ท่านหลับมานานแล้ว..... ตื่นเถอ......

การโพสต์เรื่องศาสนาของผม มันอาจจะขัดใจใครบางคน แม้แต่คนใกล้ชิดผม ที่มีทิฏฐิและความเชื่อไม่ตรงกับผม แต่วันนี้ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ การโพสต์อาจจะมีคำพูด ที่บางครั้งอาจจะมีคำว่าโง่ คำที่ผู้อ่าน อ่านแล้วเหมือนไปดูถูกเหยียดหยามคนที่เชื่อต่างจากผม แต่ผมไม่ได้มีจิตเจตนาแบบนั้น แต่แน่นอนการบอกว่า อันไหนผิด อันไหนถูก เราก็ควรจะต้องยืนยัน ไม่ใช่ไปบอกว่า แบบไหนก็ได้ถูกหมด เพราะเราเกรงใจคนอ่านเลยไม่กล้าฟันธงว่าอะไรคือผิด อะไรคือถูก แต่วันนี้มันจำเป็นที่ผมจะต้องหยิบ "ขวาน" เพื่อมาผ่าฟืน แบบ "ขวานผ่าซาก" แบบไม่เกรงใจใคร ไม่สนใจว่าจะได้มิตรหรือได้ศรัตรู ใครเห็นแย้งก็เมนต์ได้นะครับ ผมยินดีดื่มคำตำหนิ หรือความเห็นแย้งนั้น

#1 หลักการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธเบื้องต้น ที่แท้จริง(Beginner)
..........เกิดมาผมก็รู้จักคำว่าทำบุญแล้ว คำว่าทำบุญก็คือเอาเงินไปให้พระให้วัด ผมรู้จักมาแบบนี้ แล้วก็ไปบวชเป็นพระเพื่อได้บุญ ได้บุญแล้วชาติหน้าเราจะได้เกิดมารวยๆ สบายๆ (ตอนนั้น ลืมถามพระไปว่าเอาแบบทำได้ชาตินี้มีไหม) ก็มีคนมาบอกบุญเยอะเลย ทั้งซองกฐินผ้าป่า ขึ้นบ้านใหม่ก็ใส่ซองถวายพระ งานบวชก็ใส่ซอง มีถามกันอีก "แกใส่เท่าไร?" ฉันใส่ 500 ใส่ 1000 ก็ว่ากันไป จริงๆ มีเกทับกัน คือใครใส่มากกว่า คนนั้นได้บุญมากกว่า โดยเฉพาะคนที่รวยมีเงินทำบุญ  มันก็ใส่ได้เยอะ ไอ้คนที่จนก็เลยนั่งงึด ป๊าดคือจะได้บุญหลาย เนาะ อิจฉา เด้! ทำยังไงจะได้บุญแบบคนรวยๆ บ้าง พระเหมือนรู้ความในใจ หยิบไมค์ ขึ้นมาได้ ก็พูดเลย "ทำบุญ กันเยอะๆ น๊ะโยมชาติหน้าจะได้รวยๆ เหมือนเขา" เท่านั้นแหละ ไอ้คนจน ที่มีเงินน้อยอยู่แล้วก็กัดฟัน ยอมเอาเงินไปทำบุญ มีเท่าไรก็ทุ่มสุดตัว หวังว่าชาติหน้า เกิดมาจะได้สบายๆ แต่ชาตินี้ไม่มีจะ-ชั่งมัน (คนฉลาดต้องมองข้ามช็อต) จริงๆ ไปมองคนรวยทำไม มันติดหนี้ติดสิน ไปกู้เงินธนาคารมาลงทุนไม่รู้เท่าไร ก็ไม่มีใครรู้กับมัน ตอนกลางคืนมันนอนก่ายหน้าผากก็ไม่มีใครรู้กับ มัน สรุปคือ โง่ทั้ง คนรวยคนจน ที่ทำบุญแบบนี้ (อ่านแล้วกระแทกใจไหม ที่ผมใช้คำว่าโง่ นี่คือเจตนาของบทความตอน 1)

