ผมเชื่อว่าหลายๆท่านคงสงสัยว่า obi Worldphone คืออะไร?
วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวของ Smart phone สัญชาติอเมริกันให้ฟังกัน
1. obi Worldphone ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือของ John Sculley ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของ บ. Pepsi-Cola และ บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่าง Apple Inc. (ถึงแม้สาวก Steve Jobs หลายคนจะไม่ชอบ Sculley สักเท่าไหร่เพราะเป็นคนที่ทำให้ Jobs ต้องเด้งออกจาก Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมา)
2. obi Worldphone ได้รับการออกแบบโดย Ammunition Group ซึ่ง Leader ของ Ammunition Group ก็เป็นคนที่สาวกของ Apple รู้จักกันดี ใช่แล้วครับ เขาคือ Robert Brunner ซึ่งเคยเป็น Director of industrial design for Apple และเป็นผู้ออกแบบหูฟัง Beats By Dr. Dre นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไม obi Worldphone ถึงเป็นโทรศัพท์มือถือที่ดูหรูหราแต่เรียบง่าย
3. obi Worldphone รุ่นแรกที่เปิดตัวและจำหน่ายในประเทศไทยตอนนี้คือรุ่น SF1 ซึ่งถือกำเนิดจากแหล่งรวมและสร้างสรรค์นวัตกรรมชั้นเยี่ยมของโลกคือ Silicon Valley ที่ San Francisco ซึ่งคำว่า SF1 นั้นก็มาจากชื่อ San Francisco นั่นเองครับ(จริงๆแล้วที่ต่างประเทศมีจำหน่าย 3 รุ่นนอกจาก SF1 คือ MV1 ซึ่งมาจากคำว่า Mountain View และ SJ1.5 ซึ่งมาจากคำว่า San Jose ซึ่งทั้งหมดเป็นชื่อเมืองในรัฐ California ทั้งหมด)
4. การออกแบบที่ไม่ซ้ำแบบใคร เรียบ หรู แต่ทนทาน เนื่องจากตัวเครื่องของ obi SF1 ได้ถูกออกแบบและผลิตขึ้นอย่างประณีตโดยใช้โลหะเป็นวัสดุในการผลิตแบบ Unibody ด้วยการ Design ตัวเครื่องที่เพรียวบางเพียง 7.8 มิลลิเมตร และหน้าจอระบบสัมผัส In-Cell IPS แบบ Floating ซึ่งยกตัวขึ้นจาก Body ของตัวเครื่องเพียง 0.2 มิลลิเมตรพร้อมเสริมความแข็งแกร่งของหน้าจอด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 4 ป้องกันรอยนิ้วมือด้วย Oleophobic coating ทั้งเครื่อง ซึ่งทำให้คุณสามารถโชว์ความสวยงามของตัวเครื่องได้โดยไม่ต้องใส่เคสหรือเปลืองเงินกับการติดฟิล์มหน้าจออีก
5. ความคมชัดหน้าจอระดับ Full HD ด้วยหน้าจอขนาด 5 นิ้วความละเอียดสูงถึง 1080 x 1920 pixels ทำให้การ Load หนังแบบ Full HD มาเก็บไว้ดูไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
6. สุดยอดระบบเสียง Dolby Audio ที่ให้ระบบเสียง Surround รอบทิศทางอันทรงพลังให้ประสบการณ์เหมือนอยู่ในโรงภาพยนต์หรือดูการแสดงดนตรีแบบสดๆ ไม่ว่าจะใช้หูฟังแบบไหน(ต้องลองเองนะครับ เพราะผมลองแล้วคุณภาพเสียงคับแก้วจริงๆ)
