ต่อจาก EP-1 (
http://ppantip.com/topic/35292791) ที่ได้กล่าวค้างไว้ว่ามีบางร้านที่ขายเนื้อสัตว์ ร้านที่เราเเนะนำก็คือร้าน Lamayuru Restaurant อาหารอร่อยเเล้วก็ไม่เเพงด้วย เเต่บางวันทั้งเมืองเลยก็จะไม่ขายเมนูที่มีเนื้อสัตว์ค่ะ เพราะมันเป็นวันสำคัญอะไรซักอย่างของเขา
วันที่หก: วันนี้เราจะเดินทางไปนูบร้ากัน (Leh-Nubra Valley - Hunder - sand dune -Diskit Monastery-Leh) เราจะค้างกันที่นูบร้า 1 คืน เเต่ยังต้องใช้ใบอนุญาตเข้าพื้นที่ ซึ่งเป็นใบเดียวกับที่เราใช้ไปทะเลสาบปันกองค่ะ
คลิปทางไปนูบร้า ด้านขวาคือเหว
วิวข้างทาง เเม่น้ำใสมากเลยค่ะ
จุดตรวจใบผ่านทางค่ะ
ก่อนถึงนูบร้า เราก็จะผ่าน Khardungla Pass เป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก โดยจะสังเกตเห็นว่านักท่องเที่ยวอินเดียซึ่งอยู่ต่างรัฐ มาเที่ยวที่นี่เยอะมาก อาจจะเป็นเพราะว่าอากาศที่นี่เย็น มีหิมะ ต่างจากในมุมไบ หรือเดลี ที่ตอนนี้อากาศร้อนมากๆ เลยค่ะ
คู่รักคู่นี้น่ารักมากเลยค่ะ
จุดเเวะพักทานอาหารเที่ยงค่ะ ที่นี่ทำให้ จขกท ได้ลองใช้ห้องน้ำเเบบหลุมเป็นครั้งเเรกในชีวิตค่ะ ทั้งๆที่หลายวันที่ผ่านมาพยายามจะไม่เข้าห้องน้ำระหว่างเดินทาง กว่าจะทำใจได้...
Hunder Sand Dune: กิจกรรมที่นี่ก็จะเป็นนั่งอูฐ กับขับรถเอทีวีค่ะ เเต่เราเลือกขี่อูฐ ค่าเสียหายก็อยู่ที่คนละ 200 รูปี ขี่ประมาณ 10 นาทีค่ะ
จะเจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นบ้างประปรายค่ะ
Diskit Monastery:
วันนี้เราเลือกพักกันที่ Nubra Ecolodge ค่ะ ที่เลือกที่นี่เพราะเราต้องการจะตัดปัญหาเรื่องโอนค่ามัดจำ เพราะว่าค่าธรรมเนียมการโอนค่อนข้างเเพง เมื่อเทียบกับเงินมัดจำ เราจึงเลือกที่พักที่สามารถจองผ่านอโกด้า ได้ค่ะ อาหารเย็นที่นี่เค้าจะทำให้ค่ะ คิด 350 รูปีต่อคน เป็นอาหารมังสวิรัต หน้าตาดูดีเลยค่ะ เเต่ จขกท ทานอาหารอินเดียไม่ได้ เพราะรู้สึกว่ากลิ่นเเรงเเละเค็มมาก เลยต้องเเอบเอาหมูเเผ่นมากินเเทนค่ะ TT
อ่อ ไฟฟ้าที่นี่จะมาตอน 1 ทุ่มนะคะ ไวไฟมีนะคะเเต่ใช้ไม่ได้ 55555
วันที่เจ็ด: ก่อนเดินทางกลับเลห์ เราก็เเวะไปที่วัดนึง ซึ่งต้องขอโทษด้วยที่เราจำชื่อไม่ได้
วันที่เเปด: Leh-Alchi Monastery - Lamayuru Monastery - Likir Monastery-Leh เส้นทางที่เราใช้เป็น National Highway ซึ่งจะไม่ทรหดเท่ากับวันที่ผ่านๆมาค่ะ เเต่เนื่องจากเราเที่ยววัดกันมาหลายวัน ทำให้เราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับวัดที่มาในวันนี้เท่าไหร่ ใครจะตัดโปรเเกรมนี้ออกก็ไม่ว่ากันค่ะ
สิ่งที่ชอบมากๆ ของการมาเที่ยวที่นี่ก็คือเเม่น้ำใสสะอาดมากๆ
เเม่น้ำสองสี
Moonland
Lamayuru Monastery
คุณยายคนนี้จะเห็นเกือบทุกกระทู้เลยก็ว่าได้ค่ะ