#2 หลักการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธเบื้องต้น ที่แท้จริง(Beginner)
............คนส่วนใหญ่ในศาสนาพุทธเมืองไทย จึงเชื่อว่า บุญ กับโชคลาภ มันอันเดียวกัน นี่แหละคือ ความเชื่อ ที่ วิบัติวิปริต ของศาสนาพุทธในเมืองไทย มันบิดเบือนกันตั้งแต่ความหมายของคำว่าบุญแล้ว ก็เพราะความเข้าใจผิดนี่แหละมันเป็น รากเหง้าของการปฏิบัติที่หลงทาง การเริ่มที่ไม่ถูกทาง มันเข้าใจผิดตั้งแต่เริ่ม พระพุทธเจ้าท่านถึงวางข้อแรก ใน "มรรค 8" คือข้อ "สัมมาทิฏฐิ" แปลว่า "ความเห็นชอบ" ทุกคนท่องมรรค 8 ข้อแรก ก็พูดเสียงเดียวกันเลย "ข้อนี้ กูทำได้แล้ว ทุกวันนี้ก็เห็นชอบแล้ว " คือแปลแบบตื้นๆ ท่านวางข้อ สัมมาทิฏฐิ ไว้เป็นข้อแรกนั้น ก็เหมือนเรา จะเข้าไปเรียนอะไรสักอย่าง เราต้องไปปฐมนิเทศก่อน เพื่อจะได้เข้าใจให้ถูกก่อน แล้วค่อยลงมือปฏิบัติ เพราะท่านกลัวว่า ผู้ศึกษา จะ มิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมันก็จริงๆ ท่านก็อุตส่าห์ บัญญัติ กาลมสูตร 10 เอาไว้ ก็เพื่อไม่ให้ งมงาย หลงเชื่ออะไร ง่ายๆ ท่านคงรู้ว่า เดี๋ยวจะมี พระสงฆ์สาวกปลอม ในศาสนาพุทธ แบบเณรคำ แบบ ธัมมี่ แบบยันตระ แบบ อีกหลายรูป ทั้งเจ้าคณะ ทุกระดับ ยันตั้งแต่ พระผู้ใหญ่ ถึงพระลูกวัด ทั้งเสพยา ดูหนังโป๊ โกงเงินวัด สาระพัดสาระเพ แต่ญาติโยมก็ยังดันทะลึ่งไปกราบพวกนี้ เพราะไม่กล้าตำหนิ พระเพราะกลัวบาป กลัวบุญที่อุตส่าห์ทำไว้ หาย
....หมายเหตุ...................................กาลมสูตร 10 คือ
1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

#3 หลักการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธเบื้องต้น ที่แท้จริง
........ หัวใจของการปฏิบัติของศาสนาพุทธ คือทางแห่ง มรรค 8 ท่านบอกว่า มีทางเดียวทางอื่นไม่มี แล้ว พระทุกวันนี้สอนกันแบบไหน สอนอะไร? สอนนั่งสมาธิ เพื่อจะได้ "หมดกรรม" "เจ้ากรรมนายเวรจะได้อโหสิกรรมให้" "แล้วก็เอาเงินทำบุญมากๆนะโยม บุญกุศลนี้เกิดชาติหน้าฉันใดจะได้รวยๆ สบายๆกับเขา ตายไปก็จะมีสวรรค์เป็นเครื่องอยู่อาศัยใน ปรภพ นะโยม " ธัมมี่ ถึงกับจัดสรรสวรรค์ขายเลย มีผ่อนมีดาวน์บ้านในสวรรค์ อีกต่างหาก สงสัยไอ้คนที่ติดคุกอยู่ตอนนี้ คงจะเป็นเจ้าของโครงการ ดันไปเอาเงินสหกรณ์มาลงทุน ตอนนี้ซวยไปจนถึง ประธานบริษัท ต้องนอนขาบวมหนีคดี ไม่กล้าไปมอบตัว
.........ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "บุญ" ในศาสนาพุทธ มันเลยทำให้วิบัติ วิบัติทั้งคนขายบุญ วิบัติทั้งคนทำบุญ บางคนมองว่าทำบุญผิดไม่เป็นไร เราได้ทำไปแล้ว เวรกรรมของเรา พระที่ต้มเอาไปแล้ว เราได้บุญไปแล้ว นี่ก็พูดแบบไม่เข้าใจ การทำ "บุญ" แบบนี้มันจะไม่ได้ บุญ เลย เพราะมันได้แต่ความวิบัติ คุณก็จะหลงบุญ แบบนี้ไปอีกนานแสนนานเลย กลายเป็น โมฆะบุรุษ แล้วการทำบุณแบบนี้ ก็เป็นผู้ร่วมทำให้ศาสนาเสื่อมถอยลง ก็เพราะเงินที่เราทำ บุญแบบนี้ แหละ มันดึงดูด พวกเปรต พวก อสูรกาย มาปลอมเป็น พระ ทำให้ ศรัทราในศาสนา พลอยวิบัติไปด้วย
...............................................................
หมายเหตุ เรื่อง มรรค 8....ท่านตรัสไว้ชัดเจน ใครปฏิบัติ มรรค 8 ได้ผู้นั้นก็คือ โสดาบัน แล้วทุกวันนี้ พระสอนอะไรกัน อย่ามาเหมาว่า นั่งสมาธิหลับตา ว่าคือ มรรค 8............มันผิดทาง