7. obi SF1 ให้กล้องหลังมาถึง 13 ล้านพิกเซลแบบ Auto Focus ของ Ubifocus ที่ให้คุณเลือกการโฟกัสได้ทั้งก่อนและหลังการถ่ายภาพ เติมเต็มประสิทธิภาพด้วย OptiZoom ที่ให้การซูมความละเอียดสูงแบบออพติคัล ภาพถ่ายของคุณจึงเหนือกว่าการซูมแบบดิจิตัลทั่วไปโดยใช้ Sensor ของ Sony Exmor IMX214 โดยมีค่ารูรับแสงที่ f/2.0 และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซลเพื่อคนที่ชื่นชอบ Selfie ครับ ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังมี LED Flash มาให้ทั้งคู่เลยครับ
8. นอกจากนี้ obi SF1 ยังเต็มไปด้วยพลังของชิปประมวลผล Qualcomm® Snapdragon™ 615 processor แบบ Octa-core รองรับการเล่นเกม HD สุดมันส์ด้วยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกจาก Adreno™ 405 ใช้ระบบปฏิบัติการ Android Lollipop พร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาด 16 GB ที่มาคู่กับแรม 2 GB มือถือ Obi รองรับการใช้งาน 2 ซิมครับ โดยรองรับ Micro SIM สำหรับ SIM1 ซึ่งรองรับ 4G LTE และ Nano SIM สำหรับ SIM2 ซึ่งเลือกได้นะครับว่าจะใส่ SIM2 หรือจะเลือกเพิ่มหน่วยความจำแบบ Micro SD Card ได้สูงสุดถึง 64GB พร้อมด้วยพลังแบตเตอรี่ที่มีความจุมากถึง 3000 mAh และเทคโนโลยี Quick Charge™ 1.0 ที่ทำให้ obi สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วแม้ในเวลาอันเร่งรีบ
วันหน้าผมจะมารีวิว obi รุ่น SJ1.5 ซึ่งสวยงามไม่แพ้ SF1 ให้ได้ชมกันนะครับ แต่สำหรับตอนนี้ใครที่สนใจ Smart phone ดีๆราคาสบายกระเป๋า ผมแนะนำให้ไปลองสัมผัสและทดลองใช้งานได้ที่ Big C และ Tesco Lotus นะครับ
มาทำความรู้จักกับ obi Worldphone, Smart phone สัญชาติอเมริกันกันดีกว่า
วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวของ Smart phone สัญชาติอเมริกันให้ฟังกัน
1. obi Worldphone ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือของ John Sculley ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของ บ. Pepsi-Cola และ บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่าง Apple Inc. (ถึงแม้สาวก Steve Jobs หลายคนจะไม่ชอบ Sculley สักเท่าไหร่เพราะเป็นคนที่ทำให้ Jobs ต้องเด้งออกจาก Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมา)
2. obi Worldphone ได้รับการออกแบบโดย Ammunition Group ซึ่ง Leader ของ Ammunition Group ก็เป็นคนที่สาวกของ Apple รู้จักกันดี ใช่แล้วครับ เขาคือ Robert Brunner ซึ่งเคยเป็น Director of industrial design for Apple และเป็นผู้ออกแบบหูฟัง Beats By Dr. Dre นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไม obi Worldphone ถึงเป็นโทรศัพท์มือถือที่ดูหรูหราแต่เรียบง่าย
3. obi Worldphone รุ่นแรกที่เปิดตัวและจำหน่ายในประเทศไทยตอนนี้คือรุ่น SF1 ซึ่งถือกำเนิดจากแหล่งรวมและสร้างสรรค์นวัตกรรมชั้นเยี่ยมของโลกคือ Silicon Valley ที่ San Francisco ซึ่งคำว่า SF1 นั้นก็มาจากชื่อ San Francisco นั่นเองครับ(จริงๆแล้วที่ต่างประเทศมีจำหน่าย 3 รุ่นนอกจาก SF1 คือ MV1 ซึ่งมาจากคำว่า Mountain View และ SJ1.5 ซึ่งมาจากคำว่า San Jose ซึ่งทั้งหมดเป็นชื่อเมืองในรัฐ California ทั้งหมด)
