การผ่อนรถ แบบลิสซิ่ง และ แบบบอลลูน นี่มันคืออันเดียวกันรึป่าวคะ? ถ้ามันต่างกัน รบกวนชี้แนะด้วยค่ะ
ปกติเราเคยซื้อรถทั้งในนามบุคคล และในนามนิติบุคคล (มีกิจการส่วนตัวค่ะ แต่ไม่ได้ใหญ่โตมากมายนะคะ) แต่คือที่ผ่านมาซื้อรถราคาหลักแสนปลายๆ ไปจนถึงล้านต้นๆ แต่ด้วยว่าตอนนี้รถที่ใช้เองส่วนตัวอยู่ผ่อนหมดแล้ว แต่ก็เริ่มออกอาการต้องซ่อม ต้องเข้าศูนย์ มีเสียงกุกกักๆ มีเสียงลม ประมาณว่าเสื่อมตามสภาพ (ไม่ได้ใช้รถโหดนะคะ ก็ใช้ปกติทั่วไป ถ้ามีอะไรเสียเข้าศูนย์ฯ แค่ไม่ได้บำรุงทางเทคนิคเพิ่มเติมอันใดน่ะค่ะ) เลยคิดว่าจะขายแล้วเอาไปดาวน์คันใหม่ดีกว่า แล้วพอดีไปห้าง เห็นมีรถยนต์มาจัดแคมเปญ ผ่อนสบายๆ 60 งวด เลยสนใจ (ราคารถราวๆ 2 ล้านนิดๆค่ะ)
เอาใบตารางราคาผ่อนมาดู ปรากฎว่ามันเป็นแบบบอลลูน (เห็นเซลล์พูดน่ะค่ะ)
ดาวน์ 35% ผ่อนสบายๆ หมื่นห้าหมื่นหก ไป 60 งวด แต่พอจบแล้วจะเหลือต้องโปะเงินก้อนใหญ่อีกแปดแสนได้ ถึงจะได้กรรมสิทธิ์รถ ไม่งั้นต้องคืนรถเค้าไป รึถ้า อยากใช้รถต่อแต่ไม่มีเงินก็จัดไฟแนนซ์ต่อสำหรับยอดแปดแสนที่เหลือ... แต่ถ้าซื้อแบบปกติก็คือ ดาวน์ 35% แล้วผ่อน 60 งวด ราคาต่องวดก็จะแพงขึ้นมาราว 20,000 บาท (สำหรับดอกเบี้ยประมาณ 2.45-2.50) คือค่าผ่อนตกต่อเดือนจะดีดไปเป็นเดือนละสามหมื่นกว่าๆ
คำถามคือ..
- การผ่อนบอลลูนลักษณะนี้ มันเหมาะกับการซื้อในนามนิติบุคล(บริษัท) รึป่าวคะ?
จำได้ว่าสำนักงานบัญชีที่จ้างเค้าทำเอกสารอยู่ บอกว่ารถ 1 คัน จะหักค่าเสื่อมได้ 5 ปี แต่ถ้าเป็นรถเครื่องดีเซล จะดีตรงที่หักรายเดือนได้เลย ซึ่งตรงนี้เอาจริงๆไม่เข้าใจอ่ะค่ะ >_< ความรู้เรื่องบัญชีน้อยมากๆ (แต่รถคันใหม่ที่ดูอยู่ว่าจะออก มันเป็นเครื่องเบนซินนะคะ)
- สมมุติเราเลือกผ่อนแบบบอลลูน ไปแล้ว 5 ปี เหลืออีก แปดแสนมาจัดไฟแนนซ์ใหม่ แล้วรถคันนี้ ยังเอาไปหักอะไรในนามบริษัทได้ป่าวคะ? แล้วปกติดอกเบี้ยมันจะกลายเป็นดอกเบี้ยรถเก่าซึ่งจะแพงขึ้นมาอีกเยอะเลยเหมือนกับการซื้อรถมือสองตามเต๊นท์ใช่รึป่าวคะ?
- ถ้าซื้อในนามบริษัท และไม่ได้ติดปัญหาเรื่องค่างวดแพง หรือถูก อยากเน้นว่าบริษัทได้ผลประโยชน์การนำไปเคลมภาษีได้สูงสุด รึเรื่องของการซ่อม การบำรุงรักษา ฯลฯ (เกี่ยวมั๊ย) ควรเลือกการซื้อรถแบบไหนคะ?
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
กำลังจะซื้อรถคันใหม่ รบกวนขอความรู้ การผ่อนรถแบบลิสซิ่ง และแบบบอลลูน ทีค่ะ
ปกติเราเคยซื้อรถทั้งในนามบุคคล และในนามนิติบุคคล (มีกิจการส่วนตัวค่ะ แต่ไม่ได้ใหญ่โตมากมายนะคะ) แต่คือที่ผ่านมาซื้อรถราคาหลักแสนปลายๆ ไปจนถึงล้านต้นๆ แต่ด้วยว่าตอนนี้รถที่ใช้เองส่วนตัวอยู่ผ่อนหมดแล้ว แต่ก็เริ่มออกอาการต้องซ่อม ต้องเข้าศูนย์ มีเสียงกุกกักๆ มีเสียงลม ประมาณว่าเสื่อมตามสภาพ (ไม่ได้ใช้รถโหดนะคะ ก็ใช้ปกติทั่วไป ถ้ามีอะไรเสียเข้าศูนย์ฯ แค่ไม่ได้บำรุงทางเทคนิคเพิ่มเติมอันใดน่ะค่ะ) เลยคิดว่าจะขายแล้วเอาไปดาวน์คันใหม่ดีกว่า แล้วพอดีไปห้าง เห็นมีรถยนต์มาจัดแคมเปญ ผ่อนสบายๆ 60 งวด เลยสนใจ (ราคารถราวๆ 2 ล้านนิดๆค่ะ)
เอาใบตารางราคาผ่อนมาดู ปรากฎว่ามันเป็นแบบบอลลูน (เห็นเซลล์พูดน่ะค่ะ)
ดาวน์ 35% ผ่อนสบายๆ หมื่นห้าหมื่นหก ไป 60 งวด แต่พอจบแล้วจะเหลือต้องโปะเงินก้อนใหญ่อีกแปดแสนได้ ถึงจะได้กรรมสิทธิ์รถ ไม่งั้นต้องคืนรถเค้าไป รึถ้า อยากใช้รถต่อแต่ไม่มีเงินก็จัดไฟแนนซ์ต่อสำหรับยอดแปดแสนที่เหลือ... แต่ถ้าซื้อแบบปกติก็คือ ดาวน์ 35% แล้วผ่อน 60 งวด ราคาต่องวดก็จะแพงขึ้นมาราว 20,000 บาท (สำหรับดอกเบี้ยประมาณ 2.45-2.50) คือค่าผ่อนตกต่อเดือนจะดีดไปเป็นเดือนละสามหมื่นกว่าๆ
คำถามคือ..
- การผ่อนบอลลูนลักษณะนี้ มันเหมาะกับการซื้อในนามนิติบุคล(บริษัท) รึป่าวคะ?
จำได้ว่าสำนักงานบัญชีที่จ้างเค้าทำเอกสารอยู่ บอกว่ารถ 1 คัน จะหักค่าเสื่อมได้ 5 ปี แต่ถ้าเป็นรถเครื่องดีเซล จะดีตรงที่หักรายเดือนได้เลย ซึ่งตรงนี้เอาจริงๆไม่เข้าใจอ่ะค่ะ >_< ความรู้เรื่องบัญชีน้อยมากๆ (แต่รถคันใหม่ที่ดูอยู่ว่าจะออก มันเป็นเครื่องเบนซินนะคะ)
- สมมุติเราเลือกผ่อนแบบบอลลูน ไปแล้ว 5 ปี เหลืออีก แปดแสนมาจัดไฟแนนซ์ใหม่ แล้วรถคันนี้ ยังเอาไปหักอะไรในนามบริษัทได้ป่าวคะ? แล้วปกติดอกเบี้ยมันจะกลายเป็นดอกเบี้ยรถเก่าซึ่งจะแพงขึ้นมาอีกเยอะเลยเหมือนกับการซื้อรถมือสองตามเต๊นท์ใช่รึป่าวคะ?
- ถ้าซื้อในนามบริษัท และไม่ได้ติดปัญหาเรื่องค่างวดแพง หรือถูก อยากเน้นว่าบริษัทได้ผลประโยชน์การนำไปเคลมภาษีได้สูงสุด รึเรื่องของการซ่อม การบำรุงรักษา ฯลฯ (เกี่ยวมั๊ย) ควรเลือกการซื้อรถแบบไหนคะ?
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