ปดูมาแล้ว...
เปิดตำนานหน้าใหม่วีรบุรุษแห่งเจ้าป่าทาร์ซาน บทดราม่าเรียบเฉย มีดีที่ฟิลลิ่งและอารมณ์ "The Legend of Tarzan" (ให้ 7.5/10)
*****ไม่สปอยล์*****
ย้อนกลับไปในปี 1999 "Tarzan" เป็นอีกหนึ่งอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมของดิสนี่ย์ในตอนนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีเด็กยุค 90 คนไหนที่ไม่รู้จักทาร์ซาน ชายหนุ่มร่างกายกำยำนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียวที่ถูกเลี้ยงและเติบโตมาในฝูงกอลิล่า มีทักษะการห้อยโหนโจนทะยานไปในป่าด้วยเถาวัลย์เข้าขั้นเอ็กซ์เพิร์ท ด้วยบุคลิกและคาแรกเตอร์แบบนี้ทำให้ทาร์ซานกลายเป็นอนิเมชั่รอีกหนึ่งที่มีภาพจำจนถึงทุกวันนี้ และในปี 2016 นี้ ผู้กำกับ 'David Yates' ที่เคยมีผลงานโด่งดังอย่าง 'แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต' ได้หยิบยกเอาตำนานอันเลื่องชื่อนี้ มาเคาะฝุ่นเปิดเล่าตำนานหน้าใหม่อีกครั้ง
'The Legend of Tarzan' เล่าเรื่องราวชีวิตของ 'ทาร์ซาน' (รับบทโดย Alexander Skarsgard) หลังจากการออกจากป่าแอฟริกาเข้าสู่เมืองในฐานะของ 'จอห์น เคลย์ตันที่ 3' หรือ 'ลอร์ด เกรย์สโตก' ร่วมกับ 'เจน' (รับบทโดย Margot Robbie) ภรรยาสาวคนสวยอันเป็นที่รัก แต่แล้ววันหนึ่งทาร์ซานก็ถูกเชิญให้กลับไปที่คองโกเพื่อทำหน้าที่เป็นฑูตพาณิชย์แห่งรัฐสภา โดยไม่รู้ตัวว่านี่คือแผนการแก้แค้นของ 'ลีออน รอม' (รับบทโดย Christoph Waltz) และนำไปสู่แผนก่อเหตุฆาตกรรมซึ่งยังไม่รู่สาเหตุจะนำไปสู่อะไร
ลืมภาพความใสบ๊องแบ๊วและตลกโปกฮาของทาร์ซานในวัยเด็กไปได้เลย เพราะหลังจากปล่อยตัวอย่างหนังออกมา หลายคนคงเดาทางของหนังได้ว่ามันต้องมาสายดราม่าแน่และมันก็สายนี้จริงๆ ด้วยโทนสีของเรื่องที่มีความอึมครึมและบทที่พยายามเล่นกับดราม่ากับปมพื้นหลังของทาร์ซาน ฟังแล้วดูเหมือนจะดีนะ แต่จริงแล้วมันคือดราม่าที่รสชาติจืดชืดมาก ด้วยบทและพล็อตที่แทบจะไม่มีอะไรเลย ปมปัญหาและประเด็นต่างๆ ของเรื่องมันดูน่าสนใจและถ้าทำดีๆ จะสามารถพาให้คนดูจมดิ่งไปกับอารมณ์หม่นและความตึงเครียด แต่นี่เป็นเพียงการเล่าเรื่องแบบผิวเผินแต่ละประเด็นไม่ได้ถูกขยี้ให้กระชากอารมณ์คนดู มันจึงกลายเป็นหนังที่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เพลินๆ ในธีมสีหม่นและดาร์ค แต่ไม่มีจุดพีคอะไรให้ตื่นเต้น
สิ่งที่โดดเด่นและพุ่งมากระแทกหัวใจอย่างจังสำหรับเรื่องนี้ก็คือ 'อินเนอร์ อารมณ์ และความรู้สึกของตัวละคร' ด้วยการเล่าเรื่องต่อจากการใช้ชีวิตในป่าของทาร์ซานที่ยาวนานหลายปี ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้คนดูรู้สึกให้ได้เลยก็คือ 'ความผูกพัน' ตลอดระยะเวลาของการดูหนังเรื่องนี้ เรารับรู้ได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ของตัวละคร ทาร์ซานและเจนตัวเอกของเรื่องสามารถทำให้เรารู้สึกถึงความรักและความผูกพันที่ทั้งสองมีให้กัน ไม่จำเป็นต้องมานั่งเล่าความหลังว่าทั้งสองเจออะไรมาบ้าง เราก็สามารถรับรู้ได้ว่าทั้งสองผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะจริงๆ และรักกันจริงๆ
