทต่อคน
เพื่อไม่ให้สายการบินเสียใจ ที่ออกโปรโมชั่นมา เราก็เลยซื้อทันทีครับ
(จริงๆตั้งใจจะไปตอนสงกรานต์ปีหน้า แต่ค่าตั๋ว 34,000 บาท เลยเปลี่ยนใจไปปีใหม่ดีกว่า)
พอซื้อตั๋วเสร็จเท่านั้นแหละ ...... เราจะขอวีซ่าผ่านหรือเปล่านะ !!!!!
ขั้นตอนต่อจากนั้นก็วางโปรแกรมเที่ยวคร่าวๆ จองโรงแรม จองรถเช่า ซื้อประกันภัย
จริงๆก็ยังไม่ต้องมีก็ได้นะครับ แต่ของผมจองแบบ Cancellation Free ก็เลยโอเค
สำรองไว้เผื่อเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์สอบถามอะไร จะได้มีข้อมูลให้ครบทุกอย่าง
จากนั้นก็เข้า Website "http://www.ustraveldocs.com/th/" เพื่อยื่นขอวีซ่า
อันนี้จะขอไม่รีวิวก็เเล้วกัน เพราะมีเพื่อนๆพูดถึงกันเยอะเเล้ว
แต่สำหรับผมก็มีส่วนของคำถามที่แตกต่างจากของคุณภรรยาเยอะเหมือนกัน
นึกว่าจะไม่ได้วีซ่าเพราะผมนี่เเหละ บังเอิญว่าทำงานรักษาคนไข้ เเละเคยเป็นทหารมาก่อน
คำถามเลยเยอะมาก เช่น เรียนจบที่ไหน ต่อเฉพาะทางรึป่าว เมื่อไหร่ ถึงเมื่อไหร่ ....
เป็นทหารอะไร ตำแหน่งอะไร เคยยุ่งเกี่ยวกับระเบิดมาก่อนหรือไม่ .... จะถามไรนักหนา 5555
หลังจากนัดวันสัมภาษณ์เสร็จ ก็ไปขอเอกสารทางการเงินจากธนาคารครับ
อันนี้ผมเซ็งคุณภรรยามาก แอบบอกก่อนว่า ....................
ผู้ชายจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องให้คุณภรรยาเป็นผู้ดูแลสมุดบัญชีนะครับ
ผมเลยไม่รู้ว่า ผมมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ยังไง
ผมไปยื่นขอเอกสารรับรองฐานะทางการเงิน เข้าใจว่าเค้าจะเฉลี่ยยอดเงิน 6 เดือนย้อนหลัง
ซึ่งถ้าต้องการแบบนั้นต้องบอกธนาคารว่าขอหนังสือรับรอง Statement นะครับ
และบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะไปยื่นวีซ่าอเมริกา ระหว่างรอเอกสาร เจ้าหน้าที่ก็เดินไปเดินมาทำเรื่อง
ผมแอบเห็นเจ้าหน้าที่หัวเราะกัน ซึ่งไม่รู้ว่าหัวเราะเรื่องอะไรกัน
จนสุดท้ายพอได้เอกสารมา ก็อ่านเจอว่า คุณมียอดเงินอยู่ 3 digits
เริ่มงงว่าคืออะไร ???? พออ่านต่อเท่านั้นแหละ 3 Digits (23 USD) กด google แทบไม่ทัน
23 USD ~ 860 บาท โอ้ว!!!! แม่เจ้า................ทำไมคุณภรรยาถึงทำกับผมแบบนี้
กดเงินไปเข้าบัญชีตัวเองซะหมดเลย เข้าใจแล้วใช่มั๊ยครับว่าเจ้าหน้าที่หัวเราะอะไรกัน 5555
สุดท้ายเสียตังค่าขอเอกสารไป 100 บาท แต่ก็ไม่ได้เอาไปยื่นนะครับ Xerox book bank ไปแทน
พอถึงวันนัดสัมภาษณ์ บังเอิญบริษัทที่คุณภรรยาทำงานอยู่ใกล้สถานทูต เลยค่อยๆเดินกันไป
เข้าคิว จะมีเจ้าหน้าที่มาเช็ค passport และเอกสารใบนัดที่แถว และให้บัตรสีฟ้ามา
จากนั้นก็ยื่นให้ รปภ. ที่หน้าประตู เค้าบอกว่าให้หยิบของเหล่านี้ออกมาจากกระเป๋าให้หมด
"โทรศัพท์, Bluetooth, power bank, กุญแจรถ"
พอหยิบออกมาเท่านั้นแหละ รปภ.บอกว่า ไม่รับฝาก
ให้เดินออกไปหาคุณลุงที่ตั้งร่มอยู่เลยตึก all season ไป จะเจอร่มแรกเลย
ให้เอาของไปฝากคุณลุงเอาไว้ ......... เฮ้ย!!!
