มาต่อกันดีกว่า กลับจากเขื่อนเราก็ได้แวะเติมพลังด้วยการแวะทานก๋วยเตี๋ยวสองใจ
และต่อด้วยการแวะไหว้พระบรมธาตุไชยา และเดินเยี่ยมชม สัมผัสกับความเงียบสงบของสวนโมกขพลาราม
และเดินทางกลับเข้าเมือง เพื่อหาอะไรอร่อยๆทาน
พระบรมธาตุไชยา
สวนโมกขพลาราม มีต้นไม้น้อยใหญ่ แผ่กิ่งก้าน ให้ความร่มรื่น และสงบมาก
บัวของจริงนะค่ะ ใหญ่ อลังการ
หลังจากเดินชมความร่มรื่น และความเงียบสงบของสวนโมกขพลารามเสร็จ
เราก็เดินทางกลับที่พัก เพื่อทำการพักร่าง และออกตระเว็นหาข้าวเย็นทานกันในตัวเมือง
เราทานข้าวเย็นที่ร้าน Sinature ร้านจะอยู่ริมแม่น้ำตาปี
ทานของคาวเสร็จ ก็ต่อด้วยของหวาน ที่ขนมหวานป้ายา ท่าเรือเกาะ หวานมัน อร่อย ราคาไม่แพง (ถ้วยละ 20 บาทเอง)
และเหมือนว่าทริปวันนี้จะจบลงได้อย่างสวยงาม แฮปปี้ ชะนีเที่ยวสนุก กินอิ่ม นอนหลับ แล้วความพีคก็เกิดขึ้นกับพวกเราอีกครั้ง
***
พีคกว่าอัตราเร็วของเรือคุณลุงที่เชี่ยวหลาน คือ อัตราเร็วของรถพี่ตองในช่วงนาทีฉุกเฉิน ที่พยายามเร่งให้เร็วที่สุดในค่ำคืน ที่ท้องถนนเต็มไปด้วยรถและสัญญาณไฟจราจร เพราะเพื่อนของเรานางเกิดท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมากะทันหัน ลักษณะจะไม่สามารถกลั้นได้ จนถึงขนาดต้องออกปากว่า
“ไม่ได้แล้วพี่ตอง ไม่สามารถกลั้นได้แล้ว จะออกแล้ว”
หวีดกันทั้งรถ เพื่อนอีกคนที่นั่งข้าง ๆ เรานางรีบควานหาถึงก็อปแก๊ป ที่อยู่ใกล้มือที่สุดเตรียมพร้อมไว้
พี่ตองพีคกว่า “ไม่ได้แก อย่าเพิ่งนะ แกจะมาปล่อยบนรถพี่ไม่ได้”
(ณ ตอนนั้น ภาพของซีรี่ไดอารี่ตุ๊ดซี่ ผุดขึ้นมาในหัวเราทันที ไม่นะ ต้องไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับฉั้น ม่ายยยยย )
สุดท้ายเราก็บึ่งรถถึงที่พักและเพื่อนสาวก็ทะยานตัวออกจากรถโดยเร็ว ส่วนที่เหลือจะทำอะไรได้หล่ะคะ นอกจากขับรถตระเวนหาร้านขายยาที่ยังเปิดอยู่ในเวลาสามทุ่มกว่า ๆ โกยยาแก้ท้องเสีย ยาฆ่าเชื้อ และยาอื่น ๆ อีกมากมาย มาเตรียมพร้อมไว้สำหรับคืนนี้ แล้วก็ได้ใช้งานกันอย่างจริงจัง เพราะเพื่อนอีกคนก็ท้องเสียเหมือนกัน สรุปไม่รู้ว่าเดินเข้า-เดินออกห้องน้ำกันกี่รอบไม่รู้ แต่พอตื่นเช้ามานางทั้งสองก็สู้ตายไปพะงันกันต่อจ้า
EP. 3 พะงันจ๋า เรามาแล้ว
วันที่ 19/06/59 พะงัน – Full Moon Party
แล้ววันที่ชะนีน้อยสามนางรอคอยก็มาถึง (ตามจริงวันนี้นี่คือใจความสำคัญของทริปเลยนะเนี่ย) ตื่นเช้ามาด้วยสภาพอากาศที่ท้องฟ้าเปิดปลอดโปร่ง พี่ตองมารับเราไปทานข้าวเช้าที่ร้านเจ๊กบั๊กแต่เตี้ยม ซึ่งเป็นร้านติ่มซำชื่อดังในตัวเมือง
ระหว่างที่ทานอาหารพี่ตองก็ทำการโทรไปเช็ครอบของรถตู้และเรือของบริษัท เรือเร็วลมพระยาให้พวกเรา
ซึ่งรอบที่เราสามารถไปได้เร็วที่สุดคือ รอบ 9.00 น. ตกลงปลงใจกันแล้วจองที่ผ่านมือถือไปว่าจอง 3 ที่นั่ง
ซึ่งพี่คนขายตั๋วก็ย้ำกับเราว่าต้องมาให้ทันนะ เพราะถ้าไม่ทันอีกรอบคือ 11.00 น.
ซึ่งเราก็ไปถึงท่ารถตู้ของเรือเร็วลมพระยาอยู่ที่ทางเข้าไป บขส. สุราษฎร์ ก่อนเวลารถออก 15 นาที
ทำการซื้อตั๋วเสร็จสรรพ ราคา 550 บาท/คน (รวมกันทั้งค่ารถตู้และเรือแล้ว)
รอสักพัก พนักงานก็เรียกขึ้นรถ ด้วยความเป็นชะนีไทยสามนางที่ดูจะบอบบางเมื่อเทียบกับเหล่า ฝ. ที่เนืองแน่นตรงท่ารถ
เราก็ได้ทำการขอกับพี่ที่จัดที่นั่งในรถตู้ว่า ของ 3 ที่หน้าสุดนะคะ พร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ซึ่งก็ได้ผล
พอรถจอดเทียบท่าปุ๊บ พี่สาวคนสวยก็รีบพาชะชีน้อยขึ้นรถเป็นสามคนแรกของคันทันที (มีความยิ้มอ่อนให้เหล่า ฝ. เบา ๆ )
เวลาที่ใช้เดินทางจากท่ารถตู้มาที่ท่าเรือดอนสักประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ถึงท่าเรือทันเรือรอบ 11 โมงมั้ง (เริ่มจำไม่ได้)
ลงจากรถปุ๊บภาพที่เห็นคือคนเหล่า ฝ. ทั้งหลายกำลังต่อแถวกันเพื่อเดินลงเรือ ชะนีน้อย 3 นางก็ไม่รอช้ารีบหอบหิ้วกระเป๋า
ข้าวของเดินไปต่อแถวเพื่อลงเรือด้วยเช่นกัน
*** จุด Peak คือ ระหว่างที่ต่อแถวจะขึ้นเรือ เราเป็นคนแรกที่เดินไปต่อแถวซึ่งข้างหน้า เป็น ฝ. วัยละอ่อน เดาจากหน้าตาอายุน่าจะไม่เกิน 25 ปี ลักษณะจะมาคนเดียว สูง ยาว ขาว ใส (มีความคล้ายTanner Patrick ) นางยืนชมทะเล ชมนก ของนางอยู่ สักพักนางก็หันหลังมาสนทนากับเรา “Can you see that island? You see the dolphin?” ให้ทายว่าชะนีไทยอย่างเราทำอย่างไรคะ เรานั้นด้วยความเป็นคนไทย เป็นเจ้าบ้านที่ดีงี้ ได้ทำการ fade ตัวเข้าหาฝรั่งอย่างแนบเนียนแล้วก็ไปคุยกับ ฝ. เสมือนว่ารู้จักกันมานาน โปรยยิ้มอ่อนให้กันและกัน เหย…..ความรู้สึกตอนนั้นคือ ดีงามมากค่า ได้ยินเสียงเม้าท์ร้ายจากเพื่อนสองนางด้านหลังเบา ๆ ว่า “แหม…ยังไม่ทันถึงเกาะเลยแม่คุณ….ได้ตั้งแต่อยู่บนฝั่งเลยนะ” (เม้าท์ร้ายเพื่อนมากค่า) ก็แค่นั้นแหละ ไม่ได้สานต่ออะไรกัน พอได้กรุบกริบ แฮะๆ ***
ไปค่ะ ลงเรือ เรือมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นห้องแอร์
ชั้นที่ 2 มีห้องแอร์และที่นั่งด้านที่ไม่มีแอร์ คือได้กลิ่นอายทะเลไปอีกแบบ
ส่วนในภาพคือชั้น 3 ไม่มีหลังคา ชั้นนี้เหล่า ฝ.จะขึ้นมานอนกินลม ชมวิว
