“ที่ใดมีดนตรี ที่นั่นมีชีวิต”
ผมคิดว่าข้อความข้างต้น น่าจะเป็นคำนิยามที่ดีให้กับหนังเรื่องนี้ Sing Street
เพราะนี่คือภาพยนตร์รัก ที่เล่าเรื่องได้อย่างซาบซึ้ง สวยงาม ผ่านบทเพลงไพเราะที่แสนยอดเยี่ยม
แม้เราจะรู้กันอยู่แล้วว่า ผู้กำกับเรื่องนี้ เป็นจอมเนิร์ดเพลงที่เคยกำกับหนังเพลงมาถึงสองเรื่อง
นั่นคือ Begin Again และ once ซึ่งอยู่ในระดับขึ้นหิ้งทั้งคู่
มารอบนี้ ผู้กำกับ จอห์น คาร์นีย์ เลือกนำเอาชีวิตวัยเด็กของตัวเอง
ที่อยู่ในไอร์แลน บ้านจน ถังแตก จนต้องย้ายโรงเรียนจากเอกชน
ไปอยู่โรงเรียนรัฐซอมซ่อ แถมถูกเพื่อนแกล้ง อยากตั้งวงดนตรีก็ไม่ได้ตั้ง
แล้วหนำซ้ำ ยังไปชอบหญิงสาวที่อายุมากกว่าตัวเองเสียอีก
ด้วยความที่ “ความฝัน” ในวัยเด็กของผู้กำกับ
ช่างระหกระเหิน เป็นความหวังลมๆแล้งๆแบบเลื่อนลอย
ทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจ แม้กระทั่งจะเข้าไปคุยกับคนที่ชอบ ก็ยังไม่กล้า
มาวันนี้ โจทย์ชีวิตของเขา
คงเป็นโจทย์ที่หลายๆคนอยากทำได้
ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
นั่นก็คือ
หากย้อนเวลากลับไปได้
“ขอย้อนกลับไปคืนความสุข มอบความฝันทั้งหมด
แก้ไขความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้งให้เป็นจริงขึ้นมา”
(ถึงแม้ว่ามันจะเป็นจริงได้เพียงแค่ในโลกภาพยนตร์ก็ตาม)
และนั่น คือที่มาของหนังเรื่องนี้
หนังที่กลั่นเอา ปมอดีตที่ซ่อนอยู่ในใจ
ความฝันบางอย่าง ที่เราหลงลืมไปในวัยเด็ก
แล้วปล่อยให้ความเป็นผู้ใหญ่พัดพาเราไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลา
ให้ห่างหายจากช่วงชีวิตหนึ่งที่เราเคยอยากมี เคยอยากเป็น
จนบางครั้ง ในชีวิตเรา แทบหลงลืมไปแล้วว่า
“ความฝันของเราที่แท้จริง มันคืออะไร?”
หนังเรื่องนี้ได้ตอกย้ำศรัทธาบางอย่าง
ให้กับทุกๆคนที่เข้ามาดู ชวนตั้งคำถามถึง
สิ่งที่เราเชื่อ หรือ ชีวิตที่เราอยากจะให้เป็น
โดยยกกรณีอย่างตัวเอกในเรื่องอย่าง “คอสโม”
ผู้มีความฝันง่ายๆ อย่างการแอบหลงรักสาวคนหนึ่งที่อายุมากกว่า
แล้วอยากทำตัวให้ดีพอให้เขามารักด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มต้นจากการแต่งเพลงและตั้งวงดนตรี
แต่ใครจะคิดว่า
“การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองในวันนั้น” นี่แหละ
มันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เขาพบเจอความฝันอีกมากมาย
ที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปได้ตลอดกาล
[CR] 10 ข้อคิดจากหนัง Sing Street ที่ทำให้หลายคนยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจอีกเรื่องของปี [มีสปอยส์บางส่วน]
“ที่ใดมีดนตรี ที่นั่นมีชีวิต”
ผมคิดว่าข้อความข้างต้น น่าจะเป็นคำนิยามที่ดีให้กับหนังเรื่องนี้ Sing Street
เพราะนี่คือภาพยนตร์รัก ที่เล่าเรื่องได้อย่างซาบซึ้ง สวยงาม ผ่านบทเพลงไพเราะที่แสนยอดเยี่ยม
แม้เราจะรู้กันอยู่แล้วว่า ผู้กำกับเรื่องนี้ เป็นจอมเนิร์ดเพลงที่เคยกำกับหนังเพลงมาถึงสองเรื่อง
นั่นคือ Begin Again และ once ซึ่งอยู่ในระดับขึ้นหิ้งทั้งคู่
มารอบนี้ ผู้กำกับ จอห์น คาร์นีย์ เลือกนำเอาชีวิตวัยเด็กของตัวเอง
ที่อยู่ในไอร์แลน บ้านจน ถังแตก จนต้องย้ายโรงเรียนจากเอกชน
ไปอยู่โรงเรียนรัฐซอมซ่อ แถมถูกเพื่อนแกล้ง อยากตั้งวงดนตรีก็ไม่ได้ตั้ง
แล้วหนำซ้ำ ยังไปชอบหญิงสาวที่อายุมากกว่าตัวเองเสียอีก
ด้วยความที่ “ความฝัน” ในวัยเด็กของผู้กำกับ
ช่างระหกระเหิน เป็นความหวังลมๆแล้งๆแบบเลื่อนลอย
ทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจ แม้กระทั่งจะเข้าไปคุยกับคนที่ชอบ ก็ยังไม่กล้า
มาวันนี้ โจทย์ชีวิตของเขา
คงเป็นโจทย์ที่หลายๆคนอยากทำได้
ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
นั่นก็คือ
หากย้อนเวลากลับไปได้
“ขอย้อนกลับไปคืนความสุข มอบความฝันทั้งหมด
แก้ไขความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้งให้เป็นจริงขึ้นมา”
(ถึงแม้ว่ามันจะเป็นจริงได้เพียงแค่ในโลกภาพยนตร์ก็ตาม)
และนั่น คือที่มาของหนังเรื่องนี้
หนังที่กลั่นเอา ปมอดีตที่ซ่อนอยู่ในใจ
ความฝันบางอย่าง ที่เราหลงลืมไปในวัยเด็ก
แล้วปล่อยให้ความเป็นผู้ใหญ่พัดพาเราไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลา
ให้ห่างหายจากช่วงชีวิตหนึ่งที่เราเคยอยากมี เคยอยากเป็น
จนบางครั้ง ในชีวิตเรา แทบหลงลืมไปแล้วว่า
“ความฝันของเราที่แท้จริง มันคืออะไร?”
หนังเรื่องนี้ได้ตอกย้ำศรัทธาบางอย่าง
ให้กับทุกๆคนที่เข้ามาดู ชวนตั้งคำถามถึง
สิ่งที่เราเชื่อ หรือ ชีวิตที่เราอยากจะให้เป็น
โดยยกกรณีอย่างตัวเอกในเรื่องอย่าง “คอสโม”
ผู้มีความฝันง่ายๆ อย่างการแอบหลงรักสาวคนหนึ่งที่อายุมากกว่า
แล้วอยากทำตัวให้ดีพอให้เขามารักด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มต้นจากการแต่งเพลงและตั้งวงดนตรี
แต่ใครจะคิดว่า
“การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองในวันนั้น” นี่แหละ
มันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เขาพบเจอความฝันอีกมากมาย
ที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปได้ตลอดกาล