อีกความรู้สึกหนึ่งที่ชอบมากคือ ความสัมพันธ์ของทาร์ซานกับบรรดาสัตว์ต่างๆ ทุกซีนที่เป็นการกลับมาเจอบรรดาสัตว์เพื่อนเก่าของทาร์ซาน มันมีกลิ่นอายของความคิดถึง การโหยหาอดีตและความทรงจำ รับรู้ได้ว่าทาร์ซานและบรรดาสัตว์ต่างๆ ได้เติบโตมาพร้อมกัน เคียงข้างและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ชื่นชมในเรื่องอารมณ์ของเรื่องนี้จริงๆ ถ้าตัวบทมีความเข้มข้นมากกว่านี้มันจะส่งให้อารมณ์พวกนี้มีพลังในการอิมแพคคนดูอย่างแน่นอน
การปรากฏตัวของ 'Alexander Skarsgard' ในทุกๆ ซีนนั้น มันมีพลังดึงดูดสูงมาก ทำให้เราเคลิ้มอ่อนระทวยด้วยใบหน้าที่หล่อเหลามีเสน่ห์และหุ่นที่แซ่บ กล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยมาก ชวนหลงใหลน่าลูบไล้ที่สุด ให้คะแนน 10/10 ไปเลย ในเรื่องของ CG ถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ดี การสร้างตัวละครสัตว์ยังไม่ค่อยมีความสมจริงและรายละเอียดเยอะเท่าเมาคลี แต่ก็ดูไม่หลอกตามาก ชอบฉากป่าทุกฉาก สวย อลังการ มีการคุมโทนสีและแสงให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เว่อร์เกินจริง ส่วนซาวน์ประกอบนั้น ชอบตั้งแต่ตอนตัวอย่างแล้ว มันดูยิ่งใหญ่และปลุกใจสุด และในเรื่องซาวน์ก็ช่วยเสริมให้หนังดูมีความยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น
โดยรวมถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้แย่ไปเลย ได้ไปดูซิกแพคของ 'Alexander Skarsgard' ก็ถือว่าคุ้มละ ร่วมสัมผัสอีกหนึ่งตำนานของเจ้าแห่งป่าในมุมมองใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม "The Lengend of Tarzan" วันนี้ ในโรงภาพยนตร์
https://www.facebook.com/Universalreviews/photos/a.1582452788706269.1073741829.1582134785404736/1733850080233205/?type=3&theater
[SR] เปิดตำนานหน้าใหม่วีรบุรุษแห่งเจ้าป่าทาร์ซาน The Legend of Tarzan
ปดูมาแล้ว...
เปิดตำนานหน้าใหม่วีรบุรุษแห่งเจ้าป่าทาร์ซาน บทดราม่าเรียบเฉย มีดีที่ฟิลลิ่งและอารมณ์ "The Legend of Tarzan" (ให้ 7.5/10)
*****ไม่สปอยล์*****
ย้อนกลับไปในปี 1999 "Tarzan" เป็นอีกหนึ่งอนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมของดิสนี่ย์ในตอนนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีเด็กยุค 90 คนไหนที่ไม่รู้จักทาร์ซาน ชายหนุ่มร่างกายกำยำนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียวที่ถูกเลี้ยงและเติบโตมาในฝูงกอลิล่า มีทักษะการห้อยโหนโจนทะยานไปในป่าด้วยเถาวัลย์เข้าขั้นเอ็กซ์เพิร์ท ด้วยบุคลิกและคาแรกเตอร์แบบนี้ทำให้ทาร์ซานกลายเป็นอนิเมชั่รอีกหนึ่งที่มีภาพจำจนถึงทุกวันนี้ และในปี 2016 นี้ ผู้กำกับ 'David Yates' ที่เคยมีผลงานโด่งดังอย่าง 'แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต' ได้หยิบยกเอาตำนานอันเลื่องชื่อนี้ มาเคาะฝุ่นเปิดเล่าตำนานหน้าใหม่อีกครั้ง
'The Legend of Tarzan' เล่าเรื่องราวชีวิตของ 'ทาร์ซาน' (รับบทโดย Alexander Skarsgard) หลังจากการออกจากป่าแอฟริกาเข้าสู่เมืองในฐานะของ 'จอห์น เคลย์ตันที่ 3' หรือ 'ลอร์ด เกรย์สโตก' ร่วมกับ 'เจน' (รับบทโดย Margot Robbie) ภรรยาสาวคนสวยอันเป็นที่รัก แต่แล้ววันหนึ่งทาร์ซานก็ถูกเชิญให้กลับไปที่คองโกเพื่อทำหน้าที่เป็นฑูตพาณิชย์แห่งรัฐสภา โดยไม่รู้ตัวว่านี่คือแผนการแก้แค้นของ 'ลีออน รอม' (รับบทโดย Christoph Waltz) และนำไปสู่แผนก่อเหตุฆาตกรรมซึ่งยังไม่รู่สาเหตุจะนำไปสู่อะไร
