กรณีนี้ผมมีความเห็นดังนี้
ความเงียบไม่ได้ทำให้คดีคืบหน้า ความเงียบไม่ได้ทำให้คนเป็นทนายไม่ถูกคุกคามเอาคืน
คนเป็นทนายความเวลาถูกอุ้มหาย ถูกยิงตาย ถูกฟันหัว องค์วิชาชีพอย่างสภาทนายก็ไม่ได้มาเป็นเดือดเป็นร้อนด้วย คนเป็นทนายความเวลาเจ็บตายก็ไม่ใช่การเจ็บตายในหน้าที่ ไม่มีชุดข้าราชการคุ้มครอง ไม่มีพระราชเพลิงศพ
คดีใหญ่ระดับนี้ เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ ผู้มีปืน คนเป็นทนายถ้าหลังไม่พิงประชาชน ใครจะมาช่วยเหลือ
สร้างกระแสหรือไม่? ก็อยู่ที่ใจประชาชน ประชาชนไม่เห็นด้วยใครจะสร้างกระแสได้
ตรงกันข้ามก็เพราะประชาชนเห็นด้วย จึงเป็นการช่วยกันตรวจสอบกระบวนการยุติธรรม ในขณะที่การตรวจสอบของประชาชนจะทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหายได้อย่างไร? เพราะแท้จริงแล้วการตรวจสอบต่างหากที่จะพัฒนาส่งเสริมกระบวนการยุติธรรม ประชาชนที่ไม่รู้กฎหมายก็จะได้รู้กฎหมาย เพียงแต่ผู้รู้กฎหมายต้องใช้เหตุใช้ผลและหลักกฎหมายอธิบายจูงใจให้ประชาชนเข้าใจ
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็เพราะนักกฎหมายทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะผู้เรียนกฎหมาย ใครจะพูดกล่าวถึงก็ไม่ได้ กระบวนการยุติธรรมจึงกลายเป็นเรื่องเร้นลับ วิเศษเทวดากว่าอาชีพอื่นๆ ประชาชนจึงเข้าใจและใช้กฎหมายอย่างผิดๆ นั้นต่างหากที่ทำให้ประชาชนไม่เคารพกฎหมายและไม่เชื่อมั่นในการกระบวนการยุติธรรม
ในขณะเดียวกันกระแสสังคมก็จะพิสูจน์คุณธรรมและอุดมการฌ์ของผู้พิพากษาว่าตั้งมั่นอยู่ในความเที่ยงธรรม ไม่หวั่นไหวต่ออคติทั้งปวง ดังประมวลจริยธรรมตุลาการข้อ 1. ที่ว่า หน้าที่สำคัญของผู้พิพากษา คือ การประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี ซึ่งจักต้องปฏิบัติด้วยความซื้อสัตย์สุจริตเที่ยงธรรมถูกต้องตามกฎหมาย และนิติประเพณี ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัด ครบถ้วน เพื่อการนี้ผู้พิพากษาจักต้อง
ยึดมั่นในความเป็นอิสระของตนและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ
ดังนั้นผมเห็นว่าหลายฝ่ายอย่าได้เป็นห่วงเลย ว่าท่านผู้พิพากษาจะจิตใจอ่อนแอละทิ้งคุณธรรมและอุดมการณ์ของตน หรือตัวผู้เป็นห่วงเองก็ไม่มั่นใจในตัวผู้พิพากษาและกระบวนการยุติธรรม และผมเห็นว่าคนเป็นทนายความในคดีที่ใหญ่ระดับนี้ มีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก ถ้าไม่พิงหลังประชาชน จะให้ทำอย่างไร? และการพิงหลังประชาชนเป็นการโหนกระแสหรือไม่? ก็ประชาชนเท่านั้นที่ตอบได้
ทนายอนันต์ชัย โหนกระแส อยากดังหรือไม่?
ความเงียบไม่ได้ทำให้คดีคืบหน้า ความเงียบไม่ได้ทำให้คนเป็นทนายไม่ถูกคุกคามเอาคืน
คนเป็นทนายความเวลาถูกอุ้มหาย ถูกยิงตาย ถูกฟันหัว องค์วิชาชีพอย่างสภาทนายก็ไม่ได้มาเป็นเดือดเป็นร้อนด้วย คนเป็นทนายความเวลาเจ็บตายก็ไม่ใช่การเจ็บตายในหน้าที่ ไม่มีชุดข้าราชการคุ้มครอง ไม่มีพระราชเพลิงศพ
คดีใหญ่ระดับนี้ เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ ผู้มีปืน คนเป็นทนายถ้าหลังไม่พิงประชาชน ใครจะมาช่วยเหลือ
สร้างกระแสหรือไม่? ก็อยู่ที่ใจประชาชน ประชาชนไม่เห็นด้วยใครจะสร้างกระแสได้
ตรงกันข้ามก็เพราะประชาชนเห็นด้วย จึงเป็นการช่วยกันตรวจสอบกระบวนการยุติธรรม ในขณะที่การตรวจสอบของประชาชนจะทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหายได้อย่างไร? เพราะแท้จริงแล้วการตรวจสอบต่างหากที่จะพัฒนาส่งเสริมกระบวนการยุติธรรม ประชาชนที่ไม่รู้กฎหมายก็จะได้รู้กฎหมาย เพียงแต่ผู้รู้กฎหมายต้องใช้เหตุใช้ผลและหลักกฎหมายอธิบายจูงใจให้ประชาชนเข้าใจ
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็เพราะนักกฎหมายทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะผู้เรียนกฎหมาย ใครจะพูดกล่าวถึงก็ไม่ได้ กระบวนการยุติธรรมจึงกลายเป็นเรื่องเร้นลับ วิเศษเทวดากว่าอาชีพอื่นๆ ประชาชนจึงเข้าใจและใช้กฎหมายอย่างผิดๆ นั้นต่างหากที่ทำให้ประชาชนไม่เคารพกฎหมายและไม่เชื่อมั่นในการกระบวนการยุติธรรม
ในขณะเดียวกันกระแสสังคมก็จะพิสูจน์คุณธรรมและอุดมการฌ์ของผู้พิพากษาว่าตั้งมั่นอยู่ในความเที่ยงธรรม ไม่หวั่นไหวต่ออคติทั้งปวง ดังประมวลจริยธรรมตุลาการข้อ 1. ที่ว่า หน้าที่สำคัญของผู้พิพากษา คือ การประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี ซึ่งจักต้องปฏิบัติด้วยความซื้อสัตย์สุจริตเที่ยงธรรมถูกต้องตามกฎหมาย และนิติประเพณี ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัด ครบถ้วน เพื่อการนี้ผู้พิพากษาจักต้อง
ยึดมั่นในความเป็นอิสระของตนและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ
ดังนั้นผมเห็นว่าหลายฝ่ายอย่าได้เป็นห่วงเลย ว่าท่านผู้พิพากษาจะจิตใจอ่อนแอละทิ้งคุณธรรมและอุดมการณ์ของตน หรือตัวผู้เป็นห่วงเองก็ไม่มั่นใจในตัวผู้พิพากษาและกระบวนการยุติธรรม และผมเห็นว่าคนเป็นทนายความในคดีที่ใหญ่ระดับนี้ มีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก ถ้าไม่พิงหลังประชาชน จะให้ทำอย่างไร? และการพิงหลังประชาชนเป็นการโหนกระแสหรือไม่? ก็ประชาชนเท่านั้นที่ตอบได้