สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 41
คุณมีปัญหาตึงๆ กับเจ้านาย แต่คุรก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ รำคาญเจ้านาย ที่ว่าเขาส่งมาไม่รับไม่อ่านไม่ได้อยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลานั้น ไม่จริงเท่าไรหรอก คุณต้องรู้อยู่แล้ว ว่เค้าจะต้องถามหา ต้องตามตัว แต่คุณเลือกจะเงียบๆ เฉยๆ มันก็ยิ่งแย่ขึ้นไปกันใหญ่
ที่ว่าเขาเข้าไปหาแล้วไม่เจอคุณ คุณไปซื้อของ อันนี้ก็แล้วแต่ เพราะอย่างที่บอกว่า การทำงานแบบกลุ่มเล็กๆ บริษัทเล็กๆ แบบนี้มันไม่ได้ต่างอะไรกับเพื่อนทำงานกลุ่มเลย ทะเลาะกัน ผิดใจกันเมื่อไรก็ได้ แต่ก็ยังคิดว่าควรมีความเป็นมืออาชีพ
แล้วก็อย่างที่คุณบอกเอง สนิทกับเจ้านายมากไปไม่ดี จริงๆที่เล่ามายังไม่มีตรงไหนเล่าเลยมั้ง ว่าสนิทอะไรกับเจ้านายแค่ไหน แต่ที่เห็นคือ พอทะเลาะง้องแง้งแล้ว เพื่อนเล่นกันดีๆนี่แหละ
คนอื่นๆ เขาก็มองว่า คุณไม่อยากร่วมสนิทสังฆกรรมกับเขา เขาอยากไปงานบวชแต่ต้องไปวันทำงาน เขาก็เลยกะจะให้ไปกันให้หมด เหมือนเป็นวันทำงาน แต่เป็นการพาเที่ยวแทน คุณไม่เอาไม่ใช่เรื่อง ก็ไม่อยากไปนั่นก็ได้ แต่จริงๆ เรื่องมันนอกระเบียบไปตั้งแต่เขาอยากจะหยุดงานไปงานบวชแล้ว เขายืดหยุ่นให้ตัวเองถ้าคุณไม่ยืดย้วยตามเขาก็คือไม่รู้จักปรับตัว
พอว่า พ่อคุณป่วย ลาหยุด เดิมๆ บริษัทที่จะให้ลาป่วยไปดูแลพ่อมันมีสักกี่ที่ เขาก็เข้าใจว่าคุณจะหยุดงานไปสัมภาษณ์งานหนะสิ คิดว่าคุณต้องโกหกแน่ๆ ทั้งๆที่มันก็อาจจะเป็นเรื่องจริง และการเยี่ยมมันก็ไม่ต้องเยี่ยมทั้งวันไหม เพราะไม่ได้เฝ้าทำไมต้องลาทั้งวัน
สองเรื่องก็กลายเป็นขัดแย้งกันอย่างหนัก เจ้านายอยากให้คุณยืดหยุ่นตามเขาคุณไม่ทำ แต่พอถึงคราวตัวคุณเองคุณกลับยืดหยุ่นเต็มที่โดยที่ก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่จริง ตอนเขาไปดูก็กลับไม่พบคุณอีกด้วย
เพราะฉะนั้น ลาออกก็ดีอยู่แล้ว แต่อยากให้พิจารณาที่ว่ามาทั้งหมดข้างบนด้วย แล้วต่อไปทำงานที่ไหนก็ให้แยกส่วนตัวกับทำงานให้ออก และเมื่อไรถ้าที่ทำงานเขาอยากให้เอาส่วนตัวรวมกันกับทำงานก็ต้องปรับตัวให้ได้ ถ้าจะสักแต่ว่าเอาตัวเองถูกไม่เข้าใจ เจ้านายหรือหัวหน้าบ้าง ก็ลองคิดไว้สักนิดว่าอีกหน่อยถ้าเป็นหัวหน้าคนอยากได้แบบไหน แล้วกัน ที่เหลือก็แล้วแต่พิจารณาห้ามกันไม่ได้
