ผมได้ตอบรับไปเรียนปริญญาเอกที่ U ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในอเมริกา แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างกังวลเรื่องการขอวีซ่า มีสองเรื่องที่อยากปรึกษาครับ
เรื่องแรก . . .
ผมได้ tuition waiver และ TA มาด้วย จะได้เบี้ยเลี้ยงเป็นค่าครองชีพ $15,875 ต่อปี (หาร 12 = $1,322 ต่อเดือน) แต่ที่ U กำหนดว่า นศ ต้องมีค่าครองชีพขั้นต่ำ $18,625 ต่อปี (หาร 12 = $1,552 ต่อเดือน) ผมเลยต้องแสดงหลักฐาน personal funding ในปีแรกเป็นเงิน $2,750 (หาร 12 = $229 ต่อเดือน) เพื่อเติมให้มีเงินค่าครองชีพเท่ากับที่ U กำหนด (ผมส่ง bank statement ให้ U ไปแล้ว แล้วก็ได้ I-20 มาแล้ว)
ปัญหาคือ ผมมีเงินในบัญชีส่วนตัวทั้งหมด $6,000 ซึ่งเพียงพอเป็น personal funding สำหรับสองปีแรก ฟังดูก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ที่ผมกังวลก็คือ ผมกำลังจะลาออกจากงานที่ทำอยู่ตอนนี้ ก็คือบัญชีของผมจะไม่มีเงินเดือนเข้าอีกแล้ว ตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า เขาจะถามผมไหมครับ ว่าปีที่เหลือในการเรียนปริญญาเอก จะหาเงิน $2,750/ปี จากไหนมาเป็น personal funding สมทบค่าครองชีพ
ตอนไปสัมภาษณ์ ถ้าผมบอกเขาไปว่า เงินเบี้ยเลี้ยง TA ที่ได้ ยังไงก็พอ แถมเหลือเก็บได้ด้วย เขาจะฟังไหมครับ (U นี้อยู่ในเมืองเล็กๆ อพาร์ทเมนท์เช่าอยู่คนเดียว ส่วนใหญ่แค่เดือนละ $500-$600 แต่ผมกำลังหาอพาร์ทเมนท์แบบ 2 bedroom / 3-bedroom ซึ่งก็ถูกลงไปอีก แชร์กันก็คนละ $300-$400) ... ถ้าเขายังยืนยันว่า ยังไงผมก็ต้องมีเงินสำรองส่วนนี้ในปีต่อๆไป ผมจะเสริมไปว่า ผมสามารถรับงาน on-campus อย่างถูกกฎหมาย เช่น ทำงานในหอสมุด แล้วก็ยังมีโอกาสสมัคร fellowship ชื่อนั้นชื่อนี้ของภาควิชาได้อีก แล้วผมก็ยังมีโอกาสเป็น TA ช่วง summer ซึ่งก็จะได้เงินเดือนต่างหากจากเทอมปกติด้วย ... ประมาณว่า personal funding แค่ $2,750 ผมหามาเสริมได้อย่างถูกกฎหมายแน่ๆ ถึงแม้จะลาออกจากงานที่ไทยไปแล้ว ตอบเขาไปแบบนี้จะโอเคไหมครับ
แล้วถ้าผมบอกเขาไปอีกว่า ถ้าเกิดหาเงินส่วนนั้นไม่ได้จริงๆ ผมสามารถขอเงินจากน้องชายได้ แล้วพก bank statement ของน้องชายไปแสดงให้เขาดูด้วย เขาจะรับฟังไหมครับ ... คือถ้าเงินนั้นเป็นเงินของพ่อ ก็คงไม่มีปัญหาแน่ๆ แต่มันเป็นเงินของน้อง การเอาน้องชายเป็นสปอนเซอร์นี่ มีใครเขาทำกันไหมครับ
เรื่องที่สอง . . .
ผมอ่านกระทู้เก่าๆ เห็นว่าตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า ผมต้องพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่กงศุลเชื่อให้ได้ ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่ที่อเมริกาอย่างถาวร ซึ่งตรงนี้ผมกังวลมาก ตอนนี้ผมอายุ 33 ไม่เคยแต่งงาน สมาชิกในครอบครัวของผมที่ยังเหลืออยู่ มีแค่พ่อกับน้องชาย ซึ่งน้องชายก็ไม่เคยแต่งงานเหมือนกัน (พ่อกับน้องชายอยู่ด้วยกันที่จังหวัดหนึ่ง แต่ผมออกมาทำงานอยู่คนเดียวต่างจังหวัด) แถมผมกำลังจะลาออกจากงานเพื่อไปเรียน ... คือผมมีคุณสมบัติเกือบทุกอย่างที่ส่อแววว่าจะไปตั้งรกรากถาวรที่อเมริกา!!!
อีกอย่าง ทรัพย์สินส่วนตัวของผม มีแค่เงินในบัญชีส่วนตัวประมาณ $6,000 ตามที่บอกไว้ข้างบน อสังหาริมทรัพย์มีแค่บ้านพักเล็กๆหลังเดียว แถมยังเป็นบ้านที่เป็นชื่อของผมกับน้องชายเป็นเจ้าของร่วมกัน ผมอายุ 33 แต่มีทรัพย์สินเท่านี้จริงๆ (พ่อผมไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย คนที่พอมีทรัพย์สินหน่อยคือน้องชาย เขาทำธุรกิจ)
ถ้าผมถูกถามเรื่องนี้ตอนสัมภาษณ์วีซ่า ผมกะจะบอกไปว่า ที่ผมลาออกจากงาน เพราะงานที่ทำตอนนี้อยู่คนละจังหวัดกับภูมิลำเนา ผมตั้งใจจะย้ายกลับบ้านไปอยู่กับพ่อและน้องหลังจากเรียนจบ โดยที่ผมจะไปสมัครสอนตามมหาวