สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 106
ขออนุญาตแชร์ไอเดียการออม
ทำง่าย เก็บได้จริง สไตล์ snoopy21 นะคะ
ประสบการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้คือสิ่งที่เราปฎิบัติจริง
และรู้สึกว่ามันได้ผลในด้านการลดรายจ่าย เพิ่มการออมให้เราได้จริง
พร้อมแล้วมาฟังกันเลยจ้าาาา
1. จ่ายเมื่อไหร่เป็นต้องจด!
ควรจดรายรับรายจ่ายอย่างต่อเนื่อง และลงรายละเอียดแบบละเอียดยิบ!
จริงๆ นะ ควรละเอียด อย่าได้มองข้ามค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เด็ดขาด
10-20 บาทก็ต้องจด เพราะคุณไม่มีวันรู้หรอก
ว่าเจ้าพวกยิบย่อยเศษเล็กเศษน้อยเนี่ยะ
เมื่อคิดรวมกันมันจะกลายเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่ได้เหมือนกันนะเออ
อย่างที่ออฟฟิส น้องข้างๆ ชอบซื้อพวกน้ำชาเย็นมากินบ่อยมาก
แก้วนึงก็ไม่แพงหรอก แค่ 20-25 บาท
แต่เคยลองกดเครื่องคิดเลขคำนวณเล่นๆ ว่าทั้งเดือนต้องจ่ายเท่าไหร่
ผลลัพธ์ออกมาก็น่าตกใจมิใช่น้อย ฉะนั้นจงอย่าประมาทเชียว หุๆ
เล่มยาวๆ นี่เราจดมาตลอดตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ๆ (10 กว่าปีแระ)
คนที่ให้สมุดเล่มนี้มาคงต้องดีใจมากๆ เพราะเราใช้มันคุ้มสุดๆ อ่ะบอกเลย
จดมาเรื่อยๆ จนเต็ม เพิ่งขึ้นเล่มใหม่เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ (คือเล่มเล็กลายน้องหมา)
ปล - พวกรายละเอียดว่าเราเคยซื้อของชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่
จัดเป็นประวัติที่มีประโยชน์มากๆ เลยนะขอบอก
เพราะเราเคยจะไปซื้อแชมพูที่ร้านเภสัช
ก่อนไปเราได้ค้นดูราคาที่เคยซื้อเมื่อคราวก่อนในสมุดจด
เมื่อไปซื้อจริงๆ เภสัชแจ้งราคาที่ไม่ตรงกับคราวก่อน
เราจึงแจ้งว่าครั้งล่าสุดเค้าขายเราราคานี้
เค้าก็อ๋อๆๆ ได้ๆๆ
สรุปข้อดีคือ ประวัติรายจ่ายช่วยป้องกันการซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้นได้ด้วย
ลืมบอก ตั้งแต่ทำงานมาเราจะกฎในการใช้จ่ายเงินรายเดือนของเราอยู่แล้วคือ
"รายจ่ายห้ามเกินครึ่งนึงของรายรับ"
(ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น เจ็บป่วย ท่องเที่ยว หรือซื้อสินค้าจำเป็นราคาสูง)
ซึ่งการมีสมุดจดรายรับรายจ่ายมันทำให้เราควบคุมได้ง่ายขึ้น
ได้เห็นภาพชัดขึ้นว่าเดือนนี้เรามีรายจ่ายช่วงต้นเดือนเยอะเกินไปแล้วนะ
มันกำลังเข้าสภาวะเกินครึ่งแล้วนะ
เห็นปุ๊บเราก็จะเริ่มตั้งสติและพิจารณาตัวเองด่วน
ว่าช่วงเวลาที่เหลือก่อนจบเดือนนี้ เราต้องไม่หาเรื่องเสียเงินมากเกินไปอีก
2. เหนื่อยทั้งทีต้องให้ชีวีมีสุขบ้าง!
เราเป็นพวกชอบกินของอร่อยๆ ฉะนั้นเราจะตั้งกฎให้ตัวเองว่า
ใน 1 เดือนจะได้รับสิทธิ์กินหรู 1 ครั้ง
(หมายถึงที่ต้องจ่ายเองนะ ถ้าคนอื่นเลี้ยงก็ไปโลดดดด)
หรูที่เราว่านี่ จริงๆ ก็ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไรนักหรอก
ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกร้านอาหารญี่ปุ่นต่างๆ ในห้าง
เหนื่อยทำงานแล้วก็ต้องให้ร่างกายได้รับความเกษมสำราญบ้างว่างั้น
ส่วนใครไม่ได้ชอบแนวกิน แต่ชอบแนวอื่นก็เปลี่ยนเป็นรางวัลอื่นกันไป
นอกจากกฏเกี่ยวกับอาหารแล้ว เรายังมีกฎเกี่ยวกับการซื้อเสื้อผ้าด้วย
คือ 1 เดือนได้รับสิทธิ์ 1 ครั้งเช่นกัน
ซึ่งส่วนใหญ่นานๆ ใช้สิทธิทีนึง
เพราะเรามักร่วมกิจกรรมใน FB แล้วได้เสื้อมาเป็นรางวัลเพียบเลย
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดจากภาพยนต์ หรือจากสินค้าต่างๆ
ทำให้ไม่ต้องเสียเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ไปอีกนานแสนนาน
ที่เห็นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าให้นับกันจริงๆ
มีไม่ต่ำกว่า 30 ตัวกระมัง
ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้เสื้อยืดแจกฟรีดีไซน์สวยๆ
ไม่แพ้เสื้อซื้อเลยนะจะบอกให้ อิๆ
3. ปลูกผักกินเถอะพี่น้องงงง!
เราเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้มากๆ แถมชอบกินผักอีก
ฉะนั้น พลาดได้ไงกับการปลูกผักกินเอง หุๆ
งานนี้เมล็ดก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อนะ
เพราะเราได้รับแจกมาจากห้องต้นไม้ ณ พันทิบแห่งนี้นี่เอ๊งงง
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ห้องนั้นใจดีชอบตั้งกระทู้แบ่งปันเมล็ดกันบ่อยๆ
เราเองก็มีโอกาสตั้งกระทู้แจกเมล็ดดอกไม้+ผักอยู่หลายครั้งเช่นกัน
นอกจากนี้ ก็ยังมี Punpun Organic Farm
ที่เค้ามักจะประกาศแจกเมล็ดพืชผักต่างๆ ใน FB อยู่เสมอ
เพราะเค้าเน้นแจกจ่ายมิให้เมล็ดพันธุ์ต้องสูญหาย
และสนับสนุนให้คนได้ยังชีพด้วยตนเองอย่างพอเพียง
นอกจากการปลูกจากเมล็ดแบบนี้แล้ว
การปลูกผักที่ง่ายๆ และได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า
จากเศษเหลือใช้ก็ได้แก่ การปักชำ
อย่างเช่น ผักบุ้งที่เราซื้อมาเด็ดยอด เด็ดใบกิน
เวลาเหลือก้านแก่ๆ เรามักจะทิ้งกันใช่มั้ยล่ะ
แต่สำหรับเรา เราไม่ทิ้งนะ
เราจะเอาก้านผักบุ้งไปปักในดิน รดน้ำให้ชุ่ม
สักพักมันจะแตกยอดอ่อนๆ ขึ้นมา
เมื่อยอดมันโต ก็พร้อมที่จะไปอยู่ในชามมาม่าของเราล่ะ อิๆ
ส่วนโหระพานี่มาจากก๋วยเตี๋ยวเรือเลย
ที่บ้านมักซื้อมากินทุกเที่ยงวันอาทิตย์
พอเด็ดใบมากินหมดก็เก็บก้านไปปักในดิน รดน้ำเป็นอันเสร็จพิธี
เห็นมั้ยล่ะ ทั้งสนุก ทั้งอร่อย ทั้งประหยัด ทั้งปลอดภัย ทั้งภูมิใจ!
Tip
หลายคนบอกไม่อยากเปลืองตังซื้อกระถางมาปลูก
ไม่ต้องเลยจ้า ของเราเวลาเพาะจะใช้พวกแก้วน้ำใช้แล้วมาเพาะ
อย่างที่ออฟฟิส มีหลายคนเลยที่ชอบซื้อกาแฟ ชาเย็นมากิน
เราก็จะคอยรวบรวมแก้วที่ทิ้งแล้วมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า
ซึ่งเมื่อต้นโตใหญ่แล้ว เราสามารถนำมาปลูกในภาชนะที่ใหญ่ขึ้นได้
ด้วยวัสดุเหลือใช้อีกเช่นเคย เช่น กล่องโฟมที่เก่าแล้วในตลาด
สามารถขอจากแม่ค้าพ่อค้า หรือซื้อต่อในราคาถูกๆ
หรือไม่ก็กาละมังถังแตก ซึ่งใครจะเชื่อ
ว่าเราเคยปลูกข้าวโพดกับกาละมังมาแล้ว!
4. สวมวิญญาณเชฟกระทะเหล็ก!
หลักการลดรายจ่ายพื้นฐานที่รู้ๆ กันอยู่ก็คือ การทำอาหารไปกินเองที่ออฟฟิส
แต่เรามีเทคนิคที่พิเศษขึ้นไปอีก ซึ่งช่วยให้ประหยัดมากขึ้นไปอีก
แต่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ไอเดียบรรเจิดสุดๆ
ประหนึ่งสวมบทบาทเป็นเชฟกระทะเหล็กที่เมื่อได้รับโจทย์อาหารมา
ก็ต้องรังสรรค์เมนูแปลกๆ ใหม่ๆ ให้เข้ากับวัตถุดิบที่มีให้
นั่นก็คือ การดัดแปลงเอาอาหารเย็นที่กินเหลือ
มาทำเป็นเมนูใหม่ๆ สำหรับเที่ยงพรุ่งนี้!
ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
บ้านเรามักกินกับข้าวตอนเย็นไม่ค่อยหมด
จะชอบเหลือพวกน้ำแกงเขียวหวานประมาณครึ่งชาม
พร้อมเศษไก่และฟักนิดๆ หน่อยๆ
เราเป็นคนชอบเสียดายของกิน ไม่กล้าทิ้ง
ก็เลยจัดการบรรเลงฝีมือ ด้วยการนำแกงที่เหลือ
มาราดบนเส้นมาม่าแล้วเข้าเตาไมโครเวฟ
กลายเป็นเมนู "มาม่าแกงเขียวหวาน" แสนอร่อยยยยย
แต่ถ้าเหลือน้ำแกงน้อยมาก เราจะนำไปผัดกับข้าวสวย
กลายเป็น "ข้าวผัดแกงเขียวหวาน"
ซึ่งเมนูข้าวผัดเนี่ยะ สามารถผัดได้กับกับข้าวเหลืออื่นๆ ได้หลายชนิดนัก
เช่น แกงแพนงหมู ผัดวุ้นเส้น ไก่ผัดขิง เป็นต้น
วันไหนเหลือแกงส้มหรือต้มยำกุ้ง
เรามักจะเอาไปคั่วๆ กับวุ้นเส้นในกระทะ
กลายเป็นเมนูแปลกใหม่แสนอร่อยที่ใครเห็นก็ต้องถามด้วยความสนใจ
"เฮ้ย….กินอะไรอ่ะ ขอชิมมั่งงงง"
5. ส่งหนังสือต้องเปิดอ้า!
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนที่ส่งพัสดุไปรษณีย์บ่อยมากกกก
จะให้เสียเงินซื้อกล่องก็เสียดายเงิน
จึงใช้วิธีคอยเก็บรวบรวมกล่องเวลามีคนส่งไปรษณีย์มาให้เรา
รวมไปถึงที่ส่งมาให้เพื่อนๆ ในออฟฟิสด้วย
ส่วนใหญ่เวลาถามว่า "จะเก็บกล่องมั้ย หรือจะทิ้ง ถ้าทิ้งเราขอ"
พวกเพื่อนๆ ก็ยินดียกให้ตลอด เพราะพวกเค้ามองว่ามันเป็นขยะรกๆ
ช่วงหลังๆ ใครได้รับกล่องพัสดุก็จะถือกล่องมาให้เราโดยปริยาย อิๆ
ปัจจุบันนี้ จึงมีกล่องหลาย size ให้เลือกใช้ไม่หวาดไม่ไหว
และอีกเรื่องนึงสำคัญมาก เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ค่อยรู้กัน
เราเองขนาดเป็นคนส่งไปรษณีย์บ๊อยบ่อยก็ยังเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง
เรื่องนั้นก็คือ "การส่งพัสดุไปรณีย์แบบสื่อสิ่งพิมพ์"
คือปกติเวลาเราส่งหนังสือให้ใคร
เราจะใส่ซองปิดผนึก ติดเทปกาวตามปกติใข้มั้ยล่ะ
อย่างมีอยู่ครั้งนึงเราสั่งซื้อหนังสือธรรมะส่งบริจาค
ตามห้องสมุดเรือนจำ โรงเรียน วัด โรงพยาบาล ฯลฯ
เป็นจำนวน 30-40 ซอง (1 ซองเราใส่ไป 2 เล่มขนาด A5)
ไปส่งรอบแรก พนักงานไม่ได้บอกอะไร
คิดราคาต่อซอง = 15 บาท
รอบสอง
พนักงานคนใหม่เห็นพัสดุหน้าตาคล้ายๆ กันหมดเยอะมาก
เลยถามเราว่า "ข้างในคืออะไรคะ"
เราตอบ "หนังสือค่ะ"
พนักงานใจดีแนะนำว่าถ้าส่งแบบ "สื่อสิ่งพิมพ์" จะถูกลงครึ่งนึง
แต่ต้องอย่าปิดซอง คือให้ยื่นซองแบบเปิดอ้าให้พนักงานได้เห็น
ว่าข้างในคือหนังสือ แล้วพนักงานจะเย็บแม็คให้เป็นการปิดซอง
คิดราคาต่อซอง = 8 บาท
สรุป ประหยัดค่าส่งไปครึ่งๆ เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเสียเงินแพงเกินเหตุไปตั้งหลายต่อหลายครั้งแล้ว
หลังจากนั้นถ้าใครจะส่งหนังสือ เราจะรีบบอกเทคนิคนี้ทันที
ซึ่งเป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่มีใครเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย!