สรุปเรื่องนี้ คุณก้มองว่าเขาเป็นเจ้านายเฮงซวย ส่วนเขาก็มองว่าคุณเป็นลูกน้องเฮงซวย ปรับเข้าหากันไม่ได้ แค่นั้น
ที่ว่าเขาเข้าไปหาแล้วไม่เจอคุณ คุณไปซื้อของ อันนี้ก็แล้วแต่ เพราะอย่างที่บอกว่า การทำงานแบบกลุ่มเล็กๆ บริษัทเล็กๆ แบบนี้มันไม่ได้ต่างอะไรกับเพื่อนทำงานกลุ่มเลย ทะเลาะกัน ผิดใจกันเมื่อไรก็ได้ แต่ก็ยังคิดว่าควรมีความเป็นมืออาชีพ
แล้วก็อย่างที่คุณบอกเอง สนิทกับเจ้านายมากไปไม่ดี จริงๆที่เล่ามายังไม่มีตรงไหนเล่าเลยมั้ง ว่าสนิทอะไรกับเจ้านายแค่ไหน แต่ที่เห็นคือ พอทะเลาะง้องแง้งแล้ว เพื่อนเล่นกันดีๆนี่แหละ
คนอื่นๆ เขาก็มองว่า คุณไม่อยากร่วมสนิทสังฆกรรมกับเขา เขาอยากไปงานบวชแต่ต้องไปวันทำงาน เขาก็เลยกะจะให้ไปกันให้หมด เหมือนเป็นวันทำงาน แต่เป็นการพาเที่ยวแทน คุณไม่เอาไม่ใช่เรื่อง ก็ไม่อยากไปนั่นก็ได้ แต่จริงๆ เรื่องมันนอกระเบียบไปตั้งแต่เขาอยากจะหยุดงานไปงานบวชแล้ว เขายืดหยุ่นให้ตัวเองถ้าคุณไม่ยืดย้วยตามเขาก็คือไม่รู้จักปรับตัว
พอว่า พ่อคุณป่วย ลาหยุด เดิมๆ บริษัทที่จะให้ลาป่วยไปดูแลพ่อมันมีสักกี่ที่ เขาก็เข้าใจว่าคุณจะหยุดงานไปสัมภาษณ์งานหนะสิ คิดว่าคุณต้องโกหกแน่ๆ ทั้งๆที่มันก็อาจจะเป็นเรื่องจริง และการเยี่ยมมันก็ไม่ต้องเยี่ยมทั้งวันไหม เพราะไม่ได้เฝ้าทำไมต้องลาทั้งวัน
สองเรื่องก็กลายเป็นขัดแย้งกันอย่างหนัก เจ้านายอยากให้คุณยืดหยุ่นตามเขาคุณไม่ทำ แต่พอถึงคราวตัวคุณเองคุณกลับยืดหยุ่นเต็มที่โดยที่ก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่จริง ตอนเขาไปดูก็กลับไม่พบคุณอีกด้วย
เพราะฉะนั้น ลาออกก็ดีอยู่แล้ว แต่อยากให้พิจารณาที่ว่ามาทั้งหมดข้างบนด้วย แล้วต่อไปทำงานที่ไหนก็ให้แยกส่วนตัวกับทำงานให้ออก และเมื่อไรถ้าที่ทำงานเขาอยากให้เอาส่วนตัวรวมกันกับทำงานก็ต้องปรับตัวให้ได้ ถ้าจะสักแต่ว่าเอาตัวเองถูกไม่เข้าใจ เจ้านายหรือหัวหน้าบ้าง ก็ลองคิดไว้สักนิดว่าอีกหน่อยถ้าเป็นหัวหน้าคนอยากได้แบบไหน แล้วกัน ที่เหลือก็แล้วแต่พิจารณาห้ามกันไม่ได้
สรุปเรื่องนี้ คุณก้มองว่าเขาเป็นเจ้านายเฮงซวย ส่วนเขาก็มองว่าคุณเป็นลูกน้องเฮงซวย ปรับเข้าหากันไม่ได้ แค่นั้น
ความคิดเห็นที่ 24
เจอสองเคสนี้ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอครับ
รอบแรกคุณโกหกยอมเสียเงินเพื่อไม่ได้ไป
มีความเป็นไปได้ว่ามีคนเห็นว่าคุณไม่ได้ไปกับแม่จริงๆ หรือเพื่อนคุณเป็นคนบอกคนในบริษัท หรือคุณเผลอพูดออกมาให้คนอื่นรู้
