สวัสดีครับ หลังจากที่ห่างหายการท่องเที่ยวไปนาน ล่าสุดในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์มาครับ เป็นการเดินทางคนเดียวครั้งที่ไกลบ้านที่สุดนับตั้งแต่เกิด หลังจากที่ไปญี่ปุ่นคนเดียวมาหลายรอบจนเริ่มรู้สึกเบื่อนิดๆ เลยอยากลองมาสัมผัสประเทศทางฝั่งยุโรปบ้างว่าเป็นอย่างไร จึงตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้งก่อนจะมาเรียนต่อครับ
1. ทำไมต้องสวิตเซอร์แลนด์?
เนื่องจากเป็นการเดินทางคนเดียวในประเทศแถบยุโรปซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ผมจึงเลือกประเทศที่น่าจะปลอดภัยที่สุดก่อนครับ และส่วนตัวเป็นคนที่ชอบดื่มด่ำกับความสงบ และความงดงามของธรรมชาติที่ห่างไกลผู้คน ได้เดินไต่ขึ้นเขา ข้ามแม่น้ำ ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้สวิตเซอร์แลนด์ก็เป็นประเทศแรกๆที่ผุดขึ้นมาในใจ ก่อนจะถูกตอกย้ำจากพี่สาวและพี่ๆที่เป็นเพื่อนร่วมงานถึงความดีงามของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นยอดเขา Matterhorn สูงเสียดฟ้า ทะเลสาบ Thun และ Brienz รวมไปถึงเมืองโรแมนติกอย่าง Luzern เป็นต้น ผมจึงตัดสินใจเลือกประเทศนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น และจองตั๋วเครื่องบินในวันเดียวกันนั้น ซึ่งครั้งนี้ก็ได้สายการบิน Emirates มาเป็นผู้สนับสนุนการเดินทางในราคาที่ทุกคนเห็นแล้วตาโต นั่นคือไปกลับ 17,xxx บาท เท่านั้นครับ โดย transit 1 ครั้งที่ Dubai ครับ (เวปที่ใช้ในการจองคือ cheapticket.com)
2. การเตรียมตัวและเตรียมใจเมื่อไปคนเดียว
การเดินทาง backpack คนเดียวนั้นสนุกและยืดหยุ่นได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแปรปรวนผู้เดินทางสามารถสับเปลี่ยนแผนการได้สะดวกตามความเหมาะสม เช่น วันที่ฟ้าปิดเราก็สามารถสลับแผนการจากการขึ้นเขามาเป็นเดินเที่ยวในเมือง เป็นต้น อยากไปไหน หยุดพักเมื่อไหร่ก็ทำได้โดยไม่ต้องขอความเห็นจากใคร ยกเว้นเสียงใจตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางคนเดียวนั้นต้องมีสติ และรอบคอบพอสมควรครับ เพราะจะไม่มีใครคอยเตือนคุณ เช่น ต้องตื่นตามเวลาเพื่อให้เที่ยวได้อย่างคุ้มค่า ระวังลืมของสำคัญ ระวังตัวเองจากคนแปลกหน้าเวลาเดินตามถนนเปลี่ยวหรือหลงทาง ต้องสื่อสารโดยใช้ความสามารถภาษาอังกฤษที่มี (แต่ภาษาราชการของสวิสคือภาษาเยอรมัน TT) เนื่องจากต้องเดินและใช้พลังงานมากจึงต้องฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนไปและอุปสรรคอีกอย่างที่สำคัญของการเดินทางคนเดียวในประเทศที่แสนเงียบสงบ แสนโรแมนติก และร้านค้าปิดเร็วอย่างประเทศนี้ก็คือ การเผชิญกับความเหงา ซึ่งหลายครั้งในทริปนี้ที่มันเข้ามาจู่โจมอย่างร้ายกาจ โดยเฉพาะริมทะเลสาบที่เต็มไปด้วยคู่รักที่เดินจับมือกัน จูบกัน ซึ่งทำให้ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาทีเดียวครับ
3. การขอ Visa
เนื่องจากเคยมีเพื่อนๆ review ไว้อย่างละเอียดดีมากแล้ว ผมจึงไม่ขอทำซ้ำครับ สามารถตามอ่านได้ตาม link ด้านล่างนี้ครับ
-
http://ppantip.com/topic/31830437 credit คุณ NaughtyP
-
http://ppantip.com/topic/31600438 credit คุณ Baanbondoi
-
http://ppantip.com/topic/34113918 credit คุณป้าปุ๊ thai orchid (ยื่นเอกสารโดยตรงกับสถานทูตฯ)
4. โรงแรม
ในสวิสมีที่พักหลับนอนหลายแบบครับ ที่นิยมในหมู่คนไทยก็คือ Youth hostel ซึ่งราคาพอรับได้ (1,500 – 2,500 บาท)แต่อาจจะต้องนอนรวมและแชร์ห้องน้ำกับคนอื่นๆ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบความเป็นส่วนตัว ไม่อยากนอนและใช้ห้องน้ำร่วมกับใครเลยจองที่พักเป็นโรงแรมทั้งหมด (เพราะอายุปูนนี้แล้ว 5555) ค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักเลยจะกระฉูดนิดนึงครับ (ตกคืนละ 3,000 – 3,500 บาท มีทั้งที่รวมและไม่รวมอาหารเช้า) ผมพัก 3 ที่ในการท่องเที่ยว 10 วันครับ คือที่ Luzern 2 คืน, Spiez 5 คืน และที่ Winterthur 2 คืน ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องแบกกระเป๋าบ่อย และสามารถสลับแผนการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกตลอดทริปครับ
หลักการในการเปรียบเทียบราคาที่พักก็คือ ที่พักตามเมืองใหญ่ๆ มักจะแพงกว่าเสมอ ที่พักที่วิวแจ่มๆ ย่อมรีดเงินมากกว่าวิวบ้านๆ และที่พักที่ใกล้สถานีรถไฟย่อมราคาสูงกว่าที่พักที่ไกลออกไป เวปจองที่ง่ายและสะดวกก็คือ booking และ agoda.com ครับ สามารถตรวจสอบระยะทางจากสถานีรถไฟหลักจนถึงได้ ซึ่งอาจบอกเป็นระยะทางจริงๆ หรือเวลาในการเดิน ซึ่งกรณีหลังนี้ใช้เกณฑ์ความเร็วของฝีก้าวคนสวิสนะครับ ถ้าเป็นคนไทยอย่างเราอาจต้องคูณสองครับ แนะนำว่าให้ดูดีๆนะครับว่าเป็นห่างจากสถานีรถไฟแค่ไหน พอเดินได้ไหม ไม่อย่างนั้นแล้วอาจต้องเสียพลังงานและเวลาโดยไม่จำเป็นครับ
ที่พักอีกรูปแบบคือ การเข้าพักในบ้านที่เขาเปิดรับรองนักท่องเที่ยว สามารถเลือกและอ่าน review ได้จากเวป airbnb.com ครับ ใครเคยพักลักษณะนี้เข้ามาเล่าให้ฟังหน่อยนะครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง
5. Swiss Pass
ถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และสำคัญไม่น้อยไปกว่าพาสปอร์ต เพราะช่วยให้คุณสามารถเดินทางทะลุทะลวงไปได้ทุกที่ในสวิส ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถบัส หรือการล่องเรือ แถมยังสามารถเป็นส่วนลดในการขึ้นยอดเขาหลายๆยอดเขา (บางที่ก็ฟรีครับ) และเข้าพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจรวมถึงปราสาทได้ฟรีอีกด้วย
