คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ
เท่าที่อ่านๆดู บ้านหลัง 1-2 ผูกค้ำประกันไว้ยอดหน้ 80% ของ 13 ล้าน ก็น่าจะประมาณ 10 ล้านบาทความเป็นไปได้ของการดึงออกมาผมมองจากเท่าที่เล่ามาต้องขอบอกว่าเป็นไปได้ยากทีเดียวเลย ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่ารายได้ที่คุณบอกคือ 30,000 ต่อเดือนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆหมดแล้ว คุณยังต้องผ่อนต่อกันอีกเป็น 10 ปีเลยครับถ้าจ่ายธนาคารแรกเดือนละ 30,000 ซึ่งคุณคงจะทราบอยู่แล้วเรื่องนี้ ทางแก้ปัญหาทำอย่างไรดี ถ้าพูดเหมือนทั่วๆไปคือ หาวิธีเพิ่มยอดขายให้ได้มากกว่าที่เป็นอยุ่อย่างน้อยอีกเท่าตัวเลยทีเดียว มีวิธีและความเป็นไปได้มั๊ยคุณคงต้องคิดและหาหนทางให้มากกว่าเดิม หลักการตลาด-การขาย สำคัญมากๆครับต้องใส่ใจกับสิ่งนี้ให้ดีๆ การลดค่าใช้จ่ายก็เป็นส่วนสำคัญซึ่งคุณก็คงรู้ว่าควรต้องตัดรายจ่ายอย่างไรบ้าง ควรทำบัญชีรายรับ-จ่าย ให้คุณพ่อคุณแม่ดูเผื่อเค้าไม่เคยมองเรื่องแบบนี้จะได้รับรู้ปัญหาส่วนนี้ด้วยเพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน การหาสินค้าใหม่มาเสริมก็เป็นสิ่งสำคัญถ้ายังคิดว่าจะทำธุรกิจอยุ่เพราะถ้าสินค้าตัวเดิมมันไม่กระเตื้องก็ต้องสร้างช่องทางการขายใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางนึง และสินค้าใหม่ควรเป็นสินค้าที่สามารถขายออนไลน์ได้โดยไม่ต้องมีหน้าร้านเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย แต่การเพิ่มสินค้าใหม่จะเป็นการสร้างภาระใหม่รึเปล่าคุณและทางบ้านต้องเป็นคนประเมินและรับความเสี่ยงส่วนนี้เพิ่ม คิดให้ดีๆและตัดสินใจครับ
ทางที่2 ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อไปโปะบ้านหลังแรก อย่างเช่นบ้านหลังที่2 ของคุณถ้าสามารถขายต่อคนอื่นได้ในราคา 5 ล้าน คุณจะสามารถลดหนี้ได้อีกพอสมควร แต่หนี้ก็ยังไม่หมดอยู่ดี
ปล. ผมให้ข้อคิดอีกอย่างนะครับ ธุรกิจจะไปต่อได้หรือจะไปต่อไม่ไหวคุณต้องกล้าประเมินและกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่มันเด็ดขาดนะครับ เพราะถ้าไปต่อไม่ไหวสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทรัพย์สินถุกยึด คุณอาจจะต้องใช้หนี้อีกมโหฬารเลยก็ได้ อย่าทำใจเย็นเหมือนที่ผ่านมานะครับ ตัวอย่างก็มาจากประสพการณ์โดยตรงของทางบ้านคุณเอง