คุณไม่ไปคนเดียว คุณจึงกลายเป็นคนโกหกในบริษัท
เพราะเหตุนี้ รอบนี้ถึงมีคนไม่เชื่อคุณ คิดว่าคุณโกหกอีก จึงมาจ้องจับผิด
ดูแล้วคุณเป็นคนโกหกไม่เนียน และทำอะไรไม่ระวัง
ต่อไปก็ควรโกหกให้น้อยลงครับ อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความจริงใจในบริษัท
ยิ่งเป็นบริษัทเล็กยิ่งต้องสนิทสนมกันเข้าไว้ ไม่งั้นจะทำงานได้ไม่ยืด
รอบแรกคุณโกหกยอมเสียเงินเพื่อไม่ได้ไป
มีความเป็นไปได้ว่ามีคนเห็นว่าคุณไม่ได้ไปกับแม่จริงๆ หรือเพื่อนคุณเป็นคนบอกคนในบริษัท หรือคุณเผลอพูดออกมาให้คนอื่นรู้
คุณไม่ไปคนเดียว คุณจึงกลายเป็นคนโกหกในบริษัท
เพราะเหตุนี้ รอบนี้ถึงมีคนไม่เชื่อคุณ คิดว่าคุณโกหกอีก จึงมาจ้องจับผิด
ดูแล้วคุณเป็นคนโกหกไม่เนียน และทำอะไรไม่ระวัง
ต่อไปก็ควรโกหกให้น้อยลงครับ อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความจริงใจในบริษัท
ยิ่งเป็นบริษัทเล็กยิ่งต้องสนิทสนมกันเข้าไว้ ไม่งั้นจะทำงานได้ไม่ยืด
แสดงความคิดเห็น
เจ้านายคะ ทำแบบนี้ก็ได้หรอ??? ภาค2
จากที่ได้เขียนเล่าเรื่องประสบการณ์จากผู้เป็นนายไปแล้ว 1 เรื่อง
เข้าไปอ่านย้อนหลังได้นะคะ http://ppantip.com/topic/35326101 วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์จากผู้เป็นนายครั้งที่2 เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน..
เราจะเล่าต่อจากภาคที่ 1นะคะ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมาหลังจากบอสได้มาประกาศในไลน์กลุ่ม (ลืมแจ้งว่ากลุ่นไลน์บริษัทมี2กลุ่ม กลุ่มแรกเราโดนเทออกไปแล้วอีกกลุ่มมีรองประธานบริษัทอยู่ด้วยคือพี่สาวเจ้านาย) บอสมาประกาศว่า วันศุกร์ที่ 1 และ เสาร์ที่ 2 กรกฎาคม นี้ที่จะไปงานบวชของพี่เขยบอส ยกเลิก เนื่องจากงานบวชมีปัญหา
เราก็นะโอเค ทำงานต่อ พอมาถึงวันศุกร์ เราทำงานปกติของเรา แล้วกลับบ้านมาแล้ว
พอเราได้ข่าวว่าพ่อเราเข้าโรงบาล แล้วเราก็นั่งรถแท็กซี่ไปหาพ่อเลยตอนนั้น เราอยู่มีนบุรี พ่อไปเข้าโรงบาลที่ราชวิถีทเรานั่งแท็กไปเพื่อจะไปดูพ่อ เราบอกกับที่ทำงานว่าพ่อเราเข้าโรงบาล กำลังจะไลน์ไปลาในกลุ่มนั่นว่าเราขอลาวันเสาร์เราต้องมาทำเรื่องการย้ายโรงบาลให้พ่อวันเสาร์
แล้วพอถึงวันเสาร์ เจ้านายไลน์มาตามว่า ไม่มาทำงานหรอ เฝ้าพ่อหรอ บอสอีกว่าขอความชัดเจนของเราที่ไม่มาทำงาน เราเลยบอกว่า เราเพิ่งกลับมาบ้านกำลังจะไปต่อ อีกอย่างนึงคือเราไม่ได้นอนเฝ้าพ่อ เพราะพ่ออยู่ห้องฉุกเฉิน เราเลยไปนอนกับเพื่อนเรา แล้วเช้าค่อยกลับบ้านไป