Swiss pass มีหลายแบบให้เลือกตามความเหมาะสมของการเดินทางครับ เช่น 8 วัน หรือ 15 วันติดกัน สามารถซื้อจาก agency ในไทยแล้วนำไป activate เมื่อถึงสวิสแล้วก็ได้ แต่ข้อเสียคืออาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม หรืออีกวิธีอย่างที่ผมทำคือไปซื้อเอาที่สถานีรถไฟ Zurich Flughafen (ซึ่งอยู่ภายในสนามบิน Zurich) ข้อดีก็คือไม่มีค่าธรรมเนียม และได้แตกแบงค์ใหญ่ๆที่อาจจะถูกด่าได้ถ้าใช้ใน Coop หรือ Migros ครับ 5555
เวปของ swiss travel pass ก็ตามนี้เลยครับ
https://www.swiss-pass.ch มีหลายแบบให้เลือก ลองอ่านดูครับ
6. Internet Sim
ของยังชีพที่สำคัญอีกอย่างนั่นก็คือ internet sim ซึ่งผมได้ค่าย salt มาเป็นผู้อุปการะคุณในทริปนี้ครับ ร้านตั้งอยู่ในบริเวณตึกสถานีรถไฟ Zurich Flughafen ผมจ่าย 10 CHF เขาแถมให้อีก 10 CHF หักวันละ 2 CHF (ใช้ 10 วันก็เป็น 20 CHF) เป็นเน็ท 4G unlimitted แรงและทั่วถึงครับ ทำให้ไม่ขาดการติดต่อกับเมืองไทยเลยแม้แต่วินาทีเดียว นอกจากนี้ภายในตึกสถานีรถไฟ Zurich Flughafen ยังมีร้านให้เลือกอีก 2 ร้านคือ Swisscom ซึ่งเท่าที่ review มาไม่มี internet sim จำหน่ายครับ และอีกร้านคือ Sunrise ซึ่งแพงกว่าครับ
อีกวิธีสำหรับนักเดินทางเป็นกลุ่มก็คือ การเช่า pocket wifi ซึ่งก็มีให้เช่าจากไทยครับ ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงเช็คได้จากเวป
http://globalwifi-thai.com ครับ ซึ่งถ้าเดินทางหลายๆคนเมื่อนำค่าเช่าต่อวันมาคิดเป็นรายคนก็อาจจะถูกกว่าครับ
7. การเดินทางภายในสวิส
การเดินทางหลักๆคือรถไฟครับ เข้าถึงแทบทุกที่ที่อยากจะไป ใครที่เคยไปญี่ปุ่นแล้วคิดว่าไม่น่าจะลำบากอะไรครับ มีข้อแตกต่างกันเล็กน้อยได้แก่
- รถไฟในสวิสจะแบ่งออกเป็น first และ second class สามารถสังเกตได้จากตัวเลขที่กำกับไว้แต่ละโบกี้ เช่น เลข 1 ก็คือ first class และเลข 2 ก็คือ second class ระวังอย่าขึ้นผิดครับ
- สถานีรถไฟจะไม่มีเครื่องให้สอดบัตรแบบในญี่ปุ่น คนสวิสซื้อตั๋วแล้วก็มารอขึ้นรถไฟเลย แล้วระหว่างการเดินทาง ถ้ามีนายตรวจมาขอตรวจค่อยโชว์ตั๋วหรือ swiss pass ให้ดูครับ ผมใช้คำว่า “ถ้ามี” นั่นแปลว่าบางครั้งอาจไม่มีคนมาตรวจเลยครับ โดยเฉพาะถ้าขึ้นรถไฟสายท้องถิ่น เค้าไว้ใจคนประเทศเค้ามากๆ ขอเตือนต่อว่าอย่าลักไก่แอบไม่ซื้อตั๋วขึ้นไปนั่งนะครับ เพราะถ้าถูกจับได้ขึ้นมาเนี่ยนอกจากจะเสียค่าปรับเพิ่มแล้ว ยังเสียชื่อประเทศเราด้วยครับ
- สามารถเช็คตารางเวลาแบบ real time ได้โดย download app : SBB mobile มาใช้ครับ ถ้าใครเคยไปญี่ปุ่นแล้วได้ลองใช้ hyperdia ก็ไม่ยากแล้วครับ วิธีการใช้คล้ายกัน คือเลือกวันและเวลา เลือกเมืองหรือสถานีที่จะไป เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยครับ โปรแกรมก็จะเลือกเส้นทางที่เหมาะสมมาให้หลายทาง สามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวกครับ
การเดินทางโดยรสบัสก็สะดวกครับ โชว์ Swiss pass ให้คนขับรถดูก็ใช้ได้แล้ว บนรถมีจอแสดงการเดินทางเป็นภาษาอังกฤษบอกถึงจุดหมายและป้ายแต่ละป้ายที่กำลังจะไปด้วย แนะนำว่าระวังความงงเวลาจะขึ้นรถนะครับ เพราะที่สวิสจะขับรถชิดขวาและประตูจะอยู่ด้านขวา ซึ่งต่างจากบ้านเราและที่ญี่ปุ่น วันที่ผมไปนี่งงมากเลยทีเดียวครับ
นอกจากนี้ยังมีการเดินทางโดยเรือล่องทะเลสาบด้วย ซึ่งผมจะกล่าวในวันที่เที่ยว Thun และ Brienz ครับ
8. การเช็คภูมิอากาศ
ตอนที่ผมเดินทางเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งช่วงเปลี่ยนฤดูนี่เองอาจเกิดความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศได้ เช่น มีฝนตกเป็นระยะหรือลมแรงได้ แน่นอนครับว่าส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวเข้าอย่างจัง เพราะฉะนั้นการเช็คสภาพอากาศแบบวันต่อวันจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งมี app จำนวนมากที่ออกแบบมาช่วยตรงจุดนี้ เช่น MeteoSwiss (น่าเชื่อถือมาก), Weather for Switzerland (mogo.ch น่าเชื่อถือปานกลาง) เป็นต้น ซึ่งผมได้ลองสอบถามคนสวิส เค้าแนะนำเวป srf.ch/meteo ครับซึ่งมีการบอกเป็นรายวัน และรายชั่วโมงเลยทีเดียว ที่สำคัญคือน่าเชื่อถือมาก แสดงลักษณะอากาศว่าฝนตก เมฆมากน้อยให้เห็นเป็นภาพชัดเจน ข้อจำกัดคือไม่มีภาษาอังกฤษครับ แต่ก็พอจะอ่านและเดาได้จากบริบทครับ
9. Adaptor
เต้ารับในสวิสส่วนใหญ่เป็นดังในภาพครับ คือจะเป็นเบ้าบุ๋มลงไปและมีขนาดพอดีกับปลั๊กไฟที่จะเสียบ มีส่วนน้อยแล้วแต่โรงแรมที่อาจจะเป็นเต้ารับแบบเรียบๆไม่บุ๋ม เพราะฉะนั้นแนะนำให้เตรียมไปให้เหมาะสมด้วยนะครับ อาจถามทางโรงแรมว่ามี adaptor ให้ยืมหรือไม่ หรือถ้าจำเป็นต้องซื้อก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Media markt ซึ่งมีหลายสาขาทั่วไปในเมืองท่องเที่ยวครับ
10. หนังสือนำเที่ยว
ผมอ่านจาก 4 เล่มนี้ครับ เป็นการเตรียมตัวที่หนักที่สุดตั้งแต่เที่ยวคนเดียวมา
- แตะยอดเขา ล่องทะเลสาบ สวิตเซอร์แลนด์ โดย เรือใบสองสี สำนักพิมพ์สารคดี
- เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วท่องสวิตเซอร์แลนด์ โดย มดเอ๊กซ์ สำนักพิมพ์ Tib Thai Inter Book
- Switzerland โดย Lonely planet
- Swiss Surreal สวิสที่ฝันในวันที่ตื่น โดย โสภณ ศุภมั่งมี สำนักพิมพ์ Hideaway
นอกจากนี้ยังมีกระทู้อื่นๆอีกเป็นสิบๆใน ppantip.com ซึ่งสามารถค้นหาอ่านได้ครับ
[CR] [CR]Walk Alone in Switzerland by ชายเรียกฝน : Part เตรียมตัว และ Day 1 Good evening Luzern
1. ทำไมต้องสวิตเซอร์แลนด์?
