แชร์เรื่องราวของ TEDxBangkok 2015 ปีที่แล้วมีอะไร ปีนี้ไปดีหรือเปล่า?????

***กระทู้นี้ขอส่งเป็นการบ้าน TEDxBangkok ปีที่แล้ว
ตอนส่งใบสมัครเข้างาน มีคำถามว่าคุณจะทำอะไรบ้าง ถ้าได้เข้าร่วมงาน
บอกไปว่าจะมาเขียนบล็อคประสบการณ์ที่ได้จากการไปเข้าร่วม ถือว่าส่งผ่านพันทิพเลยละกัน***

ไม่รู้ว่ารู้จัก TED Talk กันมากแค่ไหน
แต่ถ้าเล่น Social กันมาบ้าง มันต้องเคยเห็นเพื่อนๆ แชร์คลิปคนในอาชีพต่างๆ ที่ขึ้นมาพูดบนเวทีที่ต่างประเทศ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในมุมของตัวเอง เป็นทั้งความรู้ใหม่ๆ เชิงลึก แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต หรือแนวคิดต่างๆ ที่หยิบมาใช้ได้เพราะแต่ละคลิปจะมีความยาวไม่เกิน 20 นาที

เมื่อ TED ใจกว้าง เพิ่มตัว x ขึ้นมา 1 ตัว ยอมให้คนทั่วโลกที่อยากจัดงานแนวนี้ในที่ต่างๆ ไปจัดกันเองได้ จริงๆ ในไทยก็มีมาหลายครั้งแล้ว แต่ส่วนใหญ่จัดที่เชียงใหม่ จะบินไปดูงานก็เหนื่อยเกินไป และเขาก็ถ่ายทอดสดให้ดูฟรีๆ พอได้ข่าวว่ากำลังจะมี TEDx จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้นแหละ ก็เตรียมตัวสมัครเลย แต่สุดท้ายปีที่แล้ว ผมก็ผ่านด่านมากมายจนไปงานทั้งของกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ได้ เลยอยากจะมาแชร์ว่ามันได้อะไรจากงานแบบนี้บ้าง และยังตัดสินใจอยู่ว่าถ้ามีอีกจะไปดีหรือเปล่า

1. การสมัครที่ยุ่งยากเอามากๆ
ผมชอบไปงานอีเวนท์แนวคนมาพูดแนวคิดให้ฟังเป็นประจำอยู่แล้วครับ แล้วก็เข้าใจว่าบางงานที่เชิญวิทยากรมาจากต่างประเทศ มันย่อมแพงบ้างเป็นธรรมดาตามต้นทุนเจ้าของงาน แต่งาน TEDx ที่จัดขึ้นนี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยมาพูด แม้จะเชิญคนคุณภาพคับแก้วมาก็เถอะ แต่ผมว่าราคาบัตรก็แพงพอตัว นอกจากจะกรองคนด้วยราคาบัตรแล้ว ยังมีการกรองคนด้วยคำถามให้สมัครเข้างาน ไม่ได้จะซื้อแล้วไปได้ง่ายๆ นะครับ บอกเลยยย ตอนแรกที่เห็นกติกาที่งงมากกก ทำไมต้องใช้วิธีนี้ แบบคนที่เขารับราคาได้ ก็ควรจะได้เข้างานแล้วสิ นี่ยังต้องมีคัดด้วยคำถามอีก มารู้ทีหลังว่า TED บางงานในต่างประเทศเขาก็ทำกัน ก็เข้าใจ แต่ก็ยังแอบสงสัยว่าทำไมต้องให้ตอบคำถามหลายข้อ อย่างกับสอบเข้า เพื่อนผมบอกว่านี่กูไปสัมภาษณ์งานมายังไม่เจอใบสมัครโหดขนาดนี้ สุดท้ายก็เข้าไปในงานได้(ไงไม่รู้) จำได้ว่าท้าทายตัวเองว่าเอาวะ ลองตั้งใจเขียนดูสักครั้ง แถมสัญญาไปเบาๆ ว่าถ้าได้จะมาเขียนบล็อคให้ ถือว่านี่เป็นหนึ่งในนั้นละกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่