ผมใช้ตู้เย็น ELECTROLUX ขนาด 9 คิว รุ่น ETB2600PE เป็นตู้เย็นที่ทางโครงการฯให้มาพร้อมกับคอนโดฯที่หัวหิน จึงไม่ได้ใช้มากนักเพราะเป็นคอนโดพักผ่อนช่วงวันหยุด สอบถามทางคอนโดแล้วว่าซื้อมาตั้งแต่ ก.ย.56 ดังนั้นจะหมดประกันตามระยะ 2 ส่วน
1. ประกันอะไหล่ ค่าแรง 2 ปี หมดประกัน ก.ย.58
2.ประกันคอมเพรสเซอร์ 5 ปี หมดประกัน ก.ย.61
ผมขอลำดับเหตุการณดังนี้
12 มิ.ย.59 พบว่าตู้เย็นไม่เย็น มีแต่ลม ออกจากช่องฟรีซ
13 มิ.ย.59 แจ้งศูนย์บริการไป บอกว่าจะส่งช่างมาดู มีค่าแรงช่าง 642 บาท ถ้าอะไหล่อื่นเสียผมต้องจ่ายค่าอะไหล่เพิ่ม แต่ถ้าคอมเพรสเซอร์เสียไม่ต้องจ่าย ให้จ่ายแต่ค่าแรงช่าง ซึ่งผมก็โอเค
15 มิ.ย.59 ช่างนัดตรวจดู แต่บอกว่าต้องเพิ่มค่าเดินทางอีก 200 บาท เมื่อตรวจสอบแล้วช่างแจ้งว่าคอมเพรสเซอร์เสีย อุปกรณ์อย่างอื่นปกติ น้ำยาทำความเย็นยังเต็มไม่มีรั่ว จะต้องขนไปซ่อมโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 2,000 กว่าบาท (เป็นค่าแรง ค่าน้ำยา และอุปกรณ์พวกดรายเออร์) และต้องมีค่าขนส่งอีก !!!
ถึงจุดนี้ผมก็ปรี๊ดสิครับ เพราะค่อยๆเพิ่มค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ผมถามว่า 2,000 กว่าบาทคือเท่าไหร่กันแน่ ช่างก็ไม่สามารถตอบได้ บอกต้องไปถามหัวหน้าก่อน ??? ผมจึงขอโทรกลับไปศูนย์ฯ ทางศูนย์ก็แจ้งว่า ลูกค้าต้องจ่ายค่าแรง ค่าน้ำยาและอุปกรณ์อื่นเองทั้งหมด ทางศูนย์จะรับผิดชอบแต่ตัวคอมเพรสเซอร์เท่านั้น!!! ผมจึงขอคุยกับหัวหน้า แต่ทางศูนย์แจ้งว่าหัวหน้าไม่อยู่ ไว้จะให้ติดต่อกลับ
17 มิ.ย.59 ทางหัวหน้าช่างชื่อคุณกำพล วิเศษสังข์ โทรกลับมาคุยกับผม ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าผมต้องจ่ายเองทุกอย่างยกเว้นค่าคอมเพรสเซอร์ซึ่งยังอยู่ในระยะประกัน5ปี ผมได้ชี้แจงไปว่าส่วนค่าแรงผมยินดีจ่าย แต่ในส่วนค่าน้ำยาบริษัทควรรับผิดชอบ
เพราะที่ต้องเติมน้ำยาเกิดจากการที่ต้องเปลี่ยนตัวคอมเพรสเซอร์ที่เสีย ไม่ใช่ต้องเปลี่ยนน้ำยาเพราะระบบน้ำยาตู้เย็นของผมรั่ว ส่วนนี้จึงไม่ควรผลักภาระให้ลูกค้ารับผิดชอบ ทางคุณกำพลก็ยังพูดแบบเดิมครับ สุดท้ายผมว่างั้นผมขอเคลมแต่ตัวคอมเพรสเซอร์ตามที่บริษัทมีหน้าที่รับประกัน จะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกันเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าน้ำยา เพราะผมจะให้ช่างที่ผมไว้ใจติดตั้งเอง ก็ยังไม่ยอมครับ อ้างว่าเป็นมาตรฐานของบริษัท???