วันที่เก้า: วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพวกเรา ดังนั้นเราจึงวางเเผนให้วันนี้ฟรีเดย์ ใครอยากจะทำอะไรก็ปล่อยตามอัธยาศัยค่ะ ซึ่งเราก็เลือกที่จะไปเดินเล่นที่ตลาด main bazaar เพื่อดูวิถีความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ตลาดก็จะเป็นตลาดเล็กๆ ค่ะ เเต่ตอนนี้เริ่มมีการก่อสร้างต่อเติมอาคารบริเวณนี้อยู่มากพอสมควร อาจจะเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต ส่วนใครอยากจะส่งโปสการ์ดกลับไทย ค่าเเสตมป์ 15 รูปีค่ะ ส่งประมาณ 2 สัปดาห์ก็ถึงไทยเเล้ว
สิ่งที่ประทับใจอย่างนึงของการมาเยือนที่นี่ก็คือ ผู้คนเป็นมิตร ใจดี เเต่ จขกท ก็สงสัยอย่างนึงว่าทำไมไม่ค่อยเห็นผู้หญิงที่นี่ออกมาทำงานนอกบ้าน งานบริการต่างๆ ทั้งขายอาหาร ขับรถ ก็จะเป็นผู้ชายทำทั้งหมด ใครรู้ช่วยบอกทีนะคะ^^
วันนี้เรานัดกับเจ้าของเกสเฮ้าเคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ กันคืนนี้ เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกไปสนามบินกันเเต่เช้า ซึ่งระหว่างที่กำลังเคลียร์ค่าใช้จ่ายกันอยู่ เจ้าของเกสเฮ้าก็พูดกับพวกเราว่า เค้าขอให้เราให้ทิปกับพนักงานของเขาด้วย เพราะว่าเด็กพวกนี้น่าสงสารมาก มาจากชนบทเพื่อมาทำงานที่เลห์ ถ้าไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวเด็กพวกนี้ก็จะไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเองเเละครอบครัวเลย ซึ่งเรากับเพื่อนที่ไปด้วยกันก็คิดกันตั้งเเต่ต้นเเล้วว่าจะให้ทิป เพราะว่าเค้าช่วยเหลือเราดีมากๆ เราจึงบอกกับเจ้าของเกสเฮ้าว่าไม่มีปัญหาค่ะ เราจะให้ทิปพนักงานของเค้าเเน่นอน ลืมบอกว่าวันที่ 5, 7,8 เเละ 9 พวกเราพักที่ Siala Guesthouse ค่ะ ซึ่งราคาถูกกว่า New Royal Guesthouse ประมาณครึ่งนึงเลย เเต่สภาพที่พัก รวมทั้งเครื่องทำน้ำอุ่น ความคิดส่วนตัว จขกท คิดว่า Siala Guesthouse ดีกว่าค่ะ เพราะเครื่องทำน้ำอุ่นไม่งอเเงเลยเเม้เเต่วันเดียว ที่พูดเเบบนี้เนื่องจากวันที่ จขกท พักที่ New Royal Guesthouse พอถึงคิว จขกท อาบน้ำทีไร เครื่องทำน้ำอุ่นก็จะใช้งานไม่ได้ทุกรอบเลย สรุปต้องอาบน้ำเย็น ซึ่งมันเย็นมากๆ เพราะเรามากันช่วงเดือนต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งอากาศยังหนาวอยู่พอสมควรเลย ส่วนเรื่องอินเตอร์เนตที่พักเกือบทุกที่ก็จะบอกว่าตัวเองมีอินเตอร์เนตไวไฟใช่ไหมคะ เเต่ความเป็นจริงเเล้วพวกเรามากัน 10 วัน เราเเทบจะเข้าอินเตอร์เนตไม่ได้เลย อาจจะเป็นเพราะว่าระบบยังไม่เสถียร ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ดินเเดน Slow life ของกระทู้นี้ค่ะ ดังนั้นถ้าใครจะไปท่องเที่ยวที่เลห์ เเนะนำให้พกหนังสือไปซักเล่ม รับรองว่าอ่านจบเเน่นอนค่ะ
วันสุดท้าย: เราออกจากที่พักตั้งเเต่เช้า โดยเมื่อคืนเราได้ขอให้เจ้าของเกสเฮ้าโทรนัดเเทกซี่ให้มารับเราตั้งเเต่เช้าด้วย ค่าเเทกซี่ก็ประมาณ 250 รูปี เมื่อมาถึงสนามบินเราก็ต้องเเสกนกระเป๋า หลังเเสกนอย่าลืมสังเกตเเทกเครื่องหมายที่เเสดงว่าผ่านการเเสกนเเล้วด้วยนะคะ ไม่อย่างงั้นตอนเชคอิน จะโดนพนักงานไล่มาเเสกนใหม่อีกรอบ หลังจากเชคอินเรียบร้อยเเล้วพนักงานก็จะบอกว่าก่อนกระเป๋าจะโหลดลงเครื่องให้เราไปตรวจนับกระเป๋าของเราเพื่อยืนยันอีกครั้งนึงค่ะ ดังนั้นอย่าลืมเงี้ยหูฟังประกาศด้วยนะคะ