ลืมภาพความใสบ๊องแบ๊วและตลกโปกฮาของทาร์ซานในวัยเด็กไปได้เลย เพราะหลังจากปล่อยตัวอย่างหนังออกมา หลายคนคงเดาทางของหนังได้ว่ามันต้องมาสายดราม่าแน่และมันก็สายนี้จริงๆ ด้วยโทนสีของเรื่องที่มีความอึมครึมและบทที่พยายามเล่นกับดราม่ากับปมพื้นหลังของทาร์ซาน ฟังแล้วดูเหมือนจะดีนะ แต่จริงแล้วมันคือดราม่าที่รสชาติจืดชืดมาก ด้วยบทและพล็อตที่แทบจะไม่มีอะไรเลย ปมปัญหาและประเด็นต่างๆ ของเรื่องมันดูน่าสนใจและถ้าทำดีๆ จะสามารถพาให้คนดูจมดิ่งไปกับอารมณ์หม่นและความตึงเครียด แต่นี่เป็นเพียงการเล่าเรื่องแบบผิวเผินแต่ละประเด็นไม่ได้ถูกขยี้ให้กระชากอารมณ์คนดู มันจึงกลายเป็นหนังที่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เพลินๆ ในธีมสีหม่นและดาร์ค แต่ไม่มีจุดพีคอะไรให้ตื่นเต้น
สิ่งที่โดดเด่นและพุ่งมากระแทกหัวใจอย่างจังสำหรับเรื่องนี้ก็คือ 'อินเนอร์ อารมณ์ และความรู้สึกของตัวละคร' ด้วยการเล่าเรื่องต่อจากการใช้ชีวิตในป่าของทาร์ซานที่ยาวนานหลายปี ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้คนดูรู้สึกให้ได้เลยก็คือ 'ความผูกพัน' ตลอดระยะเวลาของการดูหนังเรื่องนี้ เรารับรู้ได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ของตัวละคร ทาร์ซานและเจนตัวเอกของเรื่องสามารถทำให้เรารู้สึกถึงความรักและความผูกพันที่ทั้งสองมีให้กัน ไม่จำเป็นต้องมานั่งเล่าความหลังว่าทั้งสองเจออะไรมาบ้าง เราก็สามารถรับรู้ได้ว่าทั้งสองผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะจริงๆ และรักกันจริงๆ
อีกความรู้สึกหนึ่งที่ชอบมากคือ ความสัมพันธ์ของทาร์ซานกับบรรดาสัตว์ต่างๆ ทุกซีนที่เป็นการกลับมาเจอบรรดาสัตว์เพื่อนเก่าของทาร์ซาน มันมีกลิ่นอายของความคิดถึง การโหยหาอดีตและความทรงจำ รับรู้ได้ว่าทาร์ซานและบรรดาสัตว์ต่างๆ ได้เติบโตมาพร้อมกัน เคียงข้างและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ชื่นชมในเรื่องอารมณ์ของเรื่องนี้จริงๆ ถ้าตัวบทมีความเข้มข้นมากกว่านี้มันจะส่งให้อารมณ์พวกนี้มีพลังในการอิมแพคคนดูอย่างแน่นอน
การปรากฏตัวของ 'Alexander Skarsgard' ในทุกๆ ซีนนั้น มันมีพลังดึงดูดสูงมาก ทำให้เราเคลิ้มอ่อนระทวยด้วยใบหน้าที่หล่อเหลามีเสน่ห์และหุ่นที่แซ่บ กล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยมาก ชวนหลงใหลน่าลูบไล้ที่สุด ให้คะแนน 10/10 ไปเลย ในเรื่องของ CG ถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ดี การสร้างตัวละครสัตว์ยังไม่ค่อยมีความสมจริงและรายละเอียดเยอะเท่าเมาคลี แต่ก็ดูไม่หลอกตามาก ชอบฉากป่าทุกฉาก สวย อลังการ มีการคุมโทนสีและแสงให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เว่อร์เกินจริง ส่วนซาวน์ประกอบนั้น ชอบตั้งแต่ตอนตัวอย่างแล้ว มันดูยิ่งใหญ่และปลุกใจสุด และในเรื่องซาวน์ก็ช่วยเสริมให้หนังดูมีความยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น
โดยรวมถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้แย่ไปเลย ได้ไปดูซิกแพคของ 'Alexander Skarsgard' ก็ถือว่าคุ้มละ ร่วมสัมผัสอีกหนึ่งตำนานของเจ้าแห่งป่าในมุมมองใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม "The Lengend of Tarzan" วันนี้ ในโรงภาพยนตร์
https://www.facebook.com/Universalreviews/photos/a.1582452788706269.1073741829.1582134785404736/1733850080233205/?type=3&theater