แชร์ประสบการณ์การสมัครเข้ายูท็อปในอังกฤษ (ปริญญาตรี)

สวัสดีครับ กะว่าจะโพสต์ลงนานแล้ว แต่ดองไว้นานมากๆ

เกริ่นก่อนว่า จขกท. จบมัธยมปลาย (Junior College) จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตอนเรียนอยู่ปีสุดท้ายก็ไม่อยากกลับไทยเท่าไหร่ แล้วก็เบื่อที่นี่แล้วด้วย ตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะข้อมูลก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ สุดท้ายลองค้นไปค้นมาประมาณเดือนกว่าก็ตัดสินใจเลือกลงที่ประเทศอังกฤษ

การสมัครเข้าปริญญาตรีที่นี่นั้นทำผ่านระบบที่เรียกว่า UCAS หรือก็คล้ายๆกับแอดมิชชั่นบ้านเรานั่นเอง แต่ข้อแตกต่างหลักคือระบบแอดมิชชั่นนั้นผู้สมัครต้องเลือก 4 อันดับที่ต้องการ ถ้าไม่ติด 1 ก็ได้ 2 แล้วลงไปเรื่อยๆ ส่วนของที่นี่ผมเรียกเล่นๆว่าเป็น “ระบบเดอะวอยซ์” คือเราส่ง application ของเราไปให้แต่ละมหาลัย แล้วมหาลัยนั้นๆจะกดปุ่ม เอ้ย ตอบรับเราหรือไม่ก็ได้ แล้วหลังจากทุกมหาลัยตัดสินใจแล้วเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะเข้าที่ไหน
โดยใน UCAS สิ่งที่ทางมหาลัยดูจะมีดังนี้

-    เกรด แต่จุดพีคมันอยู่ที่ว่าตอนสมัครนั้นเกรดยังไม่ออก (อ้าว!) คือถ้าจะไม่เทค gap year แล้วผู้สมัครจะต้องสมัครในปีที่จบมอปลายเลย ทีนี้เกรดที่เขาต้องการคือเกรดที่ “ทางโรงเรียนคิดว่าเราจะได้” หรือเรียกว่า predicted grades
-    Personal Statement เป็นเรียงความประมาณหน้าเศษๆ เขียนทุกอย่างที่อยากเขียน ว่าทำไมเขาถึงต้องรับเรา
-    Reference ครูเขียน แต่อันนี้ได้ยินมาว่าเขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะครูที่ไหนไม่อวยเด็กบ้าง
-    สอบข้อเขียน/สัมภาษณ์ ถ้ามหาลัยต้องการ

ซึ่งเนื่องจากว่าเกรดที่ส่งไปไม่ใช่เกรดที่สอบได้จริง ฉะนั้น offer ที่มหาลัยให้มาจะเป็น conditional หรือเอาง่ายๆก็คือเขาบอกว่ายูต้องทำเกรดให้ได้เท่านี้ๆนะ ถ้าทำได้ก็รับเข้าเลย

การสมัครนั้นสามารถเลือกได้ 5 ที่ แต่ว่าถ้ายื่นแพทย์สามารถยื่นได้สูงสุด 4 ที่ (เขากลัวว่าไม่ติดทั้งหมดแล้วจะไม่มีที่เรียน) แล้วต้องเลือกคอร์สอื่นอีกที่หนึ่ง และสามารถเลือกได้แค่ Oxford หรือ Cambridge ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น

ตัวผมเองสมัครไป 4 ที่ครึ่ง* ได้แก่ Manchester, UCL, Oxford และ Imperial ในสายวิศวะเคมี ตรี-โท 4 ปีทั้งหมด
** ที่บอกว่าสี่ที่ครึ่งเพราะยื่นสมัคร Imperial ไปสองคอร์ส ได้แก่ Chemical Engineering กับ ChE with a year abroad (คืออันนึงมีแลกเปลี่ยน อีกอันไม่มี แต่นับแยกเป็นสองคอร์ส) แต่ทั้งสองคอร์สใช้เกณฑ์การรับเข้าเดียวกัน คือถ้าโค้ชกดปุ่มก็ได้ทั้งสองปุ่มเลย

โดย Deadline ของ Oxbridge และคณะแพทย์จะอยู่ที่ 15 ตุลาคม และที่อื่นอยู่ที่ 15 มกราคม
ใน 5 ที่ที่สมัครไปมี Oxford ที่เดียวที่ต้องสอบข้อเขียน ก็ต้องไปสมัครภายในเดดไลน์ด้วย โดยผมสมัครสอบกับ British Council ที่สิงคโปร์นั่นแหละ