เท่าที่อ่านๆดู บ้านหลัง 1-2 ผูกค้ำประกันไว้ยอดหน้ 80% ของ 13 ล้าน ก็น่าจะประมาณ 10 ล้านบาทความเป็นไปได้ของการดึงออกมาผมมองจากเท่าที่เล่ามาต้องขอบอกว่าเป็นไปได้ยากทีเดียวเลย ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่ารายได้ที่คุณบอกคือ 30,000 ต่อเดือนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆหมดแล้ว คุณยังต้องผ่อนต่อกันอีกเป็น 10 ปีเลยครับถ้าจ่ายธนาคารแรกเดือนละ 30,000 ซึ่งคุณคงจะทราบอยู่แล้วเรื่องนี้ ทางแก้ปัญหาทำอย่างไรดี ถ้าพูดเหมือนทั่วๆไปคือ หาวิธีเพิ่มยอดขายให้ได้มากกว่าที่เป็นอยุ่อย่างน้อยอีกเท่าตัวเลยทีเดียว มีวิธีและความเป็นไปได้มั๊ยคุณคงต้องคิดและหาหนทางให้มากกว่าเดิม หลักการตลาด-การขาย สำคัญมากๆครับต้องใส่ใจกับสิ่งนี้ให้ดีๆ การลดค่าใช้จ่ายก็เป็นส่วนสำคัญซึ่งคุณก็คงรู้ว่าควรต้องตัดรายจ่ายอย่างไรบ้าง ควรทำบัญชีรายรับ-จ่าย ให้คุณพ่อคุณแม่ดูเผื่อเค้าไม่เคยมองเรื่องแบบนี้จะได้รับรู้ปัญหาส่วนนี้ด้วยเพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน การหาสินค้าใหม่มาเสริมก็เป็นสิ่งสำคัญถ้ายังคิดว่าจะทำธุรกิจอยุ่เพราะถ้าสินค้าตัวเดิมมันไม่กระเตื้องก็ต้องสร้างช่องทางการขายใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางนึง และสินค้าใหม่ควรเป็นสินค้าที่สามารถขายออนไลน์ได้โดยไม่ต้องมีหน้าร้านเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย แต่การเพิ่มสินค้าใหม่จะเป็นการสร้างภาระใหม่รึเปล่าคุณและทางบ้านต้องเป็นคนประเมินและรับความเสี่ยงส่วนนี้เพิ่ม คิดให้ดีๆและตัดสินใจครับ
ทางที่2 ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อไปโปะบ้านหลังแรก อย่างเช่นบ้านหลังที่2 ของคุณถ้าสามารถขายต่อคนอื่นได้ในราคา 5 ล้าน คุณจะสามารถลดหนี้ได้อีกพอสมควร แต่หนี้ก็ยังไม่หมดอยู่ดี
ปล. ผมให้ข้อคิดอีกอย่างนะครับ ธุรกิจจะไปต่อได้หรือจะไปต่อไม่ไหวคุณต้องกล้าประเมินและกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่มันเด็ดขาดนะครับ เพราะถ้าไปต่อไม่ไหวสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทรัพย์สินถุกยึด คุณอาจจะต้องใช้หนี้อีกมโหฬารเลยก็ได้ อย่าทำใจเย็นเหมือนที่ผ่านมานะครับ ตัวอย่างก็มาจากประสพการณ์โดยตรงของทางบ้านคุณเอง
แสดงความคิดเห็น
ช่วยหน่อยครับ อยากจะล้มละลาย พอมีทางออกไหนบ้างครับ