นอกจากลดรายจ่ายตามวิธีที่กล่าวไปแล้ว
เราก็ยังพยายามหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากอาชีพหลักอีกด้วย
ทำให้ดึงเงินเดือนที่ได้รับประจำมาใช้น้อยลง เงินเก็บก็มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
เราเคยรับสอนภาษาอังกฤษ & ญี่ปุ่นช่วงเลิกงานและวันหยุด
ซึ่งโชคดีมากที่หลังจากจบมหาลัย
เรายังเก็บแล็คเชอร์ภาษาญี่ปุ่นไว้อย่างครบครัน
เราจึงสามารถนำเนื้อหาที่เคยเรียนในมหาลัยมาสอนต่อได้สบายๆ
โดยในการสอนนั้น เรามักสอนแบบตัวต่อตัว
คิดชั่วโมงละ 100 บาท สอนที่บ้านเราเอง
(นานๆ ทีจะมีมาเรียนเป็นคู่ หรือไม่ก็เป็นกลุ่ม)
ต้นทุนแทบจะไม่มีเลย มีแค่เอกสารประกอบการเรียน
เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 ใบ ราคาถ่ายเอกสารแค่ 1 บาทเท่านั้น
(เทคนิคการสอนของเรา จะเน้นให้เด็กจดเองด้วยมือในสมุด
เพราะวิธีนี้จะทำให้เด็กจำเนื้อหาที่เรียนได้ดีมากกว่า)
สรุป สิ่งที่ใช้จริงๆ มีแค่ความรู้ที่เรามีเป็นหลัก
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ แค่ 1-2 บาทต่อชั่วโมงเท่านั้น
ฉะนั้น เราจึงอยากสนับสนุนมากๆ เลย
สำหรับคนที่ต้องการหารายได้เพิ่ม แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี
ไม่มีเงินทุนเปิดร้าน ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ
เพราะหากคุณมีความรู้ด้านใดด้านหนึ่งซะอย่าง
(ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา การทำอาหาร งานฝีมือ ฯลฯ)
เชื่อสิ คุณไม่มีวันอดตายแน่ๆ
ความรู้ ความสามารถของคุณนี่แหละ
จะเป็นสิ่งที่คุณสามารถนำไปสอนคนอื่น
และสร้างรายได้โดยไม่มีคำว่าขาดทุนแน่ๆ!
ส่วนในปัจจุบันแม้เราจะไม่ได้สอนแล้ว
(เหตุเพราะอยากมีเวลาว่างให้ตัวเองมากขึ้น)
เราได้ค้นพบลู่ทางหารายได้เสริมใหม่
นั่นก็คือ การทำ sticker LINE ขายนั่นเอง!
ด้วยความที่เราชอบวาดการ์ตูนอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
แถมมี ipad เก่าๆ อยู่แล้วด้วยเครื่องนึง
แค่โหลดโปรแกรมสำหรับวาดรูปฟรีมาใช้
เพียงเท่านี้ การทำ sticker LINE ของเราก็สำเร็จไปแบบง่ายๆ
ใช้เวลาไม่นาน แถมไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มด้วย
งานนี้อาศัยใจรักและความสามารถส่วนตัวล้วนๆ
หลังจากได้ปล่อยขายอย่างเป็นทางการ
ชีวิตเราก็เพลินไปกับการเช็คยอดขายแต่ละวันแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง
แม้ยอดขายจะพุ่งสูงเป็นพิเศษหลอกให้เราดีใจแค่สองวันแรก
แล้วค่อยๆ ดำดิ่งเป็นเส้นกราฟลาดชันมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
แต่อย่างน้อยเมื่อนำเงินรายได้ทั้งหมดมาคิดเฉลี่ยดูแล้ว
เราพบว่า sticker ของเราสามารถทำเงิน
ได้เกือบเท่ากับเงินเดือนที่เราได้รับเฉลี่ยต่อวันเลยทีเดียว
งานนี้เหนื่อยแค่ตอนวาดรูป ทำเรื่องส่งพิจารณา
แต่พองานผ่านอนุมัติ ปล่อยขายได้ปุ้บ
เราแค่โปรโมทในวันแรกๆ หลังจากนั้นแทบไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ
นั่งรอดูรายได้แบบ realtime ผ่านหน้าจอคอมพ์สบายๆ
เหมือนทำงานออฟฟิสเท่าเดิมแต่ได้เงินเป็น 2 เท่า!
ทำง่าย เก็บได้จริง สไตล์ snoopy21 นะคะ
ประสบการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้คือสิ่งที่เราปฎิบัติจริง
และรู้สึกว่ามันได้ผลในด้านการลดรายจ่าย เพิ่มการออมให้เราได้จริง
พร้อมแล้วมาฟังกันเลยจ้าาาา
1. จ่ายเมื่อไหร่เป็นต้องจด!
ควรจดรายรับรายจ่ายอย่างต่อเนื่อง และลงรายละเอียดแบบละเอียดยิบ!