อ้างอิง.........................................
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
ข้อที่...............
  [๑๔๓๒] ดูกรสารีบุตร ที่เรียกว่า โสดาบันๆ ดังนี้ โสดาบันเป็นไฉน?
             สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ใดประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ ผู้นี้เรียกว่า พระโสดาบัน ท่านผู้นี้นั้น มีนามอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้.
             [๑๔๓๓] พ. ถูกละๆ สารีบุตร ผู้ซึ่งประกอบด้วยอริยมรรค ๘ นี้ เรียกว่า โสดาบัน ท่านผู้นี้นั้น มีนามอย่างนี้.

#4 หลักการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธเบื้องต้น ที่แท้จริง
..............."บุญ" กับ "ความรวย"   มันไม่เกี่ยวกัน มันคนละเรื่อง หากใครอยากรวย ก็ขยันทำงาน หัดเรียนรู้พัฒนาศักยภาพ ตนเอง ให้เหนือกว่าคนอื่น แล้วก็นำศักยภาพนี้ไปขาย หากมีศักยภาพมากมันก็รวยมาก หากมีศักยภาพน้อยมันก็รวยน้อย เช่น นักคิดค้น นักประดิษฐ์ มาร์ก ซัคเคอร์เบอร์ก เจ้าของเฟส บุ๊ค เจ้าของ กรูเกิล สตีฟจ๊อบ แห่ง แอบเปิ้ล หรือใครทำอาหารอร่อยๆ กว่าคนอื่นมันก็รวยได้ ร้องเพลงเพราะๆ ก็รวยได้ ฯลฯ คุณไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปทำบุญกับพระซักบาทก็รวยได้ แม้แต่มหาโจร มันปล้นเงิน โกงเงินคนอื่นมันก็รวยได้ แต่รวยแล้วหาที่อยู่ไม่ได้นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เหมือนทักษิณ ตอนนี้ แล้วก็อีกหลายคนพึ่งติดคุกไปนี่ก็หลายคน พวกนี้รวยทั้งนั้น แล้วมันก็คิดว่าเอาเงินไปทำบุญเพื่อไม่ต้องรับโทษ เฮอะๆๆๆๆ โง่บัดซบ มันได้ไหมละ นี่อีกคน กำลังนอนขาบวม(เห็นว่างั้น) หนีคดี ไม่กล้ามอบตัว
.......แต่ศักยภาพอย่างเดียวก็ยังไม่พอที่จะรวย คุณจะต้องมี กาลเวลาที่เหมาะสมด้วย(กาลเวลาที่ดวงดี) กาลเวลาที่เหมาะสม มันเป็นสิ่งที่มีมาแต่ละบุคคล มันพูดยากว่าคืออะไร มหาโจรมันก็มีกาลที่เหมาะสม คนเบียดเบียนคนอื่นมันก็มี คนไม่มีศาสนาเขาก็มี แต่ในศาสนาพุทธบ้านเรา เชื่อว่า เอาเงินไปให้พระแล้วเราจะดวงดี มีกาลที่เหมาะสม ยังงั้นก็เชื่อไปก็แล้วกัน สำหรับผม ผมไม่เชื่อ ผมเชื่อแบบของผม คือ เราก็ทำงานของเราไปเรื่อยๆ เมื่อไรก็เมื่อนั้น เดี๋ยวกาลเวลาที่ดีมันก็มาถึงเอง ช่วงกาลที่ไม่เมาะสมเราก็อย่าไปสร้างหนี้สร้างสินให้มันมาบีบใจเราก็พอ...