ถ้าจะไม่รับฝากของพวกนี้ก็บอกไปเลยมั๊ยว่าไม่ต้องเอามา (เหมือนเค้ารับฝากแค่โทรศัพท์เท่านั้นครับ)
ประกาศไว้ใน website ของสถานทูตเลยสิครับ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้
จำใจรับสภาพและเดินออกไปหาคุณลุง คุณลุงคิดค่ารับฝาก 100 บาท
แอบถามลุงว่ามีคนมาฝากวันละกี่คนครับ ลุงบอกประมาณ 30 คน
ได้ยินดังนั้น เกือบจะลาออกจากการรักษาคนไข้ แล้วมาตั้งร่มตัดหน้าลุงซะแล้ว 555
พอฝากเสร็จกลับมา เพื่อนๆไม่ต้องไปเข้าแถวใหม่แล้วนะครับ
ให้เดินไปขึ้นบันไดทางขวามือ แล้วบอก รปภ. ว่าเมื่อกี้ที่ให้ไปฝากของ กลับมาละ
ก็เข้าไปได้ตามปกติ จนถึงด้านใน
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลแถวของการสัมภาษณ์วีซ่า
ผมว่าเค้าจะต้องเคยเป็นกระเป๋ารถเมล์มาก่อนอย่างแน่นอน
เพราะตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดประมาณ 300 ล้านรอบว่า
"ชิดในด้วยค่ะ อย่าเว้นที่ ให้เดินให้ชิดๆกัน"
จะบอกว่าผมไปคิวตอน 8 โมง คนยังไม่ได้เยอะแบบล้นหลามขนาดที่ต้องให้ชิดกันขนาดนั้น
คือ ไม่จำเป็นต้องชิดกันมากนักในความเห็นของผม คนไม่ได้รัก ไม่ได้รู้จักสนิทสนม จะให้ชิดกันไปไหน
By the way, ข้ามมาถึงการสัมภาษณ์ดีกว่า
จะมีเจ้าหน้าที่สัมภาษณ์ 4 คน มีผู้ชายคนนึงโหดมาก เพราะเราเห็นว่าคนที่สัมภาษณ์ช่องเค้า
ถือ Passport กลับบ้านไปหลายคนละ ภาวนาว่า เราคงไม่เจอคนนนั้นนะ
แต่อย่างที่โบราณบอกไว้ ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ 5555
ผู้ชายคนนี้เป็นฝรั่งที่พูดไทยได้ ก่อนหน้าเรา เค้ามีสัมภาษณ์ชายคนนึง
ที่ขนเอาเอกสารหลักฐานการเงินมาเพียบ บอกว่าคุณอาจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้
อาเป็นเจ้าของบริษัทด้วย บลา บลา บลา .... สุดท้าย ไม่ผ่านครับ
พอถึงคิวผม เค้าก็ถามว่า
1. คุณ 2 คนเป็นอะไรกัน - สามีภรรยาครับ
2. แต่งงานกันมากี่ปีแล้วครับ - เอิ่ม.......คิดนานเลยครับ ทั้งผมและภรรยา
สุดท้ายภรรยาตอบว่า Six ..... ฝรั่งสวนกลับเลยครับ Six Days or Years 555555
ก็ตอบกลับไปว่า Years (รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเลย นายฝรั่งคนนี้ก็ไม่โหดซะหน่อย)
3. เค้าถามผม แต่ไม่ถามภรรยา Can you speak English? ฮือๆๆๆ แปลว่าผมหน้าตาไม่ Inter หรอ ก็ตอบว่า Yes ตามระเบียบ
4. What are you doing? - I'm an opthamologist at .... Hospital
5. คราวนี้ก็กลับมาถามภรรยาผมบ้าง คุณทำงานอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็ตอบไป
6. What's your plan to US? - Travelling to NYC, Boston, Niagara Falls, and DC
7. คุณเคยไปประเทศไหนมาบ้าง - Europe, Japan, South Korea, Indonesia, Russia, and so on.
8. Why u went to Russia? - นึกในใจ จะซวยป่าว แต่ก็ตอบไปว่า Travel and take picture
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า โอเค ผ่าน Bye Bye
สรุปว่าเอกสารที่เตรียมมามากมาย ไม่ขอดูอะไรเลย
จากนั้นอีก 2 วันก็ได้รับ EMS Visa 10 ปีครับทั้ง 2 คน
เพราะฉะนั้นผมบอกเลยว่าตัวเลขในบัญชีไม่สำคัญสำหรับการขอวีซ่าอเมริกา
มันสำคัญตรงที่ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน และมีอาชีพการงานอะไรต่างหาก
และที่สำคัญตอนสัมภาษณ์ให้พูดจาฉะฉาน ชัดเจน มั่นใจ เท่านั้นพอครับ
ยังไงก็ขอให้ทุกคนที่จะไปยื่นวีซ่าโชคดี และเที่ยวให้สนุกนะครับ