กดปุ่มสมัครเดือนตุลาเสร็จก็ต้องมาวุ่นเตรียมสอบ A-level ต่อเลย เพราะเริ่มสอบต้นพฤษจิ เห็นเขาบอกว่าเดดไลน์ในการตัดสินใจคือปลายมีนา ตอนนั้นก็เรียกได้ว่าปล่อยลืม คิดในใจว่าปีหน้ามั้งกว่าเขาจะตอบเรากลับมา

สองที่แรก Manchester กับ UCL ไม่ต้องการอะไรเพิ่ม แมนเชสเตอร์ตอบกลับมาเร็วมากๆ ถ้าจำไม่ผิดสองอาทิตย์ก็เซย์เยสมาแล้ว ให้ condition มาในระดับที่ง่ายกว่ามหาลัยอื่น คือ A สามตัว (ผมสอบสี่วิชาได้แก่ Physics, Chemistry, Mathematics, Economics) โดยหนึ่งในนั้นต้องเป็นเลข ตอนนั้นรู้สึกว่าที่ส่งมาเอเลเวลยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ และได้ยินมาว่ามหาลัยอื่นออฟเฟอร์โหดกว่านี้มากๆ เลยฮึดสู้สอบเอเลเวลจนจบสิ้นไปด้วยดี หลังจากนั้นพี่แกก็ส่งเมลมาหาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องมหาลัย เรื่อง finance มีส่งจดหมายมาถึงบ้านด้วย จนเราปลื้มกับ service ของเขามาก ขนาดตอนที่ผมเลือกไม่รับไปแล้วเขายังส่งเมลมาเกี่ยวกับการทำวีซ่าเลย ส่วน UCL ส่งออฟเฟอร์มาให้ประมาณต้นธันวา แล้วก็เงียบหายไปเลย ซึ่งเงื่อนไขของเขาถือว่าโหดที่สุดในหมู่ offer ที่ผมได้ทั้งหมดแล้ว คือ A สามตัว ในวิชาฟิสิกส์ เคมี และเลขเท่านั้น แปลว่าพลาดไม่ได้เลย

สองที่หลังนั้น ออกซ์ฟอร์ดมีทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ อิมพีเรียลมีแค่สัมภาษณ์ ขอพูดถึงอิมพีเรียลก่อนแล้วกัน เพราะมันเจ็บปวดน้อยกว่า อิมพีเรียลนัดสัมภาษณ์วันที่ 29 กุมภา ในโรงแรม Fairmont สิงคโปร์ (คนสัมภาษณ์บินมาจากอิมพีเรียลเลย) โดยการสัมภาษณ์จะเน้น academic เป็นหลัก ซึ่งความกดดันสูงมาก เพราะต้องคิดและแสดงวิธีทำต่อหน้าคนสัมภาษณ์เลย

โดยเนื้อหาการสัมภาษณ์มีดังนี้ ทั้งหมดยาวประมาณ 20 นาทีและถือว่าง่ายกว่าออกซ์ฟอร์ดหลายขุม ผมทำ academic ได้ทั้งสองข้อ ในวงเล็บคือคำตอบของคำถามนะครับ ส่วนข้ออื่นผมตอบอะไรไปบ้างก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่สุดท้ายโค้ชก็หัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ต่อมาออกซ์ฟอร์ด เริ่มที่สอบข้อเขียน ซึ่งจริงๆแล้วตัวข้อเขียนมันไม่ได้ยากครับ แต่การจัดวันสอบเป็นอะไรที่จิตมาก เพราะวันที่สอบดันตกอยู่ “ระหว่าง” การสอบ A-level เลย ตอนนั้นจำได้ว่าวันที่ 2 (พย) มีสองเปเปอร์ 4 กับ 5 มีวันละเปเปอร์ หวยมาออกที่วันที่ 3 ตอนเย็น ซึ่งถ้าทำอันใดอันหนึ่งไม่ดีก็ไม่ได้เข้าอยู่ดี