มาถึงจุดนี้ทำให้มุมมองของผมต่อบริษัทนี้เป็นดังนี้ครับ
1.คอมเพรสเซอร์ตู้เย็นของยี่ห้อนี้น่าจะมีปัญหาจริง เห็นหลายกระทู้พูดถึงอยู่
บริษัทจึงควรแสดงถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้า เก็บค่าใช้จ่ายตามสมควร ไม่ควรผลักภาระที่บริษัทควรรับผิดชอบไปให้ลูกค้า
2. ตู้เย็นราคา 10,500 บาท แต่จะต้องจ่ายค่าซ่อมคอมเพรสเซอร์ อย่างน้อย 3 พันกว่าบาท คิดเป็นเงินถึง 30% ของราคาตู้เย็นใหม่ (ทั้งที่ยังอยู่ในระยะรับประกัน และถ้าเกินระยะประกันต้องจ่ายถึงเท่าไหร่???) เรื่องนี่สมเหตุสมผลหรือไม่ ??? หรือว่านี่คือวิธีหารายได้ของบริษัทฯ โดยขายของคุณภาพไม่ดีแล้วมาหากินกับค่าบริการ ค่าอะไหล่ ตอนซ่อม เพราะอย่างไรเสียลูกค้าก็ต้องยอมเหมือนถูกมัดมือชก
3. วันนี้( 17 มิ.ย. 59) ผมจึงให้ช่างที่ผมไว้ใจมาตรวจดู(ช่างคนนี้นิสัยดีและไม่โขกฟันครับ ผมใช้บริการมาหลายปี) แจ้งว่าคอมเพรสเซอร์เสียจริง ค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่าง 3,800 บาท และยังแนะนำว่าให้ผมเคลมบริษัทฯได้เพราคอมเพรสเซอร์ยังอยู่ในระยะประกัน น่าจะถูกกว่า ???
4. ท่านใดจะซื้อตู้เย็นยี่ห้อนี้ไปใช้ก็ลองหาข้อมูลหลายๆที่ก่อนนะครับ ว่าคุ้มจะเสี่ยงหรือไม่ ส่วนตัวผมปัจจุบันใช้ตู้เย็นอยู่หลายตู้หลายยี่ห้อ ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เช่น Worldpool , Sanyo , Toshiba , Samsung แต่ละตู้นานเกิน 10 ปี ทั้งนั้น บอกได้คำเดียวครับ ไม่เคยต้องเซอร์วิสสักครั้งเดียว^^
ประสบการณ์จริงจากการใช้ตู้เย็น ELECTROLUX
1. ประกันอะไหล่ ค่าแรง 2 ปี หมดประกัน ก.ย.58
2.ประกันคอมเพรสเซอร์ 5 ปี หมดประกัน ก.ย.61
ผมขอลำดับเหตุการณดังนี้
12 มิ.ย.59 พบว่าตู้เย็นไม่เย็น มีแต่ลม ออกจากช่องฟรีซ
13 มิ.ย.59 แจ้งศูนย์บริการไป บอกว่าจะส่งช่างมาดู มีค่าแรงช่าง 642 บาท ถ้าอะไหล่อื่นเสียผมต้องจ่ายค่าอะไหล่เพิ่ม แต่ถ้าคอมเพรสเซอร์เสียไม่ต้องจ่าย ให้จ่ายแต่ค่าแรงช่าง ซึ่งผมก็โอเค
15 มิ.ย.59 ช่างนัดตรวจดู แต่บอกว่าต้องเพิ่มค่าเดินทางอีก 200 บาท เมื่อตรวจสอบแล้วช่างแจ้งว่าคอมเพรสเซอร์เสีย อุปกรณ์อย่างอื่นปกติ น้ำยาทำความเย็นยังเต็มไม่มีรั่ว จะต้องขนไปซ่อมโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 2,000 กว่าบาท (เป็นค่าแรง ค่าน้ำยา และอุปกรณ์พวกดรายเออร์) และต้องมีค่าขนส่งอีก !!!