Leh-Ladakh ดินเเดน Slow Life EP-2
วันที่หก: วันนี้เราจะเดินทางไปนูบร้ากัน (Leh-Nubra Valley - Hunder - sand dune -Diskit Monastery-Leh) เราจะค้างกันที่นูบร้า 1 คืน เเต่ยังต้องใช้ใบอนุญาตเข้าพื้นที่ ซึ่งเป็นใบเดียวกับที่เราใช้ไปทะเลสาบปันกองค่ะ
คลิปทางไปนูบร้า ด้านขวาคือเหว
วิวข้างทาง เเม่น้ำใสมากเลยค่ะ
จุดตรวจใบผ่านทางค่ะ
ก่อนถึงนูบร้า เราก็จะผ่าน Khardungla Pass เป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก โดยจะสังเกตเห็นว่านักท่องเที่ยวอินเดียซึ่งอยู่ต่างรัฐ มาเที่ยวที่นี่เยอะมาก อาจจะเป็นเพราะว่าอากาศที่นี่เย็น มีหิมะ ต่างจากในมุมไบ หรือเดลี ที่ตอนนี้อากาศร้อนมากๆ เลยค่ะ
คู่รักคู่นี้น่ารักมากเลยค่ะ
จุดเเวะพักทานอาหารเที่ยงค่ะ ที่นี่ทำให้ จขกท ได้ลองใช้ห้องน้ำเเบบหลุมเป็นครั้งเเรกในชีวิตค่ะ ทั้งๆที่หลายวันที่ผ่านมาพยายามจะไม่เข้าห้องน้ำระหว่างเดินทาง กว่าจะทำใจได้...
Hunder Sand Dune: กิจกรรมที่นี่ก็จะเป็นนั่งอูฐ กับขับรถเอทีวีค่ะ เเต่เราเลือกขี่อูฐ ค่าเสียหายก็อยู่ที่คนละ 200 รูปี ขี่ประมาณ 10 นาทีค่ะ
จะเจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นบ้างประปรายค่ะ
Diskit Monastery:
วันนี้เราเลือกพักกันที่ Nubra Ecolodge ค่ะ ที่เลือกที่นี่เพราะเราต้องการจะตัดปัญหาเรื่องโอนค่ามัดจำ เพราะว่าค่าธรรมเนียมการโอนค่อนข้างเเพง เมื่อเทียบกับเงินมัดจำ เราจึงเลือกที่พักที่สามารถจองผ่านอโกด้า ได้ค่ะ อาหารเย็นที่นี่เค้าจะทำให้ค่ะ คิด 350 รูปีต่อคน เป็นอาหารมังสวิรัต หน้าตาดูดีเลยค่ะ เเต่ จขกท ทานอาหารอินเดียไม่ได้ เพราะรู้สึกว่ากลิ่นเเรงเเละเค็มมาก เลยต้องเเอบเอาหมูเเผ่นมากินเเทนค่ะ TT
อ่อ ไฟฟ้าที่นี่จะมาตอน 1 ทุ่มนะคะ ไวไฟมีนะคะเเต่ใช้ไม่ได้ 55555
วันที่เจ็ด: ก่อนเดินทางกลับเลห์ เราก็เเวะไปที่วัดนึง ซึ่งต้องขอโทษด้วยที่เราจำชื่อไม่ได้
วันที่เเปด: Leh-Alchi Monastery - Lamayuru Monastery - Likir Monastery-Leh เส้นทางที่เราใช้เป็น National Highway ซึ่งจะไม่ทรหดเท่ากับวันที่ผ่านๆมาค่ะ เเต่เนื่องจากเราเที่ยววัดกันมาหลายวัน ทำให้เราไม่รู้สึกตื่นเต้นกับวัดที่มาในวันนี้เท่าไหร่ ใครจะตัดโปรเเกรมนี้ออกก็ไม่ว่ากันค่ะ
สิ่งที่ชอบมากๆ ของการมาเที่ยวที่นี่ก็คือเเม่น้ำใสสะอาดมากๆ
เเม่น้ำสองสี
Moonland
Lamayuru Monastery
คุณยายคนนี้จะเห็นเกือบทุกกระทู้เลยก็ว่าได้ค่ะ
วันที่เก้า: วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพวกเรา ดังนั้นเราจึงวางเเผนให้วันนี้ฟรีเดย์ ใครอยากจะทำอะไรก็ปล่อยตามอัธยาศัยค่ะ ซึ่งเราก็เลือกที่จะไปเดินเล่นที่ตลาด main bazaar เพื่อดูวิถีความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ตลาดก็จะเป็นตลาดเล็กๆ ค่ะ เเต่ตอนนี้เริ่มมีการก่อสร้างต่อเติมอาคารบริเวณนี้อยู่มากพอสมควร อาจจะเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต ส่วนใครอยากจะส่งโปสการ์ดกลับไทย ค่าเเสตมป์ 15 รูปีค่ะ ส่งประมาณ 2 สัปดาห์ก็ถึงไทยเเล้ว