จริงๆ นะ ควรละเอียด อย่าได้มองข้ามค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เด็ดขาด
10-20 บาทก็ต้องจด เพราะคุณไม่มีวันรู้หรอก
ว่าเจ้าพวกยิบย่อยเศษเล็กเศษน้อยเนี่ยะ
เมื่อคิดรวมกันมันจะกลายเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่ได้เหมือนกันนะเออ
อย่างที่ออฟฟิส น้องข้างๆ ชอบซื้อพวกน้ำชาเย็นมากินบ่อยมาก
แก้วนึงก็ไม่แพงหรอก แค่ 20-25 บาท
แต่เคยลองกดเครื่องคิดเลขคำนวณเล่นๆ ว่าทั้งเดือนต้องจ่ายเท่าไหร่
ผลลัพธ์ออกมาก็น่าตกใจมิใช่น้อย ฉะนั้นจงอย่าประมาทเชียว หุๆ
เล่มยาวๆ นี่เราจดมาตลอดตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ๆ (10 กว่าปีแระ)
คนที่ให้สมุดเล่มนี้มาคงต้องดีใจมากๆ เพราะเราใช้มันคุ้มสุดๆ อ่ะบอกเลย
จดมาเรื่อยๆ จนเต็ม เพิ่งขึ้นเล่มใหม่เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ (คือเล่มเล็กลายน้องหมา)
ปล - พวกรายละเอียดว่าเราเคยซื้อของชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่
จัดเป็นประวัติที่มีประโยชน์มากๆ เลยนะขอบอก
เพราะเราเคยจะไปซื้อแชมพูที่ร้านเภสัช
ก่อนไปเราได้ค้นดูราคาที่เคยซื้อเมื่อคราวก่อนในสมุดจด
เมื่อไปซื้อจริงๆ เภสัชแจ้งราคาที่ไม่ตรงกับคราวก่อน
เราจึงแจ้งว่าครั้งล่าสุดเค้าขายเราราคานี้
เค้าก็อ๋อๆๆ ได้ๆๆ
สรุปข้อดีคือ ประวัติรายจ่ายช่วยป้องกันการซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้นได้ด้วย
ลืมบอก ตั้งแต่ทำงานมาเราจะกฎในการใช้จ่ายเงินรายเดือนของเราอยู่แล้วคือ
"รายจ่ายห้ามเกินครึ่งนึงของรายรับ"
(ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น เจ็บป่วย ท่องเที่ยว หรือซื้อสินค้าจำเป็นราคาสูง)
ซึ่งการมีสมุดจดรายรับรายจ่ายมันทำให้เราควบคุมได้ง่ายขึ้น
ได้เห็นภาพชัดขึ้นว่าเดือนนี้เรามีรายจ่ายช่วงต้นเดือนเยอะเกินไปแล้วนะ
มันกำลังเข้าสภาวะเกินครึ่งแล้วนะ
เห็นปุ๊บเราก็จะเริ่มตั้งสติและพิจารณาตัวเองด่วน
ว่าช่วงเวลาที่เหลือก่อนจบเดือนนี้ เราต้องไม่หาเรื่องเสียเงินมากเกินไปอีก
2. เหนื่อยทั้งทีต้องให้ชีวีมีสุขบ้าง!
เราเป็นพวกชอบกินของอร่อยๆ ฉะนั้นเราจะตั้งกฎให้ตัวเองว่า
ใน 1 เดือนจะได้รับสิทธิ์กินหรู 1 ครั้ง
(หมายถึงที่ต้องจ่ายเองนะ ถ้าคนอื่นเลี้ยงก็ไปโลดดดด)
หรูที่เราว่านี่ จริงๆ ก็ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไรนักหรอก
ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกร้านอาหารญี่ปุ่นต่างๆ ในห้าง
เหนื่อยทำงานแล้วก็ต้องให้ร่างกายได้รับความเกษมสำราญบ้างว่างั้น
ส่วนใครไม่ได้ชอบแนวกิน แต่ชอบแนวอื่นก็เปลี่ยนเป็นรางวัลอื่นกันไป
นอกจากกฏเกี่ยวกับอาหารแล้ว เรายังมีกฎเกี่ยวกับการซื้อเสื้อผ้าด้วย
คือ 1 เดือนได้รับสิทธิ์ 1 ครั้งเช่นกัน
ซึ่งส่วนใหญ่นานๆ ใช้สิทธิทีนึง
เพราะเรามักร่วมกิจกรรมใน FB แล้วได้เสื้อมาเป็นรางวัลเพียบเลย
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดจากภาพยนต์ หรือจากสินค้าต่างๆ
ทำให้ไม่ต้องเสียเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ไปอีกนานแสนนาน
ที่เห็นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าให้นับกันจริงๆ
มีไม่ต่ำกว่า 30 ตัวกระมัง
ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้เสื้อยืดแจกฟรีดีไซน์สวยๆ
ไม่แพ้เสื้อซื้อเลยนะจะบอกให้ อิๆ
3. ปลูกผักกินเถอะพี่น้องงงง!
เราเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้มากๆ แถมชอบกินผักอีก
ฉะนั้น พลาดได้ไงกับการปลูกผักกินเอง หุๆ
งานนี้เมล็ดก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อนะ
เพราะเราได้รับแจกมาจากห้องต้นไม้ ณ พันทิบแห่งนี้นี่เอ๊งงง
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ห้องนั้นใจดีชอบตั้งกระทู้แบ่งปันเมล็ดกันบ่อยๆ
เราเองก็มีโอกาสตั้งกระทู้แจกเมล็ดดอกไม้+ผักอยู่หลายครั้งเช่นกัน
นอกจากนี้ ก็ยังมี Punpun Organic Farm
ที่เค้ามักจะประกาศแจกเมล็ดพืชผักต่างๆ ใน FB อยู่เสมอ
เพราะเค้าเน้นแจกจ่ายมิให้เมล็ดพันธุ์ต้องสูญหาย
และสนับสนุนให้คนได้ยังชีพด้วยตนเองอย่างพอเพียง
นอกจากการปลูกจากเมล็ดแบบนี้แล้ว
การปลูกผักที่ง่ายๆ และได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า
จากเศษเหลือใช้ก็ได้แก่ การปักชำ
อย่างเช่น ผักบุ้งที่เราซื้อมาเด็ดยอด เด็ดใบกิน
เวลาเหลือก้านแก่ๆ เรามักจะทิ้งกันใช่มั้ยล่ะ
แต่สำหรับเรา เราไม่ทิ้งนะ
เราจะเอาก้านผักบุ้งไปปักในดิน รดน้ำให้ชุ่ม
สักพักมันจะแตกยอดอ่อนๆ ขึ้นมา
เมื่อยอดมันโต ก็พร้อมที่จะไปอยู่ในชามมาม่าของเราล่ะ อิๆ
ส่วนโหระพานี่มาจากก๋วยเตี๋ยวเรือเลย
ที่บ้านมักซื้อมากินทุกเที่ยงวันอาทิตย์
พอเด็ดใบมากินหมดก็เก็บก้านไปปักในดิน รดน้ำเป็นอันเสร็จพิธี
เห็นมั้ยล่ะ ทั้งสนุก ทั้งอร่อย ทั้งประหยัด ทั้งปลอดภัย ทั้งภูมิใจ!