ที่บ้านทำธุรกิจ SME ครับ บริหารเงินไม่เป็น ปล่อยเป็นหนี้ ไม่เคยดูรายรับรายจ่าย แต่งบัญชีให้ตัวเลขสวยๆ ไปวันๆ ไม่เคยดูเลยว่าขาดทุนเท่าไหร่ กู้เพิ่มเรื่อยๆ เอาหนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่า แล้วก็ใช้ชีวิตแฮปปี้ จนท้ายสุดท้ายหนี้รวมๆทุกธนาคาร มาตัน พร้อมดอก ประมาณ 13 ล้าน
ปัจจุบันที่บ้านมีบ้าน 4 หลัง บ้านที่เป็นมรดกจากปู่ย่าตายาย 1 หลัง ประมาณ 5 ล้าน
บ้านหลังที่ 2 ประมาณ 3 ล้าน ถูกผูกอยู่ธนาคารเดียวกัน (บ้านหลัง 1-2 ผ่อนหมดแล้วครับแต่ติดเงินกู้ ผ่อนหมดก็ไม่ไปเอาออก ปล่อยฝากไว้กับแบ้ง พอตอนไปเอาออกสุดท้ายก็ช็อค เพราะถูกเอาไปค้ำประกัน สงสัยไม่ได้อ่านสัญญาให้ดีครับ)
บ้านหลังที่ 3 คนละธนาคาร
บ้านหลังที่ 4 คนละธนาคาร ที่ตจว. ซื้อมาทำเป็นร้านสาขา2 สุดท้ายก็ล่มไม่เป็นท่า
รถยนต์ 2 คัน ผ่อนหมดแล้ว 1 คัน อีกคันไม่รู้ผ่อนหมดรึยังผมไม่ได้ใส่ใจ แต่เดาว่าหมดแล้ว (รถยุโรปทั้งสองคันครับ อยู่แบบไฮโซ แต่เอาหนี้มาซื้อนะครับ)
เรื่องจริงครับ แล้วก็ค่อนข้างเครียดทีเดียวครับ
ธนาคารไม่ฟ้องล้มครับ เพราะธนาคารที่ 1 หนี้ประมาณ 80%
ที่เหลือธนาคารย่อยๆ เขาเลยไม่ฟ้องเพราะเขาเสียประโยชน์ครับ แต่จะยึดทรัพย์แทน
ต้องฟ้องล้มละลายตัวเอง
ผมไม่ยึดติดอะไร อยากจะให้ล้มไปจบๆ ไปเริ่มใหม่นับ 0 ใหม่อยู่บ้านเช่าก็ได้ จะได้ไม่ต้องเครียด
แต่ติดตรงทางบ้าน (ที่เป็นคนทำธุรกิจเนี่ยแหละ) เป็นคนที่ยึดที่พึ่งในจิตใจ ความทรงจำ มรดก ก็ประมาณว่าเป็นคนแบบนั้น เลยอยากได้บ้านมรดกของตากับยายไว้ ผมควรหาทางออกอย่างไรดีครับ
จริงๆ ญาติรวย แต่ไม่ถูกกันโดยบุคคล คือญาติผมใจดีกับหลาน ส่งเสียค่าเทอมให้ผมจนเรียนจบปริญญาตรี ทางบ้านพยายามให้ผมที่เป็นลูกไปคุยให้ เผื่อหวังจะได้ความช่วยเหลือ แต่ผมไม่อยากรบกวน แล้วก็รู้สึกว่าเขาไม่น่าจะช่วยแน่นอน
ป.ล.ผมเรียนจบมาทำงานประจำอยู่ครับ
ธุรกิจปัจจุบันก็ยังทำอยู่ครับ ผมก็ทำงานประจำ + ช่วยดูทางบ้านไปด้วย ไม่ให้ขาดทุนมากกว่านี้ คือผมก็ไม่ว่างไปดูธุรกิจเลยโดยตรง เพราะคำนวณแล้ว รายได้น้อยกว่าเงินเดือนอีก ยิ่งถ้ามีผมไปเป็นส่วนหารรายได้เพิ่มคงล่ม แต่จะผลักดันธุรกิจต่อยังไงก็ไม่ไปครับ แค่พออยู่ได้ คือได้กำไร เดือนละ 30,000 แต่ครอบครัวทำกันสองคน ก็ตกเหลือใช้คนละ 15,000 แต่หนี้ขนาดนี้ ดอกขนาดนี้ จะไปเหลืออะไร
