ก็นะครับ ตอนนี้ผมก็เป็นครูแล้ว หนึ่งในปัญหาของผู้ปกครองที่มีการถามและกังวนมากที่สุดคือ การให้เด็กกินยา ที่มีผลต่อพฤติกรรม หลายคนสงสัยว่า เด็กพิเศษกินยาเข้าไปจะรู้สึกว่า กับตัวยาต่างๆ และคำถามที่ตามมาคือ ลูกกินยาแล้วจะรู้สึกอย่างไร เชาว์ก็อยากตั้งใจเขียนรีวิวความรู้สึกขึ้นมา เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจนะครับ
(รีวิวนี้ ผมใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นพื้นฐานเท่านั้น เด็กแต่ละคนอาจะมีความรู้สึกต่างๆกัน)
1. Methylphenidate (ritalin)
ยาตัวนี้ เป็นยาพื้นฐานของเด็กพิเศษเกือบทุกคน ที่เป็นสมาธิสั้นจะต้องกินกัน เชาว์เองก็เคยกินเหมือนกัน เป้าหมายยาตัวนี้ จะช่วยทำให้อยู่นิ่ง มีสมาธิมากขึ้น ความรู้สึกของเชาว์เวลากินยาตัวนี้ ตั้งแต่เริ่มซัก 15-20 นาที ตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวผมไม่อยากเคลื่อนไหวเลย มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อจริง ตอนนั้นที่กินช่วงประถม ก็นิ่ง เพื่อนชวนไปเล่นก็ไม่ค่อยอยากไปเล่น ผ่านไป 1 ชั่วโมง เวลาตอนเรียนก็แบบว่า การรับฟังของผมดีขึ้น สามารถทำงานได้เยอะขึ้น(บังคับทำ) แต่มีอาการเหม่นลอย ความคิดตอนที่กินยาตัวนี้ ผมคิดไปเรื่อย แต่ก็รู้สึกเบื่อมาก ทำอย่างโน้นก็น่าเบื่อ คือไม่อยากทำอะไรเลย และเหมือนตัวเองไม่มีแรงเคลื่อนไหว ไม่อยากคุยกับใคร ผมก็เล่นกับจินตนาการอยู่คนเดียว ในห้องเรียน สุดท้ายพอยาหมดเวลา ผมก็เป็นอย่างเดิม สรุปก็คือ การทำงานของยาตัวนี้ ทำให้ลดพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง แค่ช่วงระยะเวลานิ่งเท่านั้น จากนั้นก็เหมือนเดิม
จุดประสงค์ของใช้ยาตัวนี้ คือ ช่วยในการปรับพฤติกรม และเรียนรู้ให้ดีขึ้นกับตัวเด็ก ผู้ปกครองหลายคนตั้งเป้าหมายกับยาผิดกันพอสมควร จากที่เชาว์เจอมา บางคนใช้เพื่อที่จะไม่ต้องดูแลลูก ทำให้ตัวเองมีเวลาทำงานมากขึ้น บางคนใช้เป็นเครื่อมมือลงโทษเด็ก คือประมาณว่า วันไหนเด็กอยู่กับคนอื่น ก็ไม่ให้กิน แต่อยู่กับตนเอง ป่วน ก็บังคับให้ลูกกินยา หรือไม่ได้ดังใจตนเองก็ให้กินยา เด็กก็ไม่สามารถเล่นอิสระได้ เพราะตัวยาควบคุมไว้ ถ้าไม่เรียน ไม่ฝึก ปล่อยให้เค้าอยู่เฉย พัฒนาการจะถดถอย
2.sertraline
ยาตัวนี้ เป็นยากลุ่มต้านซึมเศร้า อย่างที่รู้ๆ ในเด็กออทิสติกของผม หรือคนอื่นที่เป็นออทิสติก จะมีอารมณ์มากกว่าคนอื่น ส่วนตัวผมก็ประมาณว่า ตัวผมเองชอบร้องไห้และเครียดบ่อยๆ หมอเค้าให้ลองยาตัวนี้ ผลของยาที่ผมกินนั้น ตอนกินแรกๆ มันปวดหัวมากและอาเจียนออกมา จากนั้น ผมก็กินมากเรื่อยๆ พบว่าตัวผมเอง หงุดงิดง่ายขึ้น มีอารมณ์มากขึ้น อารมณ์แบบว่า รู้สึกหงิดงิดตลอดเวลา ทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจ มีอาการกระวนกระวาย ซึ่งผิดไปจากเป้าหมายของยา ที่ช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้น เรียกว่าอาการแพ้ยาทางจิตเวช จะไม่เหมือนแพ้ยาทั่วไป ไม่ได้เกิดผลข้างเคียงตามที่คำนวณไว้ การแพ้ยาเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับยามากขึ้น หรือมีพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นจากผลของยา ทำให้ผู้ป่วยแย่ลง จำเป็นต้องสังเกต และตามผลอยู่ตลอด