Tip
หลายคนบอกไม่อยากเปลืองตังซื้อกระถางมาปลูก
ไม่ต้องเลยจ้า ของเราเวลาเพาะจะใช้พวกแก้วน้ำใช้แล้วมาเพาะ
อย่างที่ออฟฟิส มีหลายคนเลยที่ชอบซื้อกาแฟ ชาเย็นมากิน
เราก็จะคอยรวบรวมแก้วที่ทิ้งแล้วมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า
ซึ่งเมื่อต้นโตใหญ่แล้ว เราสามารถนำมาปลูกในภาชนะที่ใหญ่ขึ้นได้
ด้วยวัสดุเหลือใช้อีกเช่นเคย เช่น กล่องโฟมที่เก่าแล้วในตลาด
สามารถขอจากแม่ค้าพ่อค้า หรือซื้อต่อในราคาถูกๆ
หรือไม่ก็กาละมังถังแตก ซึ่งใครจะเชื่อ
ว่าเราเคยปลูกข้าวโพดกับกาละมังมาแล้ว!
4. สวมวิญญาณเชฟกระทะเหล็ก!
หลักการลดรายจ่ายพื้นฐานที่รู้ๆ กันอยู่ก็คือ การทำอาหารไปกินเองที่ออฟฟิส
แต่เรามีเทคนิคที่พิเศษขึ้นไปอีก ซึ่งช่วยให้ประหยัดมากขึ้นไปอีก
แต่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ไอเดียบรรเจิดสุดๆ
ประหนึ่งสวมบทบาทเป็นเชฟกระทะเหล็กที่เมื่อได้รับโจทย์อาหารมา
ก็ต้องรังสรรค์เมนูแปลกๆ ใหม่ๆ ให้เข้ากับวัตถุดิบที่มีให้
นั่นก็คือ การดัดแปลงเอาอาหารเย็นที่กินเหลือ
มาทำเป็นเมนูใหม่ๆ สำหรับเที่ยงพรุ่งนี้!
ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
บ้านเรามักกินกับข้าวตอนเย็นไม่ค่อยหมด
จะชอบเหลือพวกน้ำแกงเขียวหวานประมาณครึ่งชาม
พร้อมเศษไก่และฟักนิดๆ หน่อยๆ
เราเป็นคนชอบเสียดายของกิน ไม่กล้าทิ้ง
ก็เลยจัดการบรรเลงฝีมือ ด้วยการนำแกงที่เหลือ
มาราดบนเส้นมาม่าแล้วเข้าเตาไมโครเวฟ
กลายเป็นเมนู "มาม่าแกงเขียวหวาน" แสนอร่อยยยยย
แต่ถ้าเหลือน้ำแกงน้อยมาก เราจะนำไปผัดกับข้าวสวย
กลายเป็น "ข้าวผัดแกงเขียวหวาน"
ซึ่งเมนูข้าวผัดเนี่ยะ สามารถผัดได้กับกับข้าวเหลืออื่นๆ ได้หลายชนิดนัก
เช่น แกงแพนงหมู ผัดวุ้นเส้น ไก่ผัดขิง เป็นต้น
วันไหนเหลือแกงส้มหรือต้มยำกุ้ง
เรามักจะเอาไปคั่วๆ กับวุ้นเส้นในกระทะ
กลายเป็นเมนูแปลกใหม่แสนอร่อยที่ใครเห็นก็ต้องถามด้วยความสนใจ
"เฮ้ย….กินอะไรอ่ะ ขอชิมมั่งงงง"
5. ส่งหนังสือต้องเปิดอ้า!
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนที่ส่งพัสดุไปรษณีย์บ่อยมากกกก
จะให้เสียเงินซื้อกล่องก็เสียดายเงิน
จึงใช้วิธีคอยเก็บรวบรวมกล่องเวลามีคนส่งไปรษณีย์มาให้เรา
รวมไปถึงที่ส่งมาให้เพื่อนๆ ในออฟฟิสด้วย
ส่วนใหญ่เวลาถามว่า "จะเก็บกล่องมั้ย หรือจะทิ้ง ถ้าทิ้งเราขอ"
พวกเพื่อนๆ ก็ยินดียกให้ตลอด เพราะพวกเค้ามองว่ามันเป็นขยะรกๆ
ช่วงหลังๆ ใครได้รับกล่องพัสดุก็จะถือกล่องมาให้เราโดยปริยาย อิๆ
ปัจจุบันนี้ จึงมีกล่องหลาย size ให้เลือกใช้ไม่หวาดไม่ไหว
และอีกเรื่องนึงสำคัญมาก เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ค่อยรู้กัน
เราเองขนาดเป็นคนส่งไปรษณีย์บ๊อยบ่อยก็ยังเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง
เรื่องนั้นก็คือ "การส่งพัสดุไปรณีย์แบบสื่อสิ่งพิมพ์"
คือปกติเวลาเราส่งหนังสือให้ใคร
เราจะใส่ซองปิดผนึก ติดเทปกาวตามปกติใข้มั้ยล่ะ
อย่างมีอยู่ครั้งนึงเราสั่งซื้อหนังสือธรรมะส่งบริจาค
ตามห้องสมุดเรือนจำ โรงเรียน วัด โรงพยาบาล ฯลฯ
เป็นจำนวน 30-40 ซอง (1 ซองเราใส่ไป 2 เล่มขนาด A5)
ไปส่งรอบแรก พนักงานไม่ได้บอกอะไร
คิดราคาต่อซอง = 15 บาท
รอบสอง
พนักงานคนใหม่เห็นพัสดุหน้าตาคล้ายๆ กันหมดเยอะมาก
เลยถามเราว่า "ข้างในคืออะไรคะ"
เราตอบ "หนังสือค่ะ"
พนักงานใจดีแนะนำว่าถ้าส่งแบบ "สื่อสิ่งพิมพ์" จะถูกลงครึ่งนึง
แต่ต้องอย่าปิดซอง คือให้ยื่นซองแบบเปิดอ้าให้พนักงานได้เห็น
ว่าข้างในคือหนังสือ แล้วพนักงานจะเย็บแม็คให้เป็นการปิดซอง
คิดราคาต่อซอง = 8 บาท
สรุป ประหยัดค่าส่งไปครึ่งๆ เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเสียเงินแพงเกินเหตุไปตั้งหลายต่อหลายครั้งแล้ว
หลังจากนั้นถ้าใครจะส่งหนังสือ เราจะรีบบอกเทคนิคนี้ทันที
ซึ่งเป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่มีใครเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย!
นอกจากลดรายจ่ายตามวิธีที่กล่าวไปแล้ว
เราก็ยังพยายามหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากอาชีพหลักอีกด้วย
ทำให้ดึงเงินเดือนที่ได้รับประจำมาใช้น้อยลง เงินเก็บก็มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
เราเคยรับสอนภาษาอังกฤษ & ญี่ปุ่นช่วงเลิกงานและวันหยุด
ซึ่งโชคดีมากที่หลังจากจบมหาลัย
เรายังเก็บแล็คเชอร์ภาษาญี่ปุ่นไว้อย่างครบครัน
เราจึงสามารถนำเนื้อหาที่เคยเรียนในมหาลัยมาสอนต่อได้สบายๆ
โดยในการสอนนั้น เรามักสอนแบบตัวต่อตัว
คิดชั่วโมงละ 100 บาท สอนที่บ้านเราเอง
(นานๆ ทีจะมีมาเรียนเป็นคู่ หรือไม่ก็เป็นกลุ่ม)
ต้นทุนแทบจะไม่มีเลย มีแค่เอกสารประกอบการเรียน
เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 ใบ ราคาถ่ายเอกสารแค่ 1 บาทเท่านั้น
(เทคนิคการสอนของเรา จะเน้นให้เด็กจดเองด้วยมือในสมุด
เพราะวิธีนี้จะทำให้เด็กจำเนื้อหาที่เรียนได้ดีมากกว่า)
สรุป สิ่งที่ใช้จริงๆ มีแค่ความรู้ที่เรามีเป็นหลัก
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ แค่ 1-2 บาทต่อชั่วโมงเท่านั้น
ฉะนั้น เราจึงอยากสนับสนุนมากๆ เลย
สำหรับคนที่ต้องการหารายได้เพิ่ม แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี
ไม่มีเงินทุนเปิดร้าน ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ
เพราะหากคุณมีความรู้ด้านใดด้านหนึ่งซะอย่าง
(ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา การทำอาหาร งานฝีมือ ฯลฯ)
เชื่อสิ คุณไม่มีวันอดตายแน่ๆ
ความรู้ ความสามารถของคุณนี่แหละ
จะเป็นสิ่งที่คุณสามารถนำไปสอนคนอื่น
และสร้างรายได้โดยไม่มีคำว่าขาดทุนแน่ๆ!
ส่วนในปัจจุบันแม้เราจะไม่ได้สอนแล้ว
(เหตุเพราะอยากมีเวลาว่างให้ตัวเองมากขึ้น)
เราได้ค้นพบลู่ทางหารายได้เสริมใหม่
นั่นก็คือ การทำ sticker LINE ขายนั่นเอง!
ด้วยความที่เราชอบวาดการ์ตูนอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
แถมมี ipad เก่าๆ อยู่แล้วด้วยเครื่องนึง
แค่โหลดโปรแกรมสำหรับวาดรูปฟรีมาใช้
เพียงเท่านี้ การทำ sticker LINE ของเราก็สำเร็จไปแบบง่ายๆ
ใช้เวลาไม่นาน แถมไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มด้วย
งานนี้อาศัยใจรักและความสามารถส่วนตัวล้วนๆ
หลังจากได้ปล่อยขายอย่างเป็นทางการ
ชีวิตเราก็เพลินไปกับการเช็คยอดขายแต่ละวันแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง
แม้ยอดขายจะพุ่งสูงเป็นพิเศษหลอกให้เราดีใจแค่สองวันแรก
แล้วค่อยๆ ดำดิ่งเป็นเส้นกราฟลาดชันมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
แต่อย่างน้อยเมื่อนำเงินรายได้ทั้งหมดมาคิดเฉลี่ยดูแล้ว
เราพบว่า sticker ของเราสามารถทำเงิน
ได้เกือบเท่ากับเงินเดือนที่เราได้รับเฉลี่ยต่อวันเลยทีเดียว
งานนี้เหนื่อยแค่ตอนวาดรูป ทำเรื่องส่งพิจารณา
แต่พองานผ่านอนุมัติ ปล่อยขายได้ปุ้บ
เราแค่โปรโมทในวันแรกๆ หลังจากนั้นแทบไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ
นั่งรอดูรายได้แบบ realtime ผ่านหน้าจอคอมพ์สบายๆ
เหมือนทำงานออฟฟิสเท่าเดิมแต่ได้เงินเป็น 2 เท่า!