ลมพัดเย็นสบาย แต่แดดเริ่มแรงนิด ๆ เพื่อนสาวก็อยากชักภาพ (หนุ่มเกาก็แอบเหล่เพื่อนเรานิดๆ)
ใช้เวลาเดินทางบนเรือก็ประมาณ 1.30 ชั่วโมง ถึงเกาะพะงันเวลาประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ
ลงเรือปุ๊บชะนีน้อยมีความหิวข้าวกันอย่างมาก รีบบึ่งไปหารถสองแถว (แต่บนเกาะจะเรียกว่าแท็กซี่)
ทำการเจรจากับป้าที่อยู่ท่ารถ ซึ่งตอนแรกป้าบอกว่าคิดคนละ 150 บาท/คน แต่ทางเราสามคนนั้นได้ใช้ทักษะการต่อรองผสมกับสำเนียงทองแดงของเรา (ที่ท่านแม่ทรงประทานมาให้ตั้งแต่เกิด) ทำการต่อราคาจนได้มาในราคา 3 คน 400 บาท ส่งถึงหน้าที่พักเลย
***
จุด Peak ที่สอง คือ คุณป้าเกือบพาชะนีหวิดดับ นั่นคือป้าคนที่เราใช้บริการรถแท็กซี่ ซึ่งมารู้ที่หลังว่า ชื่อ ป้ากุ้ง (แต่ป้าพยายามแทนตัวเองว่าพี่นะ 55) ออกตัวก่อนเลยว่ารถที่ป้าใช้รับส่งเรานี่ไม่ใช่รถป้า ไอ้เราก็นึกว่าป้าแกคงพูดเพื่อให้เราไม่กล้าต่อราคา แต่ไม่ใช่ค่า สิ่งที่ป้าพูดมานั้นคือความจริง เพราะอะไรถึงมั่นใจอย่างนั้น....จังหวะที่ป้าแกออกรถ....ป้าแกใส่เกียร์ผิดถนัด ป้าจะถอยหลัง แต่ป้าใส่เกียร์เดินหน้า คุณพระ เกือบสิ้นชีพ แต่ยังดีที่ป้าไม่เหยียบมิดคันเร่ง เป็นโชคดีของชะนีน้อยสามนางมาก ***
นั่งรถมาได้สักประมาณ 10 นาที เราก็ถึงที่พัก พอลงรถปุ๊บ เราก็เดินมาขอบคุณป้ากุ้งที่มาส่ง
และทำการถามจีบป้าไว้ถึงตอนขากลับว่าอยากจะให้ป้ามารับพวกเราได้ไหม
ซึ่งก็เกินคาด ป้าบอกว่า ได้ ๆ เอาเบอร์ป้าไว้ แล้วโทรมา เดี๋ยวป้ามารับ ป้าคิดคนละ 100 บาทพอ เพราะไม่ใช่รถป้า (ป้ามีการย้ำอีกรอบ)
เราก็ขอบอกขอบคุณป้าใหญ่เลย ซึ่งการได้เบอร์ป้ามาทำให้การเดินทางบนเกาะนี้สะดวก และง่ายมากขึ้น
(มีความเป็นเซเลปมาเที่ยว มีรถรับส่งส่วนตัว)
ที่พักที่เราพัก คือ L'alcôve Koh Phangan (กดจองที่พักผ่าน Agoda ) ในราคา 1,100 บาท/คืน
ระหว่างที่เรากำลังจะเดินทางเข้าที่พัก ก็มีแหม่มแสนสวยคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเรา เสมือนว่ารอเราอยู่เดินปรี่เข้ามาทักชะนีน้อยสามนาง
ด้วยภาษาที่เราคุ้นชิน (อังกฤษล้วน ๆ 55) คุยกันสักพักถึงทราบว่า อ่อ นางเป็นเจ้าของที่พักที่เราจองไว้ เราก็ทำการแสดงหลักฐานที่เราทำการจองไว้ แหม่มพาเราเดินไปที่ห้องพักแนะนำของใช้ภายในห้อง ความน่ารักของนางคือ พยายามพูดอังกฤษช้าๆเพื่อให้ชะนีน้อยเข้าใจง่ายและยังลดค่าที่พักโดยไม่คิดค่าเตียงเสริมเพิ่ม ด้วยเหตุผลที่ว่า you look like a baby (คือยิ่งกว่า children ไปอีก) ชะนีไทยอย่างเราด้วยความปลื้มปิติโผเข้ากอดนางทันที (ดัดจริตไปอี้ก)
วิวหน้าที่พัก
หลังจากนั้นเราก็พักผ่อนตามอัธยาศัย นั่นคือ การนอนเก็บแรงเพื่อปาร์ตี้คืนนี้ พอแดดร่ม ลมตก เราก็ทำการแปลงร่างจากชะนีน้อยที่ look like a baby กลายเป็นชะนี look like a party girl ที่ทำเอาเพื่อนที่มาด้วยกันจำหน้าเดิมกันไม่ได้เลยทีเดียว (โหดม่ะ แหม่มยังจำพวกเราไม่ได้เลย 55) แปลงร่างเสร็จสรรพเราก็ข้ามถนนมาทานมื้อเย็น ที่ร้านอาหารของที่พักเรานั่นเอง
ทีเด็ดของที่พักที่คือตรงหน้าที่พักให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ป่า
แต่พอข้ามถนนมากลายเป็นร้านอาหารที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมาก
และยังมีร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสที่คุณภาพอาหารเกินราคาแถมราคาน่าคบอีกตั้งหาก นั่งทานอาหารเคล้าคลอเสียงเพลงแนวแจ๊สเบาๆ
หลังจากที่หาอาหารปากอิ่มท้องอิ่มกายแล้ว ได้เวลาออกหาอาหารตา อาหารใจกันต่อ นั่นก็คือ มุ่งหน้าสู่ Full Moon Party ที่หาดริ้นนั่นเอง โดยป้ากุ้งส่งน้องชาย (พี่เอก) มารับพวกเราไปหาดริ้นในราคาคนละ 150 บาท นั่งรถมาเกือบ 30 นาที
เราก็ถึงหาดริ้น สถานที่จัดงาน Full Moon Party ทำการซื้อตั๋ว 100 บาท/คน เพื่อเข้างาน ไปดูบรรยากาศในงานกันเลย
ว๊าาา กระทู้อั้นอีกแล้วคะ ไม่พอต่อการบันทึกความทรงจะของชะนี ตามไปอ่านกันต่อในกระทู้ถัดไปเลยค่า
[CR] รีวิว "ทริป ไปสุราษฏร์ทั้งที เที่ยวแค่ Full Moon Party ได้ไง" part 2
http://ppantip.com/topic/35305749
http://ppantip.com/topic/35306690
และต่อด้วยการแวะไหว้พระบรมธาตุไชยา และเดินเยี่ยมชม สัมผัสกับความเงียบสงบของสวนโมกขพลาราม
และเดินทางกลับเข้าเมือง เพื่อหาอะไรอร่อยๆทาน
เราก็เดินทางกลับที่พัก เพื่อทำการพักร่าง และออกตระเว็นหาข้าวเย็นทานกันในตัวเมือง
