เห็นเหล่าสาวกพูดพร่ำ ลาก แถกแถไถอยู่ได้ ว่า อ้าวแล้วทำไมถึงไม่ตามข่าวพระสุวิทย์ หรือ หลวงปู่พุทธอิสระบ้างฟร่ะ ที่ปิดสถานที่ราชการ ที่ยกพวกไปประท้วงสารพัดสารพัน มาเกาะแกะอะไรกันนักกันหนากับหลวงพ่อผู้สร้างพระ สร้างวัด มาทั้งชีวิต ของเราเหลาสาวกผู้ภักดีอยู่ได้ จะบอกให้นะ พระสุวิทย์นะที่เขาประกาศปาวๆว่า อยากให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตย เพราะเขารักในประชาธิปไตย นั่นเป็นเรื่อง โกหกทั้งเพ จริงๆพระสุวิทย์เขาไม่ได้รักความเป็นประชาธิปไตยเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ผู้ทรงคุณ อภิญญาญาณ เลยสักกะนิดเดียว เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะ
วันที่ 28 พ.ค. 57
หลวงปู่พุทธะอิสระได้เดินทางมาจากวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เพื่อให้ปากคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ขัดขวางการเลือกตั้ง ปิดกั้นการเลือกตั้งที่เขตหลักสี่ และปิดกั้นสถานที่ราชการ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพระสุวิทย์ หรือหลวงปู่พุทธอิสระ ไม่ได้เข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยเลยสักนิด จะมาชี้แจงทำไม นี่ถ้าเป็นหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ท่านคงไม่ไปพบแน่ๆ เพราะท่านรักความเป็นประชาธิปไตย ท่านจะต้องรอให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเสียก่อน ท่านถึงจะยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
วันที่ 22 ก.พ. 59
พระสุวิทย์ ยินดีที่จะหาเงินมาจ่ายให้ตามการเสียหายของสถานที่ราชการ ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีทำให้สถานที่ราชการเสียหาย นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่พระสุวิทย์ยอมเข้ากระบวนการยุติธรรมโดยไม่รอประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก่อน ถ้าเป็นหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ท่านคงไม่ไปใช้แน่ๆ เพราะท่านรักความเป็นประชาธิปไตย ท่านจะต้องรอให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเสียก่อนค่อยว่ากัน
วันที่ 13 มิถุนายน 2559
เมื่อคณะศิษย์ธรรมกายแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท พระสุวิทย์ พระสุวิทย์ ก็ดันไม่หลบหนี หรืออ้างป่วย แถมยังไม่รอประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ดันไปพบพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เสียอีก นี่ถ้าเป็นหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ท่านคงไม่ไปพบแน่ๆ เพราะท่านรักความเป็นประชาธิปไตย ท่านจะต้องรอให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเสียก่อน ท่านถึงจะไปพบพนักงานสอบสวน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพระสุวิทย์รักประชาธิปไตยแต่ปาก เท่านั้น
และยังมีอีกหลายคดี
ที่พระสุวิทย์ เดินทางไปรับทราบข้อกล่าว และเดินทางไปพบพนักงานสอบสวน ไปขึ้นศาล ยื่นประกันตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้กฎหมายได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระสุวิทย์ไม่ใช่พระที่รู้จักประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนองค์หลวงพ่อต้นธาตุ ต้นธรรม ผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ที่รักและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ ถึงไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนกว่าประเทศนี้จะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา " ต้องการ "
คิดเอาว่า พระสุวิทย์ กับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ใครแมนๆ กว่ากัน
พระสุวิทย์ นี่ ไม่รักความเป็นประชาธิปไตย เหมือน พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้ประเสริฐของเราเลย จริงๆนะ
เห็นเหล่าสาวกพูดพร่ำ ลาก แถกแถไถอยู่ได้ ว่า อ้าวแล้วทำไมถึงไม่ตามข่าวพระสุวิทย์ หรือ หลวงปู่พุทธอิสระบ้างฟร่ะ ที่ปิดสถานที่ราชการ ที่ยกพวกไปประท้วงสารพัดสารพัน มาเกาะแกะอะไรกันนักกันหนากับหลวงพ่อผู้สร้างพระ สร้างวัด มาทั้งชีวิต ของเราเหลาสาวกผู้ภักดีอยู่ได้ จะบอกให้นะ พระสุวิทย์นะที่เขาประกาศปาวๆว่า อยากให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตย เพราะเขารักในประชาธิปไตย นั่นเป็นเรื่อง โกหกทั้งเพ จริงๆพระสุวิทย์เขาไม่ได้รักความเป็นประชาธิปไตยเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ผู้ทรงคุณ อภิญญาญาณ เลยสักกะนิดเดียว เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะ
วันที่ 28 พ.ค. 57
หลวงปู่พุทธะอิสระได้เดินทางมาจากวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เพื่อให้ปากคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ขัดขวางการเลือกตั้ง ปิดกั้นการเลือกตั้งที่เขตหลักสี่ และปิดกั้นสถานที่ราชการ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพระสุวิทย์ หรือหลวงปู่พุทธอิสระ ไม่ได้เข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยเลยสักนิด จะมาชี้แจงทำไม นี่ถ้าเป็นหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ท่านคงไม่ไปพบแน่ๆ เพราะท่านรักความเป็นประชาธิปไตย ท่านจะต้องรอให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเสียก่อน ท่านถึงจะยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
วันที่ 22 ก.พ. 59
พระสุวิทย์ ยินดีที่จะหาเงินมาจ่ายให้ตามการเสียหายของสถานที่ราชการ ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีทำให้สถานที่ราชการเสียหาย นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่พระสุวิทย์ยอมเข้ากระบวนการยุติธรรมโดยไม่รอประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก่อน ถ้าเป็นหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ท่านคงไม่ไปใช้แน่ๆ เพราะท่านรักความเป็นประชาธิปไตย ท่านจะต้องรอให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเสียก่อนค่อยว่ากัน
วันที่ 13 มิถุนายน 2559
เมื่อคณะศิษย์ธรรมกายแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท พระสุวิทย์ พระสุวิทย์ ก็ดันไม่หลบหนี หรืออ้างป่วย แถมยังไม่รอประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ดันไปพบพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เสียอีก นี่ถ้าเป็นหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ท่านคงไม่ไปพบแน่ๆ เพราะท่านรักความเป็นประชาธิปไตย ท่านจะต้องรอให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบเสียก่อน ท่านถึงจะไปพบพนักงานสอบสวน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพระสุวิทย์รักประชาธิปไตยแต่ปาก เท่านั้น
และยังมีอีกหลายคดี ที่พระสุวิทย์ เดินทางไปรับทราบข้อกล่าว และเดินทางไปพบพนักงานสอบสวน ไปขึ้นศาล ยื่นประกันตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้กฎหมายได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระสุวิทย์ไม่ใช่พระที่รู้จักประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนองค์หลวงพ่อต้นธาตุ ต้นธรรม ผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ที่รักและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ ถึงไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนกว่าประเทศนี้จะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา " ต้องการ "
คิดเอาว่า พระสุวิทย์ กับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้ทรงอภิญญาญาณของเรา ใครแมนๆ กว่ากัน