4. การออกแบบที่ไม่ซ้ำแบบใคร เรียบ หรู แต่ทนทาน เนื่องจากตัวเครื่องของ obi SF1 ได้ถูกออกแบบและผลิตขึ้นอย่างประณีตโดยใช้โลหะเป็นวัสดุในการผลิตแบบ Unibody ด้วยการ Design ตัวเครื่องที่เพรียวบางเพียง 7.8 มิลลิเมตร และหน้าจอระบบสัมผัส In-Cell IPS แบบ Floating ซึ่งยกตัวขึ้นจาก Body ของตัวเครื่องเพียง 0.2 มิลลิเมตรพร้อมเสริมความแข็งแกร่งของหน้าจอด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 4 ป้องกันรอยนิ้วมือด้วย Oleophobic coating ทั้งเครื่อง ซึ่งทำให้คุณสามารถโชว์ความสวยงามของตัวเครื่องได้โดยไม่ต้องใส่เคสหรือเปลืองเงินกับการติดฟิล์มหน้าจออีก
5. ความคมชัดหน้าจอระดับ Full HD ด้วยหน้าจอขนาด 5 นิ้วความละเอียดสูงถึง 1080 x 1920 pixels ทำให้การ Load หนังแบบ Full HD มาเก็บไว้ดูไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
6. สุดยอดระบบเสียง Dolby Audio ที่ให้ระบบเสียง Surround รอบทิศทางอันทรงพลังให้ประสบการณ์เหมือนอยู่ในโรงภาพยนต์หรือดูการแสดงดนตรีแบบสดๆ ไม่ว่าจะใช้หูฟังแบบไหน(ต้องลองเองนะครับ เพราะผมลองแล้วคุณภาพเสียงคับแก้วจริงๆ)
7. obi SF1 ให้กล้องหลังมาถึง 13 ล้านพิกเซลแบบ Auto Focus ของ Ubifocus ที่ให้คุณเลือกการโฟกัสได้ทั้งก่อนและหลังการถ่ายภาพ เติมเต็มประสิทธิภาพด้วย OptiZoom ที่ให้การซูมความละเอียดสูงแบบออพติคัล ภาพถ่ายของคุณจึงเหนือกว่าการซูมแบบดิจิตัลทั่วไปโดยใช้ Sensor ของ Sony Exmor IMX214 โดยมีค่ารูรับแสงที่ f/2.0 และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซลเพื่อคนที่ชื่นชอบ Selfie ครับ ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังมี LED Flash มาให้ทั้งคู่เลยครับ
8. นอกจากนี้ obi SF1 ยังเต็มไปด้วยพลังของชิปประมวลผล Qualcomm® Snapdragon™ 615 processor แบบ Octa-core รองรับการเล่นเกม HD สุดมันส์ด้วยหน่วยประมวลผลกราฟฟิกจาก Adreno™ 405 ใช้ระบบปฏิบัติการ Android Lollipop พร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาด 16 GB ที่มาคู่กับแรม 2 GB มือถือ Obi รองรับการใช้งาน 2 ซิมครับ โดยรองรับ Micro SIM สำหรับ SIM1 ซึ่งรองรับ 4G LTE และ Nano SIM สำหรับ SIM2 ซึ่งเลือกได้นะครับว่าจะใส่ SIM2 หรือจะเลือกเพิ่มหน่วยความจำแบบ Micro SD Card ได้สูงสุดถึง 64GB พร้อมด้วยพลังแบตเตอรี่ที่มีความจุมากถึง 3000 mAh และเทคโนโลยี Quick Charge™ 1.0 ที่ทำให้ obi สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วแม้ในเวลาอันเร่งรีบ
วันหน้าผมจะมารีวิว obi รุ่น SJ1.5 ซึ่งสวยงามไม่แพ้ SF1 ให้ได้ชมกันนะครับ แต่สำหรับตอนนี้ใครที่สนใจ Smart phone ดีๆราคาสบายกระเป๋า ผมแนะนำให้ไปลองสัมผัสและทดลองใช้งานได้ที่ Big C และ Tesco Lotus นะครับ