ถึงจุดนี้ผมก็ปรี๊ดสิครับ เพราะค่อยๆเพิ่มค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ผมถามว่า 2,000 กว่าบาทคือเท่าไหร่กันแน่ ช่างก็ไม่สามารถตอบได้ บอกต้องไปถามหัวหน้าก่อน ??? ผมจึงขอโทรกลับไปศูนย์ฯ ทางศูนย์ก็แจ้งว่า ลูกค้าต้องจ่ายค่าแรง ค่าน้ำยาและอุปกรณ์อื่นเองทั้งหมด ทางศูนย์จะรับผิดชอบแต่ตัวคอมเพรสเซอร์เท่านั้น!!! ผมจึงขอคุยกับหัวหน้า แต่ทางศูนย์แจ้งว่าหัวหน้าไม่อยู่ ไว้จะให้ติดต่อกลับ
17 มิ.ย.59 ทางหัวหน้าช่างชื่อคุณกำพล วิเศษสังข์ โทรกลับมาคุยกับผม ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าผมต้องจ่ายเองทุกอย่างยกเว้นค่าคอมเพรสเซอร์ซึ่งยังอยู่ในระยะประกัน5ปี ผมได้ชี้แจงไปว่าส่วนค่าแรงผมยินดีจ่าย แต่ในส่วนค่าน้ำยาบริษัทควรรับผิดชอบเพราะที่ต้องเติมน้ำยาเกิดจากการที่ต้องเปลี่ยนตัวคอมเพรสเซอร์ที่เสีย ไม่ใช่ต้องเปลี่ยนน้ำยาเพราะระบบน้ำยาตู้เย็นของผมรั่ว ส่วนนี้จึงไม่ควรผลักภาระให้ลูกค้ารับผิดชอบ ทางคุณกำพลก็ยังพูดแบบเดิมครับ สุดท้ายผมว่างั้นผมขอเคลมแต่ตัวคอมเพรสเซอร์ตามที่บริษัทมีหน้าที่รับประกัน จะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกันเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าน้ำยา เพราะผมจะให้ช่างที่ผมไว้ใจติดตั้งเอง ก็ยังไม่ยอมครับ อ้างว่าเป็นมาตรฐานของบริษัท???
มาถึงจุดนี้ทำให้มุมมองของผมต่อบริษัทนี้เป็นดังนี้ครับ
1.คอมเพรสเซอร์ตู้เย็นของยี่ห้อนี้น่าจะมีปัญหาจริง เห็นหลายกระทู้พูดถึงอยู่ บริษัทจึงควรแสดงถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้า เก็บค่าใช้จ่ายตามสมควร ไม่ควรผลักภาระที่บริษัทควรรับผิดชอบไปให้ลูกค้า
2. ตู้เย็นราคา 10,500 บาท แต่จะต้องจ่ายค่าซ่อมคอมเพรสเซอร์ อย่างน้อย 3 พันกว่าบาท คิดเป็นเงินถึง 30% ของราคาตู้เย็นใหม่ (ทั้งที่ยังอยู่ในระยะรับประกัน และถ้าเกินระยะประกันต้องจ่ายถึงเท่าไหร่???) เรื่องนี่สมเหตุสมผลหรือไม่ ??? หรือว่านี่คือวิธีหารายได้ของบริษัทฯ โดยขายของคุณภาพไม่ดีแล้วมาหากินกับค่าบริการ ค่าอะไหล่ ตอนซ่อม เพราะอย่างไรเสียลูกค้าก็ต้องยอมเหมือนถูกมัดมือชก
3. วันนี้( 17 มิ.ย. 59) ผมจึงให้ช่างที่ผมไว้ใจมาตรวจดู(ช่างคนนี้นิสัยดีและไม่โขกฟันครับ ผมใช้บริการมาหลายปี) แจ้งว่าคอมเพรสเซอร์เสียจริง ค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่าง 3,800 บาท และยังแนะนำว่าให้ผมเคลมบริษัทฯได้เพราคอมเพรสเซอร์ยังอยู่ในระยะประกัน น่าจะถูกกว่า ???
4. ท่านใดจะซื้อตู้เย็นยี่ห้อนี้ไปใช้ก็ลองหาข้อมูลหลายๆที่ก่อนนะครับ ว่าคุ้มจะเสี่ยงหรือไม่ ส่วนตัวผมปัจจุบันใช้ตู้เย็นอยู่หลายตู้หลายยี่ห้อ ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เช่น Worldpool , Sanyo , Toshiba , Samsung แต่ละตู้นานเกิน 10 ปี ทั้งนั้น บอกได้คำเดียวครับ ไม่เคยต้องเซอร์วิสสักครั้งเดียว^^