ผมไปทำบัญชี+ลงขายออนไลน์ให้เอง ไม่งั้นก็เจ๊งไปนานแล้ว รายได้หลักมาจากออนไลน์ซะส่วนใหญ่ 65% ส่วนแบ่งจากกำไรทั้งหมด แต่ทางบ้านยังต้องการมีหน้าร้าน(ร้านอยู่ในห้าง ค่าเช่าแพง) ซึ่งผมคำนวณทางเลือกแล้วยังไงก็ยังต้องมีหน้าร้าน เพราะขายออนไลน์อย่างเดียวยังไม่แน่นอนพอ เพราะผมยังให้ลูกค้ามาซื้อที่ร้านอยู่ (ไม่ได้ออนไลน์โดยตรง แค่โปรโมต แต่ถ้าไม่โปรโมตผ่านเน็ตก็ขายไม่ได้เลย) คือสินค้ามันราคาแพง ตัวนึงก็ 2x,xxx ขายออนไลน์ถ้าเครดิตไม่ดีพอ ผมก็ไม่กล้าเสี่ยงปิดร้าน ต่อให้ล้มละลายเปลี่ยนชื่อเจ้าของร้านบลาๆ เปลี่ยนทุกอย่าง (บ้านโดนยึดหมดก็ไม่เป็นไร) รายได้แค่นี้มันแค่พออยู่ได้ไงครับ และไม่แน่นอนว่าอนาคต มันจะได้คงรายได้นี้ต่อไปหรือเปล่า ผมพยายามผลักดันให้ไปไกลกว่านี้ แต่ก็แทบไม่เรียนรู้ ไม่รับรู้อะไรเพิ่มเติม (แก่แล้ว) และชอบมีข้ออ้างว่า ใช้เวลาทั้งหมดไปเจรจากับแบ้งค์ ทำนู่นทำนี่เยอะแยะ ผมนี่เหนื่อย และก็ท้อเลย งานประจำก็ทำ ธุรกิจก็ต้องช่วยดู
แถมผมก็อยากจะทำธุรกิจของตัวเองอีก แต่เงินก้อนก็ยังไม่มี ใจที่จะเป็นพนักงานประจำต่อไปก็แทบไม่มี แทบไม่ได้ค้นคว้าพัฒนาตัวเองในวิชาสายอาชีพที่ตนทำงาน รู้สึกเริ่มเคว้ง น้ำตาจะไหล
ป.ล. 2 ทางบ้านที่ทำธุรกิจคือบิดา มารดาของผมเองครับ รบกวนอย่าด่ามากนะครับ
สรุป
ผมควรทำอย่างไรดีครับ ?
จริงๆผมไม่ห่วงอะไรเลยครับ แต่อยากจะเรียนถาม ถ้าล้มละลาย พอจะมีทางไหนเอาบ้านมรดกออกได้ไหม ให้แม่ได้ตายตาหลับหน่อยครับ รถคันแรกยังไม่ยอมขายเลย เก่าจะตายอยู่แล้ว ยึดติดของคุณค่าทางใจจริงๆ ถึงแม้ว่าผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องขนาดนั้น แต่ผมก็สงสารครับ
ถ้าใครมีช่องทางอื่นอยากนำเสนอ บอกมาได้เลยครับ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น โฟกัสแค่บ้านมรดกบ้านเดียวครับ ที่เหลือพร้อมล้มพร้อมให้ยึดครับ
แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงเป็นสถานะเหมือนก่อนที่ผมมาตั้งกระทู้นี้ครับ คือโดนยึดทุกอย่าง
ความหวังสุดท้าย คือคำตอบทางแก้ปัญหาของเพื่อนๆทุกคน เพราะผมมืดแปดด้านแล้ว นี่ทุกวันนี้ก็บอกให้แม่ล้มๆไปเถอะอยู่ แต่แม่ไม่ยอมพยายามดิ้นรนครับ ผมก็พยายามหาทางช่วยอีกที ขอบคุณครับ
สุดท้ายทั้งชีวิตก็คือหนี้ก้อนนึงครับ... ไม่ใช่เงินที่ได้จากการขายของ นำมาซื้อของใช้ แต่เป็นเงินที่ได้จากธนาคาร เอามาซื้อของใช้ชีวิตประจำวันครับ