คำแนะนำ ผู้ปกครองต้องสังเกตเด็กว่า ในการกินยานั้น เด็กมีพฤติกรรมที่ถดถอยไปจากผลของยาหรือไม่ ยาหลายๆชนิดมีเป้าหมาย แต่ถ้าผิดไปจากเป้าหมายก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ ที่สำคัญ ยาเหล่านี้ ผลลัพท์แสดงออกทางพฤติกรรม ซึ่งต้องใช้เวลาสังเกตหน่อยนะครับ
3.risperidone
ยาตัวนี้เป็นยาที่ลดอารมณ์ก้าวร้าว และลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สำหรับความรู้สึกของผม ตอนนั้นผมก็ยังกินยาตัวนี้อยู่ มีความรู้สึกว่า สมองของผมมันเหมือนกับหายไปเลย ในช่วงแรกกินยาไป สักประมาณ 1 ชั่วโมง มันเหมือนมีใครมาบีบสมองผม ผมรู้สึกอึดอัดมาก เจ็บมาก อยากจะผ่าสมองและมาเขย่าๆ ให้หาย คิดอะไรไม่ออกเลยละ จากนั้นตัวผมเองก็ง่วงนอน การรับรู้จากสิ่งแวดล้อมลดลงไปมาก และก็มึนหัว มีอาการเหม่อลอยมาก สร้างอารมณ์ไม่ได้เลยละผมเดินไปก็รู้สึกงงๆ กับตนเอง สมองของผมมันเหมือนกับหายไปเลย มันรู้ว่าในหัวมันกลวงมาก เชาว์กินยาตัวนี้ และร่วมกับยาตัวอื่น มันเพิ่มผลลัพท์เข้าอีก ทำให้คิดวนไม่ได้
โดยปกติ เด็กกลุ่มออทิสติกจะมีภาวะอารมณ์ที่คิดวน ซ้ำๆเยอะมาก เชาว์ในปัจจุบันก็เป็น แต่ก็พยายามทำใจ และสู้กับความบกพร่องนั้น ปัญหาคือ ยาตัวนี้เป็นยากินต่อเนื่ง สามารถลดอารมณ์หลายอย่างได้ อย่างที่บอก เชาว์กินแล้วเป็นแบบนี้ แต่คนอื่นกินอาจะไม่เป็นก็ได้ ผมเขียนแค่บอกความรู้สึกเฉยๆ เท่านั้นเอง
4.ยาอื่นๆ(จำชื่อยาไม่ได้)
ยาในกลุ่มจิตเวช บางตัวก็มีแบบว่า กินไปนานๆก็ส่งผลต่อร่างกาย เช่น ช่วงที่กินยาตัวนี้ เชาว์มีอาการ จับช้อนกาแฟแล้วสั่นมาก ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้เลยละ เวลากินอาหารก็มักจะหกเลอะเทอะ มากเลยละ คือมันสั่นพยา
อันนี้เป็นความรู้สึกจากที่เชาว์กินยาคนเดียว จุดประสงค์ของการใช้ยากับเด็กพิเศษนั้น ไม่ใช้เพื่อรักษาให้หาย เพียงแต่ยาเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้คุณแม่ สามารถปรับพฤติกรรมและส่งเสริมการเรียนรู้ได้ดีขึ้น ผู้ปกครองควรฝึกพัฒนาการต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น สอน ทำกิจกรรมการเรียนรู้ และปรับพฤติกรรมต่างๆให้ดีขึ้น ในมุมมองของเชาว์ การกินยานั้น ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ดีจนเกินไป อยากให้ลองศึกษาดู ลูกของเราพัฒนาแค่ไหนกับ ไม่ใช้ยาหรือใช้ยา สิ่งสำคัญที่เชาว์มักบอกเสมอว่า เราต้องดูแลเค้า สอนเค้าให้รู้จักความพยายาม อดทน ที่จะปรับพฤติกรรม ช่วยตัวเองให้ได้ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เค้าประสบความสำเร็จอย่างมั่นคง