#5 หลักการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธเบื้องต้น ที่แท้จริง
.........คนในศาสนาพุทธส่วนใหญ่ ปฏิบัติธรรมเพื่อรวย เพราะเชื่อว่าความรวยคือการพ้นทุกข์ มันจริงอยู่บางส่วน ทุกข์ที่เกิดจากเป็นหนี้ มันก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง หากคุณรวยแล้วมีเงินใช้หนี้ ทุกข์ที่เกิดจากหนี้มันก็หายไป ทุกข์ที่เกิดจากไม่มีเงินให้ลูกเรียนหนังสือ ทุกข์ที่เกิดจากไม่มีรถขับเหมือนเขา ทุกข์ที่เกิดจากไม่มีมือถือแพงๆ เหมือนเขา หากมีเงินแล้ว กูคงจะสบายเหมือนอยู่ในสวรรค์ อยากได้อะไรก็ได้ อยากซื้ออะไรก็ไดซื้อ ปัญหาคือ ศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนเพื่อให้รวยนี่ซิ ที่มันเป็นปัญหา เพราะทุกข์ในศาสนาพุทธ ท่านสอนทุกข์ ที่เกิดจากความอยาก ความต้องการ ความหลง และทุกข์จากการยึดถือ และก็สอนแก้ทุกข์แบบไม่ได้ใช้เงินในการแก้ปัญหา แต่ดันมี สงฆ์นอกรีต เอาศาสนาพุทธ มาบิดเบือน เอาคำสอนมาบิดเบือน ว่าการทำบุญในศาสนาพุทธ จะได้บุญทำให้รวยๆ แต่เอาเงินมาทำบุญกับวัด อาตมา น๊ะ จะได้บุญมาก คนแล้วคนเล่าที่ต้องเจอวิบากกรรม มันก็ยังไม่พากันเข็ด นี่อีกคนกำลังถูกล้อมจับ เลยเอานรกขังตัวเองไว้ คงคิดว่าเป็นสวรรค์ แต่รับรองช่วงนี้นั่งสมาธิ ไม่ใสๆๆ แน่ๆ คงจะเห็นแต่ คุกๆๆๆๆ แทน......

#6 หลักการปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธเบื้องต้น ที่แท้จริง
..............มันไปเอามาจากไหน ว่า นั่งสมาธิ แล้วจะทำให้ "รวย" มันศาสนาไหนสอน ศาสนาพุทธ เท่าที่ผม รีวิว ดูในพระไตรปิฏก ก็ไม่เห็นว่ามีหมวดไหน วรรคไหน พระสูตร ไหน ที่ท่านตรัสไว้
..............มันไปเอามาจากไหนว่า นั่งสมาธิ แล้วจะตัดกรรมตัดเวรได้ เจ้ากรรมนายเวรอโหสิให้ (เจ้ากรรมนายเวรมันคือพลังงานวิบากในวิญญาณธาตุของเรา มันไม่ใช่ผีตนไหนมาคอยแก้แค้นเรา) มันเป็นลัทธิความเชื่อไหน ในพระไตรปิฏก ผมก็ไม่เคยเห็น ไม่รู้ท่านตรัสไว้ใน วรรคไหน หมวดไหน พระสูตรไหน พวกที่เป็นอาจารย์ความเชื่อ แบบนี้ช่วยค้นมาให้ที ว่าท่านตรัสไว้
.............. การนั่งสมาธิ คือการปฏิบัติ อานาปานสติ เพื่อ "พิจารณากายในกายเท่านั้น" เป็นหัวข้อแรกในสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น ท่านให้ทำเพื่อฝึกสติ เป็นเสี้ยวหนึ่งใน 4 เสี้ยวของการฝึกสติ เป็นการปฏิบัติ มรรค ข้อที่ 7 สัมมาสติ ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วย 4 แบบ คือ 1.ดูกายในกาย 2.ดูเวทนาในเวทนา 3.ดูจิตในจิต 4.ดูธรรมในธรรม รวมเรียกว่า สติปัฏฐาน 4 หรือสรุปแบบบ้านๆ คือดูจิตของเราทุกเวลานาที การ"ดูกายในกาย" ไม่ใช่เฉพาะนั่งสมาธิ การเดิน "จงกลม" ก็คือการดู "กายในกาย" หรือแม้กระทั่ง ขณะคุณตักข้าวเข้าปากก็ให้ตามดูอากัปกริยาของเราว่า เรายกมืออย่างไร พอเอาช้อนเข้าไปในปาก ความรู้สึกรสชาติอาหารเป็นอย่างไร หวาน ขม เปรี้ยว มัน ก็ดูอาการความรู้สึกไป แล้วมันรู้สึกเป็นอย่างไร ผะอืดพะอม หรือ หอมหวานน่ากิน ก็ตามดูไป นี่เรียกว่า ดูกายในกายอย่างหนึ่ง ไม่ใช่การนั่งสมาธิอย่างเดียว หรือไปนั่งใสๆ เห็นโน่นเห็นนี่ นั่นมันไปสร้างมโนมยอัตตา หรอกตัวเอง บางคนบอกหายตัวได้ เหาะได้ เสกขาให้ตัวเองบวมได้
.....................................................................
ความตอนหนึ่ง ใน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค

"ท่านผู้เจริญทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ นี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้
ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติแล้วเพื่อบรรลุกุศล ฯ"

คำถามคือ..... คุณตื่นหรือยัง????
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่