สิ่งที่ประทับใจอย่างนึงของการมาเยือนที่นี่ก็คือ ผู้คนเป็นมิตร ใจดี เเต่ จขกท ก็สงสัยอย่างนึงว่าทำไมไม่ค่อยเห็นผู้หญิงที่นี่ออกมาทำงานนอกบ้าน งานบริการต่างๆ ทั้งขายอาหาร ขับรถ ก็จะเป็นผู้ชายทำทั้งหมด ใครรู้ช่วยบอกทีนะคะ^^
วันนี้เรานัดกับเจ้าของเกสเฮ้าเคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ กันคืนนี้ เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกไปสนามบินกันเเต่เช้า ซึ่งระหว่างที่กำลังเคลียร์ค่าใช้จ่ายกันอยู่ เจ้าของเกสเฮ้าก็พูดกับพวกเราว่า เค้าขอให้เราให้ทิปกับพนักงานของเขาด้วย เพราะว่าเด็กพวกนี้น่าสงสารมาก มาจากชนบทเพื่อมาทำงานที่เลห์ ถ้าไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวเด็กพวกนี้ก็จะไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเองเเละครอบครัวเลย ซึ่งเรากับเพื่อนที่ไปด้วยกันก็คิดกันตั้งเเต่ต้นเเล้วว่าจะให้ทิป เพราะว่าเค้าช่วยเหลือเราดีมากๆ เราจึงบอกกับเจ้าของเกสเฮ้าว่าไม่มีปัญหาค่ะ เราจะให้ทิปพนักงานของเค้าเเน่นอน ลืมบอกว่าวันที่ 5, 7,8 เเละ 9 พวกเราพักที่ Siala Guesthouse ค่ะ ซึ่งราคาถูกกว่า New Royal Guesthouse ประมาณครึ่งนึงเลย เเต่สภาพที่พัก รวมทั้งเครื่องทำน้ำอุ่น ความคิดส่วนตัว จขกท คิดว่า Siala Guesthouse ดีกว่าค่ะ เพราะเครื่องทำน้ำอุ่นไม่งอเเงเลยเเม้เเต่วันเดียว ที่พูดเเบบนี้เนื่องจากวันที่ จขกท พักที่ New Royal Guesthouse พอถึงคิว จขกท อาบน้ำทีไร เครื่องทำน้ำอุ่นก็จะใช้งานไม่ได้ทุกรอบเลย สรุปต้องอาบน้ำเย็น ซึ่งมันเย็นมากๆ เพราะเรามากันช่วงเดือนต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งอากาศยังหนาวอยู่พอสมควรเลย ส่วนเรื่องอินเตอร์เนตที่พักเกือบทุกที่ก็จะบอกว่าตัวเองมีอินเตอร์เนตไวไฟใช่ไหมคะ เเต่ความเป็นจริงเเล้วพวกเรามากัน 10 วัน เราเเทบจะเข้าอินเตอร์เนตไม่ได้เลย อาจจะเป็นเพราะว่าระบบยังไม่เสถียร ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ดินเเดน Slow life ของกระทู้นี้ค่ะ ดังนั้นถ้าใครจะไปท่องเที่ยวที่เลห์ เเนะนำให้พกหนังสือไปซักเล่ม รับรองว่าอ่านจบเเน่นอนค่ะ
วันสุดท้าย: เราออกจากที่พักตั้งเเต่เช้า โดยเมื่อคืนเราได้ขอให้เจ้าของเกสเฮ้าโทรนัดเเทกซี่ให้มารับเราตั้งเเต่เช้าด้วย ค่าเเทกซี่ก็ประมาณ 250 รูปี เมื่อมาถึงสนามบินเราก็ต้องเเสกนกระเป๋า หลังเเสกนอย่าลืมสังเกตเเทกเครื่องหมายที่เเสดงว่าผ่านการเเสกนเเล้วด้วยนะคะ ไม่อย่างงั้นตอนเชคอิน จะโดนพนักงานไล่มาเเสกนใหม่อีกรอบ หลังจากเชคอินเรียบร้อยเเล้วพนักงานก็จะบอกว่าก่อนกระเป๋าจะโหลดลงเครื่องให้เราไปตรวจนับกระเป๋าของเราเพื่อยืนยันอีกครั้งนึงค่ะ ดังนั้นอย่าลืมเงี้ยหูฟังประกาศด้วยนะคะ