ทานของคาวเสร็จ ก็ต่อด้วยของหวาน ที่ขนมหวานป้ายา ท่าเรือเกาะ หวานมัน อร่อย ราคาไม่แพง (ถ้วยละ 20 บาทเอง)
*** พีคกว่าอัตราเร็วของเรือคุณลุงที่เชี่ยวหลาน คือ อัตราเร็วของรถพี่ตองในช่วงนาทีฉุกเฉิน ที่พยายามเร่งให้เร็วที่สุดในค่ำคืน ที่ท้องถนนเต็มไปด้วยรถและสัญญาณไฟจราจร เพราะเพื่อนของเรานางเกิดท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมากะทันหัน ลักษณะจะไม่สามารถกลั้นได้ จนถึงขนาดต้องออกปากว่า
หวีดกันทั้งรถ เพื่อนอีกคนที่นั่งข้าง ๆ เรานางรีบควานหาถึงก็อปแก๊ป ที่อยู่ใกล้มือที่สุดเตรียมพร้อมไว้
พี่ตองพีคกว่า “ไม่ได้แก อย่าเพิ่งนะ แกจะมาปล่อยบนรถพี่ไม่ได้”
(ณ ตอนนั้น ภาพของซีรี่ไดอารี่ตุ๊ดซี่ ผุดขึ้นมาในหัวเราทันที ไม่นะ ต้องไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับฉั้น ม่ายยยยย )
ซึ่งรอบที่เราสามารถไปได้เร็วที่สุดคือ รอบ 9.00 น. ตกลงปลงใจกันแล้วจองที่ผ่านมือถือไปว่าจอง 3 ที่นั่ง
ซึ่งพี่คนขายตั๋วก็ย้ำกับเราว่าต้องมาให้ทันนะ เพราะถ้าไม่ทันอีกรอบคือ 11.00 น.
ซึ่งเราก็ไปถึงท่ารถตู้ของเรือเร็วลมพระยาอยู่ที่ทางเข้าไป บขส. สุราษฎร์ ก่อนเวลารถออก 15 นาที
ทำการซื้อตั๋วเสร็จสรรพ ราคา 550 บาท/คน (รวมกันทั้งค่ารถตู้และเรือแล้ว)
รอสักพัก พนักงานก็เรียกขึ้นรถ ด้วยความเป็นชะนีไทยสามนางที่ดูจะบอบบางเมื่อเทียบกับเหล่า ฝ. ที่เนืองแน่นตรงท่ารถ
เราก็ได้ทำการขอกับพี่ที่จัดที่นั่งในรถตู้ว่า ของ 3 ที่หน้าสุดนะคะ พร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ซึ่งก็ได้ผล
พอรถจอดเทียบท่าปุ๊บ พี่สาวคนสวยก็รีบพาชะชีน้อยขึ้นรถเป็นสามคนแรกของคันทันที (มีความยิ้มอ่อนให้เหล่า ฝ. เบา ๆ )
ลงจากรถปุ๊บภาพที่เห็นคือคนเหล่า ฝ. ทั้งหลายกำลังต่อแถวกันเพื่อเดินลงเรือ ชะนีน้อย 3 นางก็ไม่รอช้ารีบหอบหิ้วกระเป๋า
ข้าวของเดินไปต่อแถวเพื่อลงเรือด้วยเช่นกัน
ชั้นที่ 2 มีห้องแอร์และที่นั่งด้านที่ไม่มีแอร์ คือได้กลิ่นอายทะเลไปอีกแบบ
ส่วนในภาพคือชั้น 3 ไม่มีหลังคา ชั้นนี้เหล่า ฝ.จะขึ้นมานอนกินลม ชมวิว
ลงเรือปุ๊บชะนีน้อยมีความหิวข้าวกันอย่างมาก รีบบึ่งไปหารถสองแถว (แต่บนเกาะจะเรียกว่าแท็กซี่)