เนื่องจากเป็นการเดินทางคนเดียวในประเทศแถบยุโรปซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ผมจึงเลือกประเทศที่น่าจะปลอดภัยที่สุดก่อนครับ และส่วนตัวเป็นคนที่ชอบดื่มด่ำกับความสงบ และความงดงามของธรรมชาติที่ห่างไกลผู้คน ได้เดินไต่ขึ้นเขา ข้ามแม่น้ำ ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้สวิตเซอร์แลนด์ก็เป็นประเทศแรกๆที่ผุดขึ้นมาในใจ ก่อนจะถูกตอกย้ำจากพี่สาวและพี่ๆที่เป็นเพื่อนร่วมงานถึงความดีงามของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นยอดเขา Matterhorn สูงเสียดฟ้า ทะเลสาบ Thun และ Brienz รวมไปถึงเมืองโรแมนติกอย่าง Luzern เป็นต้น ผมจึงตัดสินใจเลือกประเทศนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น และจองตั๋วเครื่องบินในวันเดียวกันนั้น ซึ่งครั้งนี้ก็ได้สายการบิน Emirates มาเป็นผู้สนับสนุนการเดินทางในราคาที่ทุกคนเห็นแล้วตาโต นั่นคือไปกลับ 17,xxx บาท เท่านั้นครับ โดย transit 1 ครั้งที่ Dubai ครับ (เวปที่ใช้ในการจองคือ cheapticket.com)
2. การเตรียมตัวและเตรียมใจเมื่อไปคนเดียว
การเดินทาง backpack คนเดียวนั้นสนุกและยืดหยุ่นได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแปรปรวนผู้เดินทางสามารถสับเปลี่ยนแผนการได้สะดวกตามความเหมาะสม เช่น วันที่ฟ้าปิดเราก็สามารถสลับแผนการจากการขึ้นเขามาเป็นเดินเที่ยวในเมือง เป็นต้น อยากไปไหน หยุดพักเมื่อไหร่ก็ทำได้โดยไม่ต้องขอความเห็นจากใคร ยกเว้นเสียงใจตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางคนเดียวนั้นต้องมีสติ และรอบคอบพอสมควรครับ เพราะจะไม่มีใครคอยเตือนคุณ เช่น ต้องตื่นตามเวลาเพื่อให้เที่ยวได้อย่างคุ้มค่า ระวังลืมของสำคัญ ระวังตัวเองจากคนแปลกหน้าเวลาเดินตามถนนเปลี่ยวหรือหลงทาง ต้องสื่อสารโดยใช้ความสามารถภาษาอังกฤษที่มี (แต่ภาษาราชการของสวิสคือภาษาเยอรมัน TT) เนื่องจากต้องเดินและใช้พลังงานมากจึงต้องฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนไปและอุปสรรคอีกอย่างที่สำคัญของการเดินทางคนเดียวในประเทศที่แสนเงียบสงบ แสนโรแมนติก และร้านค้าปิดเร็วอย่างประเทศนี้ก็คือ การเผชิญกับความเหงา ซึ่งหลายครั้งในทริปนี้ที่มันเข้ามาจู่โจมอย่างร้ายกาจ โดยเฉพาะริมทะเลสาบที่เต็มไปด้วยคู่รักที่เดินจับมือกัน จูบกัน ซึ่งทำให้ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาทีเดียวครับ
3. การขอ Visa
เนื่องจากเคยมีเพื่อนๆ review ไว้อย่างละเอียดดีมากแล้ว ผมจึงไม่ขอทำซ้ำครับ สามารถตามอ่านได้ตาม link ด้านล่างนี้ครับ