ข้อสอบชุดนี้มีชื่อว่า Physics Aptitude Test เป็นข้อเขียนสองชั่วโมง ฟิสิกส์กับเลขอย่างละ 50 คะแนน ผู้สมัครวิศวะและฟิสิกส์ทุกคนต้องสอบ ซึ่งผมก็เตรียมตัวไปด้วยการคุ้ยข้อสอบมาทำทั้งหมด 10 ปี ปัญหาของข้อสอบนี้คือหลักสูตรของอังกฤษมันแตกต่างกับต่างประเทศอยู่เล็กน้อย เลยมีบางเรื่องที่ต้องอ่านเอาเอง แต่นอกจากนั้นแล้วข้อสอบนี้ถือว่าง่าย ไม่ใช่เพราะตัวข้อสอบง่าย แต่เพราะเขาคัดเยอะ ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้สมัครผ่านเข้ารอบ คะแนนที่ผ่านเข้ารอบเลยอยู่แค่ประมาณ 60 เท่านั้นเอง ถ้าอยากเห็นข้อสอบก็ตามไปดูได้ในนี้ครับ https://www2.physics.ox.ac.uk/study-here/undergraduates/applications/physics-aptitude-test-pat/pat-past-papers

สอบไปต้นเดือน ปลายเดือนทางมหาลัยก็ติดต่อมาสอบสัมภาษณ์ ซึงจะเป็นการสัมทาง Skype ต้นเดือนธันวา ตอนนั้นอยู๋ไทยแล้ว ก่อนสัมภาษณ์ก็ใส่เสื้อหล่อๆ (กางเกงบ็อกเซอร์...) เช็ดกล้อง ล็อกประตู ทำสมาธิ แล้วก็เช็คอุปกรณ์ โดยทางเขาแนะนำมาว่าให้ใช้ปากกากับกระดาษเขียน (แล้วพอจะตอบอะไรก็ชูให้เขาดู) แต่ตอนลองสไกป์กับพี่ชายดูแล้วรู้สึกว่ามองไม่ค่อยเห็นตัวอักษร เลยใช้มาร์กเกอร์แทน (แต่ก็ใช้กระดาษเพิ่มเยอะเหมือนกัน) รอบนี้สัมภาษณ์ 45 นาที แต่ไม่ถามอะไรนอกเหนือจาก academic เลย (โจทย์อาจจะดูไม่ค่อยยาก แต่ความกดดันมันแรงครับ 5555)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จำได้ว่าข้อแรกทำไม่ได้เลย (สารภาพว่าฟิสิกส์อ่อนกว่าเลข และเพราะ panic กับการสัมครั้งแรกด้วย) ข้อสองทำได้ ข้อสามเขาใบ้นิดหน่อยแล้วทำได้ (เขาแค่ถามว่าลองใช้แคลคูลัสดูไหม ตอนนั้นผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน เพราะแคลไม่อยู่ในหลักสูตรฟิสิกส์) ตอนนั้นก็คิดว่าคงไม่ได้แล้ว เพราะผิดทั้งข้อใหญ่ แต่ต้นปีก็ได้ออฟเฟอร์มา เป็นเอสามตัวเหมือนกัน แต่รอบนี้บังคับเลขกับฟิสิกส์

ตอนนั้นมีออฟเฟอร์สี่ที่ น่าไปทุกที่เลย ในใจเลือกออกซ์ฟอร์ดเพราะสวยดี แค่นั้นจริงๆ คือมีคนบอกผมว่ามาถึง stage นี้แล้วเลือกยังไงก็ไม่มีตัวเลือกที่ผิดหรอก เอาความสุขตัวเองเป็นที่ตั้ง ถ้าอยู่ที่ไหนแล้วมีความสุขที่สุดก็เอาที่นั่น บวกกับพ่อแม่สนับสนุน ก็เลยเลือกออกซ์ฟอร์ดไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก (เพราะถ้ายิ่งคิดจะยิ่งเสียดายที่อื่น 555)

สุดท้ายนี้ผมเป็น mentor อยู่ที่ Project Access (http://www.projectaccess.co/) ซึ่งเป็นบริการช่วยนักเรียนเข้ายูท็อปได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าใช้บริการแล้วสอบติดทางเราก็ขอ(แต่ไม่บังคับ)ให้มาเป็น mentor ให้นักเรียนรุ่นต่อๆไปเท่านั้นเองครับ ในเว็บนั้นมีข้อมูลอยู่เยอะพอสมควร และกำลังอัพเดทเพิ่มเรื่อยๆครับ
ถ้าต้องการข้อมูลใดๆสามารถหลังไมค์มาได้ และถ้าต้องการสมัครเข้าเรียนก็เข้าไปใช้บริการ Project Access ได้ฟรีๆครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่