
Independence Day: Resurgence (2016)
Director: Roland Emmerich
จะต้องมานั่งคาดหวังอะไรกับหนังตระกูลโลกแตกกันอีก เพราะแน่นอนว่าคนดูหนังแนวนี้ก็ไม่ควรจะคาดหวังอะไรอย่างอื่นมากมายนอกจากซีจีอลังการ ฉากแอ็คชั่นมหาประลัย การคาดหวังกับเรื่องบทอันชาญฉลาดนี่ตัดทิ้งไปได้เลย (แค่ตัวละครไม่ทำตัวโง่เง่าเต่าถุนก็ถือว่าบุญนักหนาแล้ว)
ด้วยความที่รอบสื่อวันนี้ฉาย Independence Day ภาคแรกก่อน (อันที่จริงก็เคยดูหนังภาคแรกมานานแล้วสมัยฉายช่อง 3 เมื่อ 15 ปีก่อน!!!) ซึ่งจะว่าไปถ้าวัดกันตามเนื้อผ้า หนังภาคแรกนั้น ตัวละครของวิลล์ สมิธ ก็เรียกได้ว่าเขียนบทได้ "คนดำจ๋า" ในโลกฮอลลีวูดมาก (ขี้โวยวาย มี Wording ท้าตีท้าต่อย) ส่วนประธานาธิบดีก็อเมริกันฮีโร่สุดๆ เช่นเดียวกันการที่เราโตมาในยุค 90' อะไรในยุคนั้น (เมื่อมาถึงยุคนี้) มันจะกลายเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ที่เราประทับใจ (เช่นเดียวกับบรรดาวงดนตรี หรือ ศิลปินในยุคนั้นที่เรามีความผูกพันสูง) เราจึงไม่ได้สนใจคุณภาพ (เพราะเอาเข้าจริงสิ่งที่นักวิจารณ์ในยุคนั้นกล่าวถึงหนังเรื่องนี้ก็คือ มันก็คือหนังเอเลี่ยนบุกโลกที่มีโปรดักชั่นน่าตื่นตาตื่นใจก็เท่านั้นเอง
แต่ถ้าวัดในแง่ของความลื่นไหล Independence Day มีให้เรามากกว่า เพราะการเกลี่ยน้ำหนักให้ตัวละคร หรือการสร้างเสน่ห์ในพวกเขา ถึงตรงกันข้ามในภาค Resurgence ที่เหมือนกับว่าพอเป็นภาคต่อแล้วอะไรๆก็ต้องใหญ่กว่า เยอะกว่า แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ "รู้สึกน้อยกว่า"
ตัวละครเป็นโหลๆเรื่องนี้ต่างก็มีความเกี่ยวโยงระหว่างกัน พอยิ่งตัวละครเยอะหนังก็ยิ่งกระจายเวลาให้ลำบาก หลายครั้งที่ต้องเล่าตัวละครสักตัว ตัวละครอีกหลายตัวก็เหมือนจะหายจากหน้าจอไปเป็นเวลานานจนบางทีก็แทบจะลืมกันไปเลยว่าพวกเขาเป็นตายร้ายดีกันยังไง
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านั้น "โรแลนด์ เอมเมอริช" ก็น่าจะเป็นผู้กำกับหนัง "โลกาวินาศ" ได้สนุก คุมงานสร้างระดับมหึมาสเกลนี้ได้อย่างบันเทิงเริงใจ ไม่เลอะเทอะ และที่สำคัญมันตื่นตาตื่นใจ (อารมณ์เดียวกับ Jurasic World) แน่นอนว่ามันไม่อาจจะเทียบชั้นกับหนังภาคแรกได้ แต่ในขณะเดียวกัน "วิธีเล่า" ของหนังภาคนี้ ผู้กำกับก็เหมือนจะเข้าใจ "วิถีของคนดูหนังตลาดยุคนี้" ที่เล่าทุกอย่างด้วยความรีบ รีบ และรีบ จนไม่มีการหยุดพักเหนื่อย หรือแวะสำรวจอารมณ์ความเป็นมนุษย์ของตัวละคร จึงทำให้ตัวละครทุกตัวในหนังมีสภาพแบนๆ เป็นภาพจำของคาแรกเตอร์นั้นๆไปโดยปริยาย
ในภาพรวม Independence Day: Resurgence เรายังคงยืนยันว่ามันเป็นภาคต่อที่ตอบโจทย์สิ่งที่คนดูอยากจะเห็น อยากจะดู และแน่นอนว่าคนทำหนังก็ "สร้างจักรวาล" ของหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเรียบร้อย ซึ่งหมายความว่าถ้าหนังทำเงินในระดับมหาศาล อีกไม่กี่ปีช่างหน้า (ไม่ต้องรอกันถึง 20 ปี) Independence Day: ? จะตามมาอย่างแน่นอน
SCORE 7/10
#entertainmentbitereview

- - - อัพเดทไทม์ไลน์หลังเหตุการณ์หนังภาคแรกก่อนไปดู Independence Day RESURGENCE - - - รอยต่อระหว่างหนังภาคแรกและภาค 2 ที่หายไป 20 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตามมาอ่านได้ที่นี่เลยครับ >>
https://www.facebook.com/EntertainmentBite/posts/1116569471722826
ชอบอ่านแนวคิดเกี่ยวกับภาพยนตร์ - คอนเสิร์ต - ละครเวที และการออกเที่ยวโลกกว้าง รวมไปถึงรีวิวจิปาถะฝากแฟนเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/EntertainmentBite/
[SR] Independence Day: Resurgence - โลกจะแตกอีกแล้ว!!!