ความคิดเห็นที่ 36
สวัสดีค่ะ
สำหรับตัวเราเองนั้น เราจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกครั้งและทำปฏิทินควบคุมรายจ่ายทุกเดือนค่ะ
ทุกเดือนทันทีที่ได้รับเงิน เราจะรีบแบ่งเงินฝากธนาคารก่อนเป็นอันดับแรก
เงินที่เหลือเอาไปแตกเป็นธนบัตรย่อยทั้งหมด สำหรับค่าอาหารการกิน ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
-สองสัปดาห์แรก เราประหยัดกิน ประหยัดใช้จ่ายสุดๆ
-สองสัปดาห์ต่อมา ค่อยยืดหยุ่น ไม่รัดเข็มขัดมากเกินไป
-สัปดาห์สุดท้าย มีเงินเหลือใช้จ่ายสบายๆ ซื้อของกิน(ข้าวสาร-อาหารแห้งมาตุนไว้ ของใช้ในบ้านซื้อตุนไว้ค่ะ)
เมื่อรับเงินเดือนของเดือนใหม่ ก็ทำตามขั้นตอนเหมือนเดิม
สิ่งที่เราทำได้จริงคือ เราชอบใช้จ่ายด้วยธนบัตรย่อย+เหรียญ ชอบจ่ายเงินให้พอดีกับราคาของสินค้า
เก็บธนบัตรใหม่ๆ มีเลขตอง เป็นของหายาก ได้มาแล้วอยากเก็บมากกว่าอยากเอาไปใช้ค่ะ
ส่วนกระปุกออมสินไม่จำเป็นต้องซื้อ เป็นกระปุกออมสินที่ได้รับแจกฟรีจากธนาคารบ้าง เป็นขวดเปล่า กระป๋องเปล่า สามารถนำมาใช้เป็นกระปุกออมสินได้ เก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อยๆ
หย่อนธนบัตรใส่ขวดพลาสติกใส สะสมไว้ให้ครบปี เอาเงินไปซื้อสลากออมสินทุกปีค่ะ
เริ่มซื้อสลากออมสินครั้งแรก ตอนเป็นนักศึกษา ซื้อเดือนละ ๕๐๐ บาททุกเดือน
พอเรียนจบ ทำงานก็ยังคงซื้อต่อมาเรื่อยๆ สลากออมสินครบอายุฝาก ๓ ปี บวกเงินออมของเรา เอาไปซื้อสลากออมสินต่อไปเรื่อยๆค่ะ
จากเงินหลักร้อยที่ซื้อสลากออมสินครั้งแรกเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว
ปัจจุบันเรามีสลากออมสิน และ สลากธ.ก.ส.มูลค่าหลักล้านแล้วค่ะ
ขอให้มีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจจริง มีความเพียร พยายาม ทำเป็นประจำ ทำอย่างสม่ำเสมอ
จากเงินหลักร้อยในวันนั้น ก็กลายเป็นเงินหลักล้านได้ในวันนี้ค่ะ
เงินรางวัลที่ได้รับ+ดอกเบี้ยเมื่อฝากครบสามปี เราเอาไปซื้อทองคำแท่ง/ทองรูปพรรณมาเก็บสะสมค่ะ
นี่คือเงินรางวัลที่ได้รับจากสลากออมสิน และสลากธ.ก.ส.(ปีพ.ศ.๒๕๕๘) ได้รางวัลทุกเดือน(โอนเงินรางวัลเข้าบัญชีอัตโนมัติ)
(สำหรับเงินรางวัลในปีพ.ศ.๒๕๕๙ เนื่องจากเรายังไม่ได้กลับเมืองไทย จึงยังไม่ได้ไปอัพเดทสมุดบัญชีเงินฝากค่ะ)
(และตั้งใจว่า ถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตในเมืองไทยในบั้นปลายชีวิต จะขายทองคำทั้งหมด แล้วสร้างบ้านหลังเล็กๆสักหลัง บนที่ดินของตัวเอง ปลูกพืชผักผลไม้ไว้กินเอง เหลือก็ขาย ใช้ชีวิตพอเพียงค่ะ)
ช่วงหน้าร้อนของทุกปีเราจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเองที่ระเบียงบ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้จริงๆค่ะ
ตอนนี้ที่บ้านปลูกกะเพรา โหระพา แมงลัก สะระแหน่ ผักชี พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า ตะไคร้ มะระ มะเขือเทศ มีผลให้เก็บกินทุกวันค่ะ
ตะไคร้ พริกสด เด็ดล้างน้ำ แช่ตู้เย็นใส่ช่องแช่แข็งไว้ เก็บไว้กินได้ทั้งปี
ส่วนโหระพา ใบกะเพรา ผัดพอสุกเก็บใส่ขวดโหลแก้วแล้วแช่ตู้เย็นไว้(เก็บไว้ได้นาน ๒-๓เดือน) ในช่วงฤดูหนาว ตักออกมาผัดกับไก่สับ หมูสับได้ค่ะ
ขอขอบพระคุณพันทิปและธนาคารไทยพาณิชน์มา ณ โอกาสนี้นะคะ ที่เปิดโอกาสให้เราได้ร่วมสนุกกับการแชร์ประสบการณ์การเก็บออมเงินในกิจกรรมครั้งนี้ค่ะ ขออนุญาตไม่ร่วมลุ้นรับของรางวัลนะคะ เพราะเราไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะ
สำหรับตัวเราเองนั้น เราจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกครั้งและทำปฏิทินควบคุมรายจ่ายทุกเดือนค่ะ
ทุกเดือนทันทีที่ได้รับเงิน เราจะรีบแบ่งเงินฝากธนาคารก่อนเป็นอันดับแรก
เงินที่เหลือเอาไปแตกเป็นธนบัตรย่อยทั้งหมด สำหรับค่าอาหารการกิน ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
-สองสัปดาห์แรก เราประหยัดกิน ประหยัดใช้จ่ายสุดๆ
-สองสัปดาห์ต่อมา ค่อยยืดหยุ่น ไม่รัดเข็มขัดมากเกินไป
-สัปดาห์สุดท้าย มีเงินเหลือใช้จ่ายสบายๆ ซื้อของกิน(ข้าวสาร-อาหารแห้งมาตุนไว้ ของใช้ในบ้านซื้อตุนไว้ค่ะ)
เมื่อรับเงินเดือนของเดือนใหม่ ก็ทำตามขั้นตอนเหมือนเดิม
สิ่งที่เราทำได้จริงคือ เราชอบใช้จ่ายด้วยธนบัตรย่อย+เหรียญ ชอบจ่ายเงินให้พอดีกับราคาของสินค้า
เก็บธนบัตรใหม่ๆ มีเลขตอง เป็นของหายาก ได้มาแล้วอยากเก็บมากกว่าอยากเอาไปใช้ค่ะ
ส่วนกระปุกออมสินไม่จำเป็นต้องซื้อ เป็นกระปุกออมสินที่ได้รับแจกฟรีจากธนาคารบ้าง เป็นขวดเปล่า กระป๋องเปล่า สามารถนำมาใช้เป็นกระปุกออมสินได้ เก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อยๆ
หย่อนธนบัตรใส่ขวดพลาสติกใส สะสมไว้ให้ครบปี เอาเงินไปซื้อสลากออมสินทุกปีค่ะ
เริ่มซื้อสลากออมสินครั้งแรก ตอนเป็นนักศึกษา ซื้อเดือนละ ๕๐๐ บาททุกเดือน
พอเรียนจบ ทำงานก็ยังคงซื้อต่อมาเรื่อยๆ สลากออมสินครบอายุฝาก ๓ ปี บวกเงินออมของเรา เอาไปซื้อสลากออมสินต่อไปเรื่อยๆค่ะ
จากเงินหลักร้อยที่ซื้อสลากออมสินครั้งแรกเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว
ปัจจุบันเรามีสลากออมสิน และ สลากธ.ก.ส.มูลค่าหลักล้านแล้วค่ะ
ขอให้มีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจจริง มีความเพียร พยายาม ทำเป็นประจำ ทำอย่างสม่ำเสมอ
จากเงินหลักร้อยในวันนั้น ก็กลายเป็นเงินหลักล้านได้ในวันนี้ค่ะ
เงินรางวัลที่ได้รับ+ดอกเบี้ยเมื่อฝากครบสามปี เราเอาไปซื้อทองคำแท่ง/ทองรูปพรรณมาเก็บสะสมค่ะ
นี่คือเงินรางวัลที่ได้รับจากสลากออมสิน และสลากธ.ก.ส.(ปีพ.ศ.๒๕๕๘) ได้รางวัลทุกเดือน(โอนเงินรางวัลเข้าบัญชีอัตโนมัติ)
(สำหรับเงินรางวัลในปีพ.ศ.๒๕๕๙ เนื่องจากเรายังไม่ได้กลับเมืองไทย จึงยังไม่ได้ไปอัพเดทสมุดบัญชีเงินฝากค่ะ)
(และตั้งใจว่า ถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตในเมืองไทยในบั้นปลายชีวิต จะขายทองคำทั้งหมด แล้วสร้างบ้านหลังเล็กๆสักหลัง บนที่ดินของตัวเอง ปลูกพืชผักผลไม้ไว้กินเอง เหลือก็ขาย ใช้ชีวิตพอเพียงค่ะ)
ช่วงหน้าร้อนของทุกปีเราจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเองที่ระเบียงบ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้จริงๆค่ะ
ตอนนี้ที่บ้านปลูกกะเพรา โหระพา แมงลัก สะระแหน่ ผักชี พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า ตะไคร้ มะระ มะเขือเทศ มีผลให้เก็บกินทุกวันค่ะ
ตะไคร้ พริกสด เด็ดล้างน้ำ แช่ตู้เย็นใส่ช่องแช่แข็งไว้ เก็บไว้กินได้ทั้งปี
ส่วนโหระพา ใบกะเพรา ผัดพอสุกเก็บใส่ขวดโหลแก้วแล้วแช่ตู้เย็นไว้(เก็บไว้ได้นาน ๒-๓เดือน) ในช่วงฤดูหนาว ตักออกมาผัดกับไก่สับ หมูสับได้ค่ะ
ขอขอบพระคุณพันทิปและธนาคารไทยพาณิชน์มา ณ โอกาสนี้นะคะ ที่เปิดโอกาสให้เราได้ร่วมสนุกกับการแชร์ประสบการณ์การเก็บออมเงินในกิจกรรมครั้งนี้ค่ะ ขออนุญาตไม่ร่วมลุ้นรับของรางวัลนะคะ เพราะเราไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
Pantip ร่วมกับ SCB ขอเชิญร่วมสนุก “แชร์ไอเดียการออม ทำง่าย เก็บได้จริง” ลุ้นรางวัล Gift Voucher รวมมูลค่ากว่า 20,000 บาท
ต้องบอกว่ากระทู้นี้เต็มไปด้วยไอเดียและเทคนิคการออมเงินดีๆ เพียบ
แนะนำให้ Bookmark กันไว้เลย เพราะไอเดียต่างๆ ล้วนมาในแบบทำง่าย และเก็บได้จริง
จากเทคนิคดีๆ มากมาย กรรมการก็ได้คัดเลือกความคิดเห็นที่ถูกใจที่สุดมาแล้วค่ะ
ใครจะได้รับรางวัลบ้างนั้น มาดูกันเลย
รางวัลที่ 1 Gift Voucher Central มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 3 รางวัล
ได้แก่
คุณ snoopy21
คุณ สปาเก็ตตี้เส้นเหลี่ยม
คุณ ผู้พัน Inlove
รางวัลชมเชย Gift Voucher Central มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 5 รางวัล
ได้แก่
1. คุณสมาชิกหมายเลข 2501999
2. คุณTinkzbell
3. คุณDOKRATRE
4. คุณพระจันทร์สัญจร
5. คุณสมาชิกหมายเลข 2558719
ขอแสดงความยินดีกับผู้โชคดีทั้ง 8 ท่านด้วยนะคะ
โดยทีมงานจะติดต่อผู้โชคดีไปทางข้อความหลังไมค์ค่ะ
พันทิป และ SCB ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่าน
ที่มาร่วมกิจกรรม พร้อมแชร์เทคนิคทางการงานดีๆ มากมาย
ใครที่พลาดรางวัล อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ เพราะเรามีของรางวัลและกิจกรรมสนุกๆ รออยู่ ที่
http://ppantip.com/activities
=============================
Pantip ร่วมกับ SCB
ขอเชิญเพื่อนสมาชิกร่วมกิจกรรม “แชร์ไอเดียการออม ทำง่าย เก็บได้จริง”
ลุ้นรางวัล Gift Voucher รวมมูลค่ากว่า 20,000 บาท !!!
สวัสดีเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกคนค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่กระทู้กิจกรรมค่ะ ^_^
เราหวังว่ากิจกรรมในครั้งนี้ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่เริ่มออมเงิน
และเป็นพื้นที่ในการแชร์ไอเดียการออม ของเพื่อนๆ สมาชิกทุกคนนะคะ
กติกาการร่วมสนุก
"ร่วมแชร์ไอเดียการออมในแบบของคุณ ทำง่าย เก็บได้จริง"
ไอเดียไหนโดนใจ ทำได้จริง รอรับรางวัลได้เลย
เกณฑ์การตัดสิน
คัดเลือกจากไอเดียที่โดนใจคณะกรรมการมากที่สุด 8 ท่าน
ของรางวัล
• รางวัลที่ 1 Gift Voucher Central มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 3 รางวัล
• รางวัลชมเชย Gift Voucher Central มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 5 รางวัล
รวมมูลค่ากว่า 20,000 บาท!!
ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. – 21 ก.ค. 59
ประกาศผล วันที่ 26 ก.ค. 59 เวลา 16.00 น.
ที่ http://www.ppantip.com/activities/scbideamoney
เอาล่ะ อ่านกติกากันครบถ้วนแล้ว คราวนี้ลงมือแชร์ไอเดียการออมกันเลย
ติดตามและร่วมสนุกกิจกรรมอื่นๆ ของเราได้ที่ http://ppantip.com/activities