ทำการเจรจากับป้าที่อยู่ท่ารถ ซึ่งตอนแรกป้าบอกว่าคิดคนละ 150 บาท/คน แต่ทางเราสามคนนั้นได้ใช้ทักษะการต่อรองผสมกับสำเนียงทองแดงของเรา (ที่ท่านแม่ทรงประทานมาให้ตั้งแต่เกิด) ทำการต่อราคาจนได้มาในราคา 3 คน 400 บาท ส่งถึงหน้าที่พักเลย
*** จุด Peak ที่สอง คือ คุณป้าเกือบพาชะนีหวิดดับ นั่นคือป้าคนที่เราใช้บริการรถแท็กซี่ ซึ่งมารู้ที่หลังว่า ชื่อ ป้ากุ้ง (แต่ป้าพยายามแทนตัวเองว่าพี่นะ 55) ออกตัวก่อนเลยว่ารถที่ป้าใช้รับส่งเรานี่ไม่ใช่รถป้า ไอ้เราก็นึกว่าป้าแกคงพูดเพื่อให้เราไม่กล้าต่อราคา แต่ไม่ใช่ค่า สิ่งที่ป้าพูดมานั้นคือความจริง เพราะอะไรถึงมั่นใจอย่างนั้น....จังหวะที่ป้าแกออกรถ....ป้าแกใส่เกียร์ผิดถนัด ป้าจะถอยหลัง แต่ป้าใส่เกียร์เดินหน้า คุณพระ เกือบสิ้นชีพ แต่ยังดีที่ป้าไม่เหยียบมิดคันเร่ง เป็นโชคดีของชะนีน้อยสามนางมาก ***
และทำการถามจีบป้าไว้ถึงตอนขากลับว่าอยากจะให้ป้ามารับพวกเราได้ไหม
ซึ่งก็เกินคาด ป้าบอกว่า ได้ ๆ เอาเบอร์ป้าไว้ แล้วโทรมา เดี๋ยวป้ามารับ ป้าคิดคนละ 100 บาทพอ เพราะไม่ใช่รถป้า (ป้ามีการย้ำอีกรอบ)
เราก็ขอบอกขอบคุณป้าใหญ่เลย ซึ่งการได้เบอร์ป้ามาทำให้การเดินทางบนเกาะนี้สะดวก และง่ายมากขึ้น
(มีความเป็นเซเลปมาเที่ยว มีรถรับส่งส่วนตัว)
ระหว่างที่เรากำลังจะเดินทางเข้าที่พัก ก็มีแหม่มแสนสวยคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเรา เสมือนว่ารอเราอยู่เดินปรี่เข้ามาทักชะนีน้อยสามนาง
ด้วยภาษาที่เราคุ้นชิน (อังกฤษล้วน ๆ 55) คุยกันสักพักถึงทราบว่า อ่อ นางเป็นเจ้าของที่พักที่เราจองไว้ เราก็ทำการแสดงหลักฐานที่เราทำการจองไว้ แหม่มพาเราเดินไปที่ห้องพักแนะนำของใช้ภายในห้อง ความน่ารักของนางคือ พยายามพูดอังกฤษช้าๆเพื่อให้ชะนีน้อยเข้าใจง่ายและยังลดค่าที่พักโดยไม่คิดค่าเตียงเสริมเพิ่ม ด้วยเหตุผลที่ว่า you look like a baby (คือยิ่งกว่า children ไปอีก) ชะนีไทยอย่างเราด้วยความปลื้มปิติโผเข้ากอดนางทันที (ดัดจริตไปอี้ก)
เราก็ถึงหาดริ้น สถานที่จัดงาน Full Moon Party ทำการซื้อตั๋ว 100 บาท/คน เพื่อเข้างาน ไปดูบรรยากาศในงานกันเลย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น