เจ้านายไลน์มาถามเรา แล้วเราไม่ค่อยตอบ ไม่ว่างไง ใครจะจับโทรศัพท์ตลอด เจ้านายโทรไปเบอร์พ่อเรา ทั้งๆที่เราบอกไปแล้วพ่อเราอยู่ห้องฉุกเฉินที่โรงบาลราชวิถี เจ้านายบอกว่า จะเข้าไปเยี่ยมตอนเที่ยงนะ เราบอกโอเค เดี๋ยวเราก็ไป เจ้านายถามว่าไปด้วยกันไหม เราบอกไม่เป็นไร ซึ่งตอนที่เจ้านายถามว่าไปด้วยกันไหม เป็นเวลาประมาน 10 โมงแล้ว เราเลยจะไปก่อน
เราไปถึงรพ. ประมาณบ่ายๆ พี่สาวเรา แม่เรา ให้เราไปซื้อของใช้ให้พ่อ เช่นยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ฯลฯ เราไปเดินซื้อที่ท้อปที่เซ็นจูรี่ เรากลับมาถึงก็ประมาน บ่าย2 (ไปหาไรกินด้วย)
เจ้านายไลน์มาถามว่า เราอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เจอเลย อย่าทิ้งพ่อนะ พ่ออยู่คนเดียว บลาๆ เราบอกว่าเราเจอแล้ว
พอเราเขามาหาพ่อที่ห้องฉุกเฉิน พ่อบอกว่ามีผู้หญิงสองคนมาตามหา มาถ่ายรูปที่รพ. มาบอกกับพ่อเราหนีงานมา เลยต้องถ่ายรูปไปให้ผู้จัดการดู พ่อบอดว่าทางรพ. ไม่ให้ถ่ายรูป มาถามว่าเรามาหาพ่อไหม พ่อบอกว่ายังไม่ได้มา แต่เมื่อวานมา คือเราคิดในใจ เห้ย พ่อเราป่วยนะ มาทำแบบนี้เลยหรอ
แล้ววันนี้ พ่อโทรมา พ่อบอกว่าเข้ามาหรือเปล่า มาช่วยหน่อย เราบอกว่าเราไป พ่อเลยบอกเราว่า อย่าขาดงานนะ อย่าโกหกนะ ไปทำงานนะ
พ่อเราไม่สบายใจขนาดนี้เลยหรอ เห้ยไหนบอกมาเยี่ยมไง แล้วแกโทรมาบอกแบบนี้เลย นี่มาเยี่ยมหรือมาทำร้ายจิตใจกัน เสียสละเวลางานมาเยี่ยมพ่อเราทั้งออฟฟิศ เราเองก็ขอบคุณนะ แต่นี้ไม่ใช่การมาเยี่ยม นี่คือการมาจับผิด เราเลยขอลาออกเลย
ทุกคนอ่านหมดแล้ว คงเข้าใจในสิ่งที่เราแจ้งไปแล้วนะ แล้วกลุ่มนี้ เมื่อก่อนไม่คุยนะ พอเราโดนเทจากกลุ่มนั่น เหลือแต่กลุ่มนี้ ส่งแต่รูปอะไรมาก็ไม่รู้ กัดเราทางอ้อม กดดันเรา เราออกเลยแล้วกัน พ่อเราไม่สบายใจ นั่นไม่เรียกว่ามาเยี่ยมนะคะ นั่นเรียกว่าจับผิด ทำไมลูกน้องคนอื่น ที่น้าป่วย พนง.ต้องลาแล้วไปดูแลน้าทำไมไม่ตามไปเยี่ยมบ้างละ แล้วเราละ เราลาวันเสาร์ เราลามาเพื่อทำเรื่องพ่อ ทำไมถึงตามมาจับผิดขนาดนี้
เราผิดเองทั้งหมดนี้ เราผิดที่เราสนิทกับเจ้านายเกินไป เจ้านายคือเจ้านาย ลูกน้องคือลูกน้องนะ ไม่ควรสนิทมากเกินไป เรื่องส่วนตัวไม่รวมกับเรื่องงาน
เอือมคะ ลาก่อน เจ้านาย