- http://ppantip.com/topic/31830437 credit คุณ NaughtyP
- http://ppantip.com/topic/31600438 credit คุณ Baanbondoi
- http://ppantip.com/topic/34113918 credit คุณป้าปุ๊ thai orchid (ยื่นเอกสารโดยตรงกับสถานทูตฯ)
4. โรงแรม
ในสวิสมีที่พักหลับนอนหลายแบบครับ ที่นิยมในหมู่คนไทยก็คือ Youth hostel ซึ่งราคาพอรับได้ (1,500 – 2,500 บาท)แต่อาจจะต้องนอนรวมและแชร์ห้องน้ำกับคนอื่นๆ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบความเป็นส่วนตัว ไม่อยากนอนและใช้ห้องน้ำร่วมกับใครเลยจองที่พักเป็นโรงแรมทั้งหมด (เพราะอายุปูนนี้แล้ว 5555) ค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักเลยจะกระฉูดนิดนึงครับ (ตกคืนละ 3,000 – 3,500 บาท มีทั้งที่รวมและไม่รวมอาหารเช้า) ผมพัก 3 ที่ในการท่องเที่ยว 10 วันครับ คือที่ Luzern 2 คืน, Spiez 5 คืน และที่ Winterthur 2 คืน ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องแบกกระเป๋าบ่อย และสามารถสลับแผนการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกตลอดทริปครับ
หลักการในการเปรียบเทียบราคาที่พักก็คือ ที่พักตามเมืองใหญ่ๆ มักจะแพงกว่าเสมอ ที่พักที่วิวแจ่มๆ ย่อมรีดเงินมากกว่าวิวบ้านๆ และที่พักที่ใกล้สถานีรถไฟย่อมราคาสูงกว่าที่พักที่ไกลออกไป เวปจองที่ง่ายและสะดวกก็คือ booking และ agoda.com ครับ สามารถตรวจสอบระยะทางจากสถานีรถไฟหลักจนถึงได้ ซึ่งอาจบอกเป็นระยะทางจริงๆ หรือเวลาในการเดิน ซึ่งกรณีหลังนี้ใช้เกณฑ์ความเร็วของฝีก้าวคนสวิสนะครับ ถ้าเป็นคนไทยอย่างเราอาจต้องคูณสองครับ แนะนำว่าให้ดูดีๆนะครับว่าเป็นห่างจากสถานีรถไฟแค่ไหน พอเดินได้ไหม ไม่อย่างนั้นแล้วอาจต้องเสียพลังงานและเวลาโดยไม่จำเป็นครับ
ที่พักอีกรูปแบบคือ การเข้าพักในบ้านที่เขาเปิดรับรองนักท่องเที่ยว สามารถเลือกและอ่าน review ได้จากเวป airbnb.com ครับ ใครเคยพักลักษณะนี้เข้ามาเล่าให้ฟังหน่อยนะครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง
5. Swiss Pass
ถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และสำคัญไม่น้อยไปกว่าพาสปอร์ต เพราะช่วยให้คุณสามารถเดินทางทะลุทะลวงไปได้ทุกที่ในสวิส ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถบัส หรือการล่องเรือ แถมยังสามารถเป็นส่วนลดในการขึ้นยอดเขาหลายๆยอดเขา (บางที่ก็ฟรีครับ) และเข้าพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจรวมถึงปราสาทได้ฟรีอีกด้วย