รีวิว ความรู้สึกของผมที่รับประทานยา ที่ใช้ในกลุ่มเด็กพิเศษ ว่ารู้สึกอย่างไร
(รีวิวนี้ ผมใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นพื้นฐานเท่านั้น เด็กแต่ละคนอาจะมีความรู้สึกต่างๆกัน)
1. Methylphenidate (ritalin)
ยาตัวนี้ เป็นยาพื้นฐานของเด็กพิเศษเกือบทุกคน ที่เป็นสมาธิสั้นจะต้องกินกัน เชาว์เองก็เคยกินเหมือนกัน เป้าหมายยาตัวนี้ จะช่วยทำให้อยู่นิ่ง มีสมาธิมากขึ้น ความรู้สึกของเชาว์เวลากินยาตัวนี้ ตั้งแต่เริ่มซัก 15-20 นาที ตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวผมไม่อยากเคลื่อนไหวเลย มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อจริง ตอนนั้นที่กินช่วงประถม ก็นิ่ง เพื่อนชวนไปเล่นก็ไม่ค่อยอยากไปเล่น ผ่านไป 1 ชั่วโมง เวลาตอนเรียนก็แบบว่า การรับฟังของผมดีขึ้น สามารถทำงานได้เยอะขึ้น(บังคับทำ) แต่มีอาการเหม่นลอย ความคิดตอนที่กินยาตัวนี้ ผมคิดไปเรื่อย แต่ก็รู้สึกเบื่อมาก ทำอย่างโน้นก็น่าเบื่อ คือไม่อยากทำอะไรเลย และเหมือนตัวเองไม่มีแรงเคลื่อนไหว ไม่อยากคุยกับใคร ผมก็เล่นกับจินตนาการอยู่คนเดียว ในห้องเรียน สุดท้ายพอยาหมดเวลา ผมก็เป็นอย่างเดิม สรุปก็คือ การทำงานของยาตัวนี้ ทำให้ลดพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง แค่ช่วงระยะเวลานิ่งเท่านั้น จากนั้นก็เหมือนเดิม
จุดประสงค์ของใช้ยาตัวนี้ คือ ช่วยในการปรับพฤติกรม และเรียนรู้ให้ดีขึ้นกับตัวเด็ก ผู้ปกครองหลายคนตั้งเป้าหมายกับยาผิดกันพอสมควร จากที่เชาว์เจอมา บางคนใช้เพื่อที่จะไม่ต้องดูแลลูก ทำให้ตัวเองมีเวลาทำงานมากขึ้น บางคนใช้เป็นเครื่อมมือลงโทษเด็ก คือประมาณว่า วันไหนเด็กอยู่กับคนอื่น ก็ไม่ให้กิน แต่อยู่กับตนเอง ป่วน ก็บังคับให้ลูกกินยา หรือไม่ได้ดังใจตนเองก็ให้กินยา เด็กก็ไม่สามารถเล่นอิสระได้ เพราะตัวยาควบคุมไว้ ถ้าไม่เรียน ไม่ฝึก ปล่อยให้เค้าอยู่เฉย พัฒนาการจะถดถอย
2.sertraline
ยาตัวนี้ เป็นยากลุ่มต้านซึมเศร้า อย่างที่รู้ๆ ในเด็กออทิสติกของผม หรือคนอื่นที่เป็นออทิสติก จะมีอารมณ์มากกว่าคนอื่น ส่วนตัวผมก็ประมาณว่า ตัวผมเองชอบร้องไห้และเครียดบ่อยๆ หมอเค้าให้ลองยาตัวนี้ ผลของยาที่ผมกินนั้น ตอนกินแรกๆ มันปวดหัวมากและอาเจียนออกมา จากนั้น ผมก็กินมากเรื่อยๆ พบว่าตัวผมเอง หงุดงิดง่ายขึ้น มีอารมณ์มากขึ้น อารมณ์แบบว่า รู้สึกหงิดงิดตลอดเวลา ทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจ มีอาการกระวนกระวาย ซึ่งผิดไปจากเป้าหมายของยา ที่ช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้น เรียกว่าอาการแพ้ยาทางจิตเวช จะไม่เหมือนแพ้ยาทั่วไป ไม่ได้เกิดผลข้างเคียงตามที่คำนวณไว้ การแพ้ยาเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับยามากขึ้น หรือมีพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นจากผลของยา ทำให้ผู้ป่วยแย่ลง จำเป็นต้องสังเกต และตามผลอยู่ตลอด