Independence Day: Resurgence (2016)
Director: Roland Emmerich
จะต้องมานั่งคาดหวังอะไรกับหนังตระกูลโลกแตกกันอีก เพราะแน่นอนว่าคนดูหนังแนวนี้ก็ไม่ควรจะคาดหวังอะไรอย่างอื่นมากมายนอกจากซีจีอลังการ ฉากแอ็คชั่นมหาประลัย การคาดหวังกับเรื่องบทอันชาญฉลาดนี่ตัดทิ้งไปได้เลย (แค่ตัวละครไม่ทำตัวโง่เง่าเต่าถุนก็ถือว่าบุญนักหนาแล้ว)
ด้วยความที่รอบสื่อวันนี้ฉาย Independence Day ภาคแรกก่อน (อันที่จริงก็เคยดูหนังภาคแรกมานานแล้วสมัยฉายช่อง 3 เมื่อ 15 ปีก่อน!!!) ซึ่งจะว่าไปถ้าวัดกันตามเนื้อผ้า หนังภาคแรกนั้น ตัวละครของวิลล์ สมิธ ก็เรียกได้ว่าเขียนบทได้ "คนดำจ๋า" ในโลกฮอลลีวูดมาก (ขี้โวยวาย มี Wording ท้าตีท้าต่อย) ส่วนประธานาธิบดีก็อเมริกันฮีโร่สุดๆ เช่นเดียวกันการที่เราโตมาในยุค 90' อะไรในยุคนั้น (เมื่อมาถึงยุคนี้) มันจะกลายเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ที่เราประทับใจ (เช่นเดียวกับบรรดาวงดนตรี หรือ ศิลปินในยุคนั้นที่เรามีความผูกพันสูง) เราจึงไม่ได้สนใจคุณภาพ (เพราะเอาเข้าจริงสิ่งที่นักวิจารณ์ในยุคนั้นกล่าวถึงหนังเรื่องนี้ก็คือ มันก็คือหนังเอเลี่ยนบุกโลกที่มีโปรดักชั่นน่าตื่นตาตื่นใจก็เท่านั้นเอง
แต่ถ้าวัดในแง่ของความลื่นไหล Independence Day มีให้เรามากกว่า เพราะการเกลี่ยน้ำหนักให้ตัวละคร หรือการสร้างเสน่ห์ในพวกเขา ถึงตรงกันข้ามในภาค Resurgence ที่เหมือนกับว่าพอเป็นภาคต่อแล้วอะไรๆก็ต้องใหญ่กว่า เยอะกว่า แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ "รู้สึกน้อยกว่า"
ตัวละครเป็นโหลๆเรื่องนี้ต่างก็มีความเกี่ยวโยงระหว่างกัน พอยิ่งตัวละครเยอะหนังก็ยิ่งกระจายเวลาให้ลำบาก หลายครั้งที่ต้องเล่าตัวละครสักตัว ตัวละครอีกหลายตัวก็เหมือนจะหายจากหน้าจอไปเป็นเวลานานจนบางทีก็แทบจะลืมกันไปเลยว่าพวกเขาเป็นตายร้ายดีกันยังไง
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านั้น "โรแลนด์ เอมเมอริช" ก็น่าจะเป็นผู้กำกับหนัง "โลกาวินาศ" ได้สนุก คุมงานสร้างระดับมหึมาสเกลนี้ได้อย่างบันเทิงเริงใจ ไม่เลอะเทอะ และที่สำคัญมันตื่นตาตื่นใจ (อารมณ์เดียวกับ Jurasic World) แน่นอนว่ามันไม่อาจจะเทียบชั้นกับหนังภาคแรกได้ แต่ในขณะเดียวกัน "วิธีเล่า" ของหนังภาคนี้ ผู้กำกับก็เหมือนจะเข้าใจ "วิถีของคนดูหนังตลาดยุคนี้" ที่เล่าทุกอย่างด้วยความรีบ รีบ และรีบ จนไม่มีการหยุดพักเหนื่อย หรือแวะสำรวจอารมณ์ความเป็นมนุษย์ของตัวละคร จึงทำให้ตัวละครทุกตัวในหนังมีสภาพแบนๆ เป็นภาพจำของคาแรกเตอร์นั้นๆไปโดยปริยาย
ในภาพรวม Independence Day: Resurgence เรายังคงยืนยันว่ามันเป็นภาคต่อที่ตอบโจทย์สิ่งที่คนดูอยากจะเห็น อยากจะดู และแน่นอนว่าคนทำหนังก็ "สร้างจักรวาล" ของหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเรียบร้อย ซึ่งหมายความว่าถ้าหนังทำเงินในระดับมหาศาล อีกไม่กี่ปีช่างหน้า (ไม่ต้องรอกันถึง 20 ปี) Independence Day: ? จะตามมาอย่างแน่นอน
SCORE 7/10
#entertainmentbitereview
- - - อัพเดทไทม์ไลน์หลังเหตุการณ์หนังภาคแรกก่อนไปดู Independence Day RESURGENCE - - - รอยต่อระหว่างหนังภาคแรกและภาค 2 ที่หายไป 20 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตามมาอ่านได้ที่นี่เลยครับ >> https://www.facebook.com/EntertainmentBite/posts/1116569471722826
ชอบอ่านแนวคิดเกี่ยวกับภาพยนตร์ - คอนเสิร์ต - ละครเวที และการออกเที่ยวโลกกว้าง รวมไปถึงรีวิวจิปาถะฝากแฟนเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/EntertainmentBite/