Swiss pass มีหลายแบบให้เลือกตามความเหมาะสมของการเดินทางครับ เช่น 8 วัน หรือ 15 วันติดกัน สามารถซื้อจาก agency ในไทยแล้วนำไป activate เมื่อถึงสวิสแล้วก็ได้ แต่ข้อเสียคืออาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม หรืออีกวิธีอย่างที่ผมทำคือไปซื้อเอาที่สถานีรถไฟ Zurich Flughafen (ซึ่งอยู่ภายในสนามบิน Zurich) ข้อดีก็คือไม่มีค่าธรรมเนียม และได้แตกแบงค์ใหญ่ๆที่อาจจะถูกด่าได้ถ้าใช้ใน Coop หรือ Migros ครับ 5555
เวปของ swiss travel pass ก็ตามนี้เลยครับ https://www.swiss-pass.ch มีหลายแบบให้เลือก ลองอ่านดูครับ
6. Internet Sim
ของยังชีพที่สำคัญอีกอย่างนั่นก็คือ internet sim ซึ่งผมได้ค่าย salt มาเป็นผู้อุปการะคุณในทริปนี้ครับ ร้านตั้งอยู่ในบริเวณตึกสถานีรถไฟ Zurich Flughafen ผมจ่าย 10 CHF เขาแถมให้อีก 10 CHF หักวันละ 2 CHF (ใช้ 10 วันก็เป็น 20 CHF) เป็นเน็ท 4G unlimitted แรงและทั่วถึงครับ ทำให้ไม่ขาดการติดต่อกับเมืองไทยเลยแม้แต่วินาทีเดียว นอกจากนี้ภายในตึกสถานีรถไฟ Zurich Flughafen ยังมีร้านให้เลือกอีก 2 ร้านคือ Swisscom ซึ่งเท่าที่ review มาไม่มี internet sim จำหน่ายครับ และอีกร้านคือ Sunrise ซึ่งแพงกว่าครับ
อีกวิธีสำหรับนักเดินทางเป็นกลุ่มก็คือ การเช่า pocket wifi ซึ่งก็มีให้เช่าจากไทยครับ ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงเช็คได้จากเวป http://globalwifi-thai.com ครับ ซึ่งถ้าเดินทางหลายๆคนเมื่อนำค่าเช่าต่อวันมาคิดเป็นรายคนก็อาจจะถูกกว่าครับ
7. การเดินทางภายในสวิส
การเดินทางหลักๆคือรถไฟครับ เข้าถึงแทบทุกที่ที่อยากจะไป ใครที่เคยไปญี่ปุ่นแล้วคิดว่าไม่น่าจะลำบากอะไรครับ มีข้อแตกต่างกันเล็กน้อยได้แก่
- รถไฟในสวิสจะแบ่งออกเป็น first และ second class สามารถสังเกตได้จากตัวเลขที่กำกับไว้แต่ละโบกี้ เช่น เลข 1 ก็คือ first class และเลข 2 ก็คือ second class ระวังอย่าขึ้นผิดครับ
- สถานีรถไฟจะไม่มีเครื่องให้สอดบัตรแบบในญี่ปุ่น คนสวิสซื้อตั๋วแล้วก็มารอขึ้นรถไฟเลย แล้วระหว่างการเดินทาง ถ้ามีนายตรวจมาขอตรวจค่อยโชว์ตั๋วหรือ swiss pass ให้ดูครับ ผมใช้คำว่า “ถ้ามี” นั่นแปลว่าบางครั้งอาจไม่มีคนมาตรวจเลยครับ โดยเฉพาะถ้าขึ้นรถไฟสายท้องถิ่น เค้าไว้ใจคนประเทศเค้ามากๆ ขอเตือนต่อว่าอย่าลักไก่แอบไม่ซื้อตั๋วขึ้นไปนั่งนะครับ เพราะถ้าถูกจับได้ขึ้นมาเนี่ยนอกจากจะเสียค่าปรับเพิ่มแล้ว ยังเสียชื่อประเทศเราด้วยครับ
- สามารถเช็คตารางเวลาแบบ real time ได้โดย download app : SBB mobile มาใช้ครับ ถ้าใครเคยไปญี่ปุ่นแล้วได้ลองใช้ hyperdia ก็ไม่ยากแล้วครับ วิธีการใช้คล้ายกัน คือเลือกวันและเวลา เลือกเมืองหรือสถานีที่จะไป เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยครับ โปรแกรมก็จะเลือกเส้นทางที่เหมาะสมมาให้หลายทาง สามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวกครับ
การเดินทางโดยรสบัสก็สะดวกครับ โชว์ Swiss pass ให้คนขับรถดูก็ใช้ได้แล้ว บนรถมีจอแสดงการเดินทางเป็นภาษาอังกฤษบอกถึงจุดหมายและป้ายแต่ละป้ายที่กำลังจะไปด้วย แนะนำว่าระวังความงงเวลาจะขึ้นรถนะครับ เพราะที่สวิสจะขับรถชิดขวาและประตูจะอยู่ด้านขวา ซึ่งต่างจากบ้านเราและที่ญี่ปุ่น วันที่ผมไปนี่งงมากเลยทีเดียวครับ
นอกจากนี้ยังมีการเดินทางโดยเรือล่องทะเลสาบด้วย ซึ่งผมจะกล่าวในวันที่เที่ยว Thun และ Brienz ครับ
8. การเช็คภูมิอากาศ
ตอนที่ผมเดินทางเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งช่วงเปลี่ยนฤดูนี่เองอาจเกิดความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศได้ เช่น มีฝนตกเป็นระยะหรือลมแรงได้ แน่นอนครับว่าส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวเข้าอย่างจัง เพราะฉะนั้นการเช็คสภาพอากาศแบบวันต่อวันจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งมี app จำนวนมากที่ออกแบบมาช่วยตรงจุดนี้ เช่น MeteoSwiss (น่าเชื่อถือมาก), Weather for Switzerland (mogo.ch น่าเชื่อถือปานกลาง) เป็นต้น ซึ่งผมได้ลองสอบถามคนสวิส เค้าแนะนำเวป srf.ch/meteo ครับซึ่งมีการบอกเป็นรายวัน และรายชั่วโมงเลยทีเดียว ที่สำคัญคือน่าเชื่อถือมาก แสดงลักษณะอากาศว่าฝนตก เมฆมากน้อยให้เห็นเป็นภาพชัดเจน ข้อจำกัดคือไม่มีภาษาอังกฤษครับ แต่ก็พอจะอ่านและเดาได้จากบริบทครับ
9. Adaptor
เต้ารับในสวิสส่วนใหญ่เป็นดังในภาพครับ คือจะเป็นเบ้าบุ๋มลงไปและมีขนาดพอดีกับปลั๊กไฟที่จะเสียบ มีส่วนน้อยแล้วแต่โรงแรมที่อาจจะเป็นเต้ารับแบบเรียบๆไม่บุ๋ม เพราะฉะนั้นแนะนำให้เตรียมไปให้เหมาะสมด้วยนะครับ อาจถามทางโรงแรมว่ามี adaptor ให้ยืมหรือไม่ หรือถ้าจำเป็นต้องซื้อก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Media markt ซึ่งมีหลายสาขาทั่วไปในเมืองท่องเที่ยวครับ
10. หนังสือนำเที่ยว
ผมอ่านจาก 4 เล่มนี้ครับ เป็นการเตรียมตัวที่หนักที่สุดตั้งแต่เที่ยวคนเดียวมา
- แตะยอดเขา ล่องทะเลสาบ สวิตเซอร์แลนด์ โดย เรือใบสองสี สำนักพิมพ์สารคดี
- เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วท่องสวิตเซอร์แลนด์ โดย มดเอ๊กซ์ สำนักพิมพ์ Tib Thai Inter Book
- Switzerland โดย Lonely planet
- Swiss Surreal สวิสที่ฝันในวันที่ตื่น โดย โสภณ ศุภมั่งมี สำนักพิมพ์ Hideaway
นอกจากนี้ยังมีกระทู้อื่นๆอีกเป็นสิบๆใน ppantip.com ซึ่งสามารถค้นหาอ่านได้ครับ