คำแนะนำ ผู้ปกครองต้องสังเกตเด็กว่า ในการกินยานั้น เด็กมีพฤติกรรมที่ถดถอยไปจากผลของยาหรือไม่ ยาหลายๆชนิดมีเป้าหมาย แต่ถ้าผิดไปจากเป้าหมายก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ ที่สำคัญ ยาเหล่านี้ ผลลัพท์แสดงออกทางพฤติกรรม ซึ่งต้องใช้เวลาสังเกตหน่อยนะครับ
3.risperidone
ยาตัวนี้เป็นยาที่ลดอารมณ์ก้าวร้าว และลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สำหรับความรู้สึกของผม ตอนนั้นผมก็ยังกินยาตัวนี้อยู่ มีความรู้สึกว่า สมองของผมมันเหมือนกับหายไปเลย ในช่วงแรกกินยาไป สักประมาณ 1 ชั่วโมง มันเหมือนมีใครมาบีบสมองผม ผมรู้สึกอึดอัดมาก เจ็บมาก อยากจะผ่าสมองและมาเขย่าๆ ให้หาย คิดอะไรไม่ออกเลยละ จากนั้นตัวผมเองก็ง่วงนอน การรับรู้จากสิ่งแวดล้อมลดลงไปมาก และก็มึนหัว มีอาการเหม่อลอยมาก สร้างอารมณ์ไม่ได้เลยละผมเดินไปก็รู้สึกงงๆ กับตนเอง สมองของผมมันเหมือนกับหายไปเลย มันรู้ว่าในหัวมันกลวงมาก เชาว์กินยาตัวนี้ และร่วมกับยาตัวอื่น มันเพิ่มผลลัพท์เข้าอีก ทำให้คิดวนไม่ได้
โดยปกติ เด็กกลุ่มออทิสติกจะมีภาวะอารมณ์ที่คิดวน ซ้ำๆเยอะมาก เชาว์ในปัจจุบันก็เป็น แต่ก็พยายามทำใจ และสู้กับความบกพร่องนั้น ปัญหาคือ ยาตัวนี้เป็นยากินต่อเนื่ง สามารถลดอารมณ์หลายอย่างได้ อย่างที่บอก เชาว์กินแล้วเป็นแบบนี้ แต่คนอื่นกินอาจะไม่เป็นก็ได้ ผมเขียนแค่บอกความรู้สึกเฉยๆ เท่านั้นเอง
4.ยาอื่นๆ(จำชื่อยาไม่ได้)
ยาในกลุ่มจิตเวช บางตัวก็มีแบบว่า กินไปนานๆก็ส่งผลต่อร่างกาย เช่น ช่วงที่กินยาตัวนี้ เชาว์มีอาการ จับช้อนกาแฟแล้วสั่นมาก ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้เลยละ เวลากินอาหารก็มักจะหกเลอะเทอะ มากเลยละ คือมันสั่นพยา
อันนี้เป็นความรู้สึกจากที่เชาว์กินยาคนเดียว จุดประสงค์ของการใช้ยากับเด็กพิเศษนั้น ไม่ใช้เพื่อรักษาให้หาย เพียงแต่ยาเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้คุณแม่ สามารถปรับพฤติกรรมและส่งเสริมการเรียนรู้ได้ดีขึ้น ผู้ปกครองควรฝึกพัฒนาการต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น สอน ทำกิจกรรมการเรียนรู้ และปรับพฤติกรรมต่างๆให้ดีขึ้น ในมุมมองของเชาว์ การกินยานั้น ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ดีจนเกินไป อยากให้ลองศึกษาดู ลูกของเราพัฒนาแค่ไหนกับ ไม่ใช้ยาหรือใช้ยา สิ่งสำคัญที่เชาว์มักบอกเสมอว่า เราต้องดูแลเค้า สอนเค้าให้รู้จักความพยายาม อดทน ที่จะปรับพฤติกรรม ช่วยตัวเองให้ได้ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เค้าประสบความสำเร็จอย่างมั่นคง