หลังจากมีกระทู้ป้องกันโดยใช้อุปกรณ์ประเภทต่างๆไปแล้ว
http://ppantip.com/topic/35342673
ซึ่งกระทู้ก่อนถือว่าเป็นการทู้แนว Active safety คือการรับการเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุ ในกระทู้นี้จะเป็นแนว Passive safety คือเป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เริ่มจากหากถูกคนร้ายประชิดตัวสิ่งที่เราจะต้องเตรียมตัว
ตอนที่ 1
แน่นอนก่อนอะไรทุกอย่างต้องมีสติ การมีสติจะทำให้เราไม่ตระหนกจนไม่สามารถทำอะไรได้ ข้อเท็จจริงที่ต้องตระหนัก คือ ผู้ชายโดยธรรมชาติแข็งแรงกว่าผู้หญิง ดังนั้นอย่าพยายามสู้โดยใช้กำลังเข้าต่อสู้ตรงๆ นอกจากจะเป็นการยั่วยุให้คนร้ายใช้กำลังมากขึ้นหรือเพิ่มระดับความร้ายแรงขึ้นไปอีก สิ่งที่ควรใช้ คือ มารยาหญิง การเอนอ่อนผ่อนตามผู้ร้ายในตอนแรกให้ผู้ร้ายตายใจ ซึ่งจังหวะนี้ผู้หญิงหลายคนอาจต้องเปลืองตัวบ้าง เพราะ เราอาจต้องแสดงกริยาไม่งามว่าเราต้องการเพศสัมพันธ์ุเช่นเดียวกับและให้ใช้คำพูดเพิ่มเติมให้ผู้ร้ายเข้าใจว่าเราอาจมีใจกับเค้าในกรณีที่เป็นบุคคลที่รู้จักกันมาก่อน เพื่อให้ผู้ร้ายตายใจ จังหวะที่คนร้ายวางใจแล้วให้ลองดูคลิป และ ลองฝึกฝน ตามคลิปที่จะลงให้ดู มีอีกมากในยูทูป
ข้างล่างใช้ในกรณีผู้ร้ายถึงตัวเราแล้ว
ส่วนคลิปด้านล่างเป็นประมวลการเอาตัวรอดของผู้หญิงในสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ใช้ได้มีประโยชน์
https://www.youtube.com/watch?v=gAXGRgGSuLk
อันนี้ฮาดีใครกลับบ้านดึกๆทางเปลี่ยวๆลองซื้อมาใส่ดู ... ใช้แล้วเป็นอย่างไรอย่าลืมมารีวิวด้วย
ตอนที่ 2 หลังจากถูกข่มขืน
หากอุปกรณืในกระทู้เก่าและการป้องกันด้านบนไม่สำเร็จผล จนในที่สุดถูกข่มขืน (แล้วรอดมีชีวิตอยู่) สิ่งที่ควรจะทำได้แก่อะไรบ้าง
1. ในระยะแรกให้โทรติดต่อ พ่อแม่ ญาติสนิท เพื่อนสนิท ให้ได้ก่อน หลังจากติดต่อได้แล้วอย่าเผิ่งอาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายในทันที เนื่องจากการที่ถูกข่มขืนคนร้ายจะทิ้ง DNA ไม่ว่าจะอสุจิ ขน ผิวหนัง เศษเนื้อเยื่อ (อาจอยู่ใต้เล็บกรณีมีการต่อสู้) ในรีบไป รพ. หรือ สถานพยาบาลใกล้บ้านในทันที โดยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเกี่ยวกับผู้หญิงซึ่งจะมีบุคลาการที่เข้าใจผู้ประสบเหตุได้ดีกว่า เช่น
* มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี 1134
* มูลนิธิเพื่อนหญิง 02-513-0101
* มูลนิธิผู้หญิง 02-435-1246
* บ้านพักฉุกเฉิน 02-929-2222
2. ป้องกันการตั้งครรภ์ และ การติดเชื้อ HIV สิ่งที่กังวลที่สุดหลังจากการถูกข่มขีน คือ สภาวะจิตใจ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ การตั้งครรภ์
2.1 ยาคุมฉุกเฉิน ควรได้รับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
บทความจาก คณาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ยาคุมฉุกเฉินมีข้อบ่งใช้อย่างไร
ยาคุมฉุกเฉินมีข้อบ่งใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีฉุกเฉิน ขอย้ำว่าใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น คำว่า “ฉุกเฉิน” ในที่นี้หมายความถึง การมีเพศสัมพันธ์ในคู่สามีภรรยา ที่มีการวางแผนครอบครัว และทำการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่เกิดความผิดพลาดจากวิธีคุมกำเนิดที่ใช้ เช่น การรั่วหรือฉีกขาดของถุงยางอนามัย การลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป เป็นต้น หรือใช้ในกรณีผู้หญิงที่ถูกข่มขืน
รับประทานยาคุมฉุกเฉินอย่างไร
ผลิตภัณฑ์ยาคุมฉุกเฉินที่จำหน่ายในประเทศไทย จำหน่ายเป็นกล่อง มียากล่องละ 1 แผง และแต่ละแผงมียาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ด แต่ละเม็ดประกอบด้วยตัวยาที่เป็นฮอร์โมนขนาดสูง คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) เม็ดละ 750 ไมโครกรัม การรับประทานยาที่ถูกต้องคือ รับประทานยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง และจะต้องรับประทานยาเม็ดที่สองหลังจากรับประทานยาเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง หากมีการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยาแต่ละเม็ด ต้องรับประทานยาใหม่ และไม่แนะนำให้รับประทานยาเกิน 4 เม็ด หรือ 2กล่อง ต่อเดือน
การรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ดังกล่าวตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% แต่หากเริ่มยาภายใน 24ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 85% ดังนั้นจึงควรรับประทานยาเม็ดแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ให้เร็วที่สุด มีคำแนะนำด้วยว่า สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ด พร้อมกันในครั้งเดียวได้ โดยที่ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ไม่แตกต่างจากการแบ่งรับประทานเป็น 2 ครั้ง ซึ่งในสหรัฐอเมริกานิยมรูปแบบการรับประทานในครั้งเดียว และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในรูปแบบยาที่มีความแรงเป็น 2 เท่า คือ มีตัวยาลีโวนอร์เจสเตรลเม็ดละ 1.5 มิลลิกรัม การรับประทานเพียงครั้งเดียว จะทำให้เกิดความสะดวกมากกว่าการแบ่งยารับประทาน อย่างไรก็ตามในบางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการรับประทานยาเพียงครั้งเดียวมากกว่าการแบ่งรับประทาน 2 ครั้ง
มีความเข้าใจว่า ใช้ยาคุมฉุกเฉินเพื่อคุมกำเนิดระยะยาวได้ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง หากสามีภรรยาที่ยังไม่พร้อมมีบุตรแต่ต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว มีวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่าเช่น การรับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ด โดยรับประทานทุกวันวันละ 1 เม็ด นอกจากนี้ การรับประทานยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำจะพบอาการข้างเคียงสูง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย รวมทั้งพบความเสี่ยงในการเกิดอุบัติการณ์การตั้งครรภ์นอกมดลูกเพิ่มขึ้น มีความเข้าใจว่า ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาทำแท้ง ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด ยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เท่านั้น นั่นคือต้องได้ยาเข้าไปในร่างกายก่อนที่จะมีการฝังตัวของไข่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก เแต่หากไข่ที่ผสมกับอสุจิได้ฝังตัวที่ผนังมดลูกไปแล้ว ยานี้จะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น ยานี้จึงไม่ใช่ยาทำแท้ง มีความเข้าใจว่า ยาคุมฉุกเฉินป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด การใช้ยาคุมฉุกเฉินนั้นไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่สามารถคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ มีความเข้าใจว่า ยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้ทารกพิการได้หากรับประทานไปโดยไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้มีรายงานว่า ไม่พบทารกพิการจากมารดาที่รับประทานยาโดยไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
ตัวยาลีโวนอร์เจสเตรลที่อยู่ในยาคุมฉุกเฉิน เมื่อรับประทานเข้าไปจะมีผลรบกวนกระบวนการตกไข่ รบกวนการที่อสุจิจะว่ายเข้าไปผสมกับไข่ รวมทั้งส่งผลเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อทำให้ยากแก่การฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้ว การรับประทานยาคุมฉุกเฉินจึงไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตั้งครรภ์ แต่เป็นเพียงแค่การไปลดโอกาสตั้งครรภ์ลงจากเดิม ดังนั้นระยะเวลาที่เริ่มรับประทานยาจึงส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาในการคุมกำเนิดด้วย โดยพบว่าระยะเวลาระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับการรับประทานยาเม็ดแรกที่นานขึ้น จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดลดลง
เนื่องจากยาออกฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้วฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นหากมีการฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิที่ผนังมดลูกไปแล้วค่อยรับประทานยา ยาที่รับประทานเข้าไป ก็จะไม่สามารถเข้าไปป้องกันการตั้งครรภ์ และไม่สามารถทำให้เกิดการแท้งได้ นอกจากนั้นประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉิน สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในแต่ละครั้งของการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้วางแผนไว้เท่านั้น แต่ยาไม่มีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ไปตลอดรอบเดือนที่เหลือ ดังนั้นระหว่างรอบเดือนที่เหลือ จึงควรมีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วย
ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้ยาคุมฉุกเฉินมักเป็นอาการที่ไม่รุนแรง ได้แก่ ปวดท้อง มีเลือดออกกะปริดกะปรอย ประจำเดือนมาเร็วหรือช้ากว่าปกติ อาการข้างเคียงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา การรับประทานในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แต่การใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ นอกจากประสิทธิภาพที่ด้อยกว่า เมื่อเทียบกับการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติชนิดเม็ดแล้ว ยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกถึง 2% เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยานี้จึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้รับประทานเกิน 4 เม็ด หรือ 2 กล่อง ต่อเดือน
หลังจากรับประทานยาคุมฉุกเฉินแล้ว
โดยทั่วไปจะมีประจำเดือนหลังจากรับประทานยาภายในเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ (หากไม่มี ให้สงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์) หลังจากนั้นประจำเดือนของรอบเดือนนั้นจะมาในช่วงเวลาเดิม ในบางรายอาจพบประจำเดือนรอบต่อไปมาช้าหรือเร็วกว่าปกติได้
Ref:
http://goo.gl/2BOfms
2.2 ยาต้านไวรัส HIV ควรได้รับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
ที่มาบทความและคลิปจาก Adamslove
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1. PEP (เป๊ป) PEP ย่อมาจาก Post -Exposure Prophylaxis คือ ยาต้านไวรัส ที่จ่ายให้ทันทีที่คนไข้เพิ่งไปสัมผัสเชื้อเอชไอวีมา เหตุผลที่ต้องทานยานี้ให้เร็วที่สุด ก็เพื่อให้ยาเข้าไปต่อสู้กับเชื้อไวรัส และให้คนไข้สร้างระบบภูมิคุ้มกันที่จะสามารถป้องกัน เอชไอวี ก่อนที่เชื้อจะแพร่ในคนนั้นๆ ดังนั้น การทานยา เป๊ป จึงจำเป็นต้องทานให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ภายในเวลา 72 ชั่วโมง หลังจากสัมผัสเชื้อมา การทานยาหลังจากเวลาดังกล่าว หรือทิ้งไว้นานก็จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาไม่ได้ผล
การรับประทานยา เป็ป (PEP) จะต้องทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน และทานยาต้านไวรัสประกอบกัน 2-3 ชนิด ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับผู้มีเชื้อเอชไอวี ทว่า ยาต้านไวรัสส่วนมาก มักมีผลข้างเคียง บางรายอาจมีอาการท้องเสีย ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และอิดโรย โดยผลข้างเคียงนี้อาจมีอาการรุนแรงในบางราย จนทำให้หนึ่งในห้าของผู้รับประทานยา หยุดยาไปก่อนที่จะทานครบกำหนด
b) PEP หรือ Post-Exposure Prophylaxis คือ สูตรยาต้านไวรัส สำหรับการลดโอกาสความเสี่ยงในการสร้างไวรัสเอชไอวีในร่างกาย หลังจากที่ร่างกายได้รับการสัมผัสเชื้อเอชไอวีมา จากหลายๆ ความเสี่ยง อาทิ การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรืออุบัติเหตุจากการโดนเข็มฉีดยาตำ เป็นต้น เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด คนไข้จะได้รับการแนะนำให้รับประทานยาต้านไวรัส อย่างเร็วที่สุด ภายในเวลา 72 ชั่วโมง และห้ามมากกว่านั้น โดยการรับประทานยาจะต้องทานให้ครบสูตร คือเป็นเวลาทั้งสิ้น 1 เดือน
Ref:
http://www.adamslove.org/d.php?id=72
2.3 การตรวจเลือด เพื่อตรวจ HIV และ STDs
รายชื่อของสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเอชไอวี/เอดส์ ที่สำนักงานประกันสังคมแต่งตั้งทำงานประจำอยู่ ทั่วประเทศ มีดังต่อไปนี้
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์,โรงพยาบาลชลบุรี,โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่, โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลลำปาง, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น, โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพฯ, โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี, โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราช, สถาบันบำราศนราดูร, โรงพยาบาลสงขลานครินทร์, โรงพยาบาลหาดใหญ่, โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการการแพทย์
นอกจากรายชื่อข้างต้นยังมีคลินิกนิรนาม ข้าง รพ.จุฬา และ Bangrak STIs Center (โรงพยาบาลบางรัก) ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้าน HIV และ STDs และ ยังมีสถานพยาบาลเอกชนลักษณะใหม่ เช่น Bangkok Health Hub ชั้น 3 ตึกสีลม 64 ศาลาแดง ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางและทีมงานจากเก่าจากคลินิกนิรนาม
หวังว่าจะได้ประโยชน์
[กระทู้แนะแนวทาง] **** สิ่งที่ควรทำหากกำลังจะโดนข่มขืนหรือโดนข่มขืนไปแล้ว ****
http://ppantip.com/topic/35342673
ซึ่งกระทู้ก่อนถือว่าเป็นการทู้แนว Active safety คือการรับการเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุ ในกระทู้นี้จะเป็นแนว Passive safety คือเป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เริ่มจากหากถูกคนร้ายประชิดตัวสิ่งที่เราจะต้องเตรียมตัว
ตอนที่ 1
แน่นอนก่อนอะไรทุกอย่างต้องมีสติ การมีสติจะทำให้เราไม่ตระหนกจนไม่สามารถทำอะไรได้ ข้อเท็จจริงที่ต้องตระหนัก คือ ผู้ชายโดยธรรมชาติแข็งแรงกว่าผู้หญิง ดังนั้นอย่าพยายามสู้โดยใช้กำลังเข้าต่อสู้ตรงๆ นอกจากจะเป็นการยั่วยุให้คนร้ายใช้กำลังมากขึ้นหรือเพิ่มระดับความร้ายแรงขึ้นไปอีก สิ่งที่ควรใช้ คือ มารยาหญิง การเอนอ่อนผ่อนตามผู้ร้ายในตอนแรกให้ผู้ร้ายตายใจ ซึ่งจังหวะนี้ผู้หญิงหลายคนอาจต้องเปลืองตัวบ้าง เพราะ เราอาจต้องแสดงกริยาไม่งามว่าเราต้องการเพศสัมพันธ์ุเช่นเดียวกับและให้ใช้คำพูดเพิ่มเติมให้ผู้ร้ายเข้าใจว่าเราอาจมีใจกับเค้าในกรณีที่เป็นบุคคลที่รู้จักกันมาก่อน เพื่อให้ผู้ร้ายตายใจ จังหวะที่คนร้ายวางใจแล้วให้ลองดูคลิป และ ลองฝึกฝน ตามคลิปที่จะลงให้ดู มีอีกมากในยูทูป
ข้างล่างใช้ในกรณีผู้ร้ายถึงตัวเราแล้ว
ส่วนคลิปด้านล่างเป็นประมวลการเอาตัวรอดของผู้หญิงในสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ใช้ได้มีประโยชน์
https://www.youtube.com/watch?v=gAXGRgGSuLk
อันนี้ฮาดีใครกลับบ้านดึกๆทางเปลี่ยวๆลองซื้อมาใส่ดู ... ใช้แล้วเป็นอย่างไรอย่าลืมมารีวิวด้วย
ตอนที่ 2 หลังจากถูกข่มขืน
หากอุปกรณืในกระทู้เก่าและการป้องกันด้านบนไม่สำเร็จผล จนในที่สุดถูกข่มขืน (แล้วรอดมีชีวิตอยู่) สิ่งที่ควรจะทำได้แก่อะไรบ้าง
1. ในระยะแรกให้โทรติดต่อ พ่อแม่ ญาติสนิท เพื่อนสนิท ให้ได้ก่อน หลังจากติดต่อได้แล้วอย่าเผิ่งอาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายในทันที เนื่องจากการที่ถูกข่มขืนคนร้ายจะทิ้ง DNA ไม่ว่าจะอสุจิ ขน ผิวหนัง เศษเนื้อเยื่อ (อาจอยู่ใต้เล็บกรณีมีการต่อสู้) ในรีบไป รพ. หรือ สถานพยาบาลใกล้บ้านในทันที โดยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเกี่ยวกับผู้หญิงซึ่งจะมีบุคลาการที่เข้าใจผู้ประสบเหตุได้ดีกว่า เช่น
* มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี 1134
* มูลนิธิเพื่อนหญิง 02-513-0101
* มูลนิธิผู้หญิง 02-435-1246
* บ้านพักฉุกเฉิน 02-929-2222
2. ป้องกันการตั้งครรภ์ และ การติดเชื้อ HIV สิ่งที่กังวลที่สุดหลังจากการถูกข่มขีน คือ สภาวะจิตใจ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ การตั้งครรภ์
2.1 ยาคุมฉุกเฉิน ควรได้รับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
บทความจาก คณาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Ref: http://goo.gl/2BOfms
2.2 ยาต้านไวรัส HIV ควรได้รับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
ที่มาบทความและคลิปจาก Adamslove
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Ref: http://www.adamslove.org/d.php?id=72
2.3 การตรวจเลือด เพื่อตรวจ HIV และ STDs
รายชื่อของสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเอชไอวี/เอดส์ ที่สำนักงานประกันสังคมแต่งตั้งทำงานประจำอยู่ ทั่วประเทศ มีดังต่อไปนี้
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์,โรงพยาบาลชลบุรี,โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่, โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลลำปาง, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น, โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพฯ, โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี, โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราช, สถาบันบำราศนราดูร, โรงพยาบาลสงขลานครินทร์, โรงพยาบาลหาดใหญ่, โรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการการแพทย์
นอกจากรายชื่อข้างต้นยังมีคลินิกนิรนาม ข้าง รพ.จุฬา และ Bangrak STIs Center (โรงพยาบาลบางรัก) ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้าน HIV และ STDs และ ยังมีสถานพยาบาลเอกชนลักษณะใหม่ เช่น Bangkok Health Hub ชั้น 3 ตึกสีลม 64 ศาลาแดง ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางและทีมงานจากเก่าจากคลินิกนิรนาม
หวังว่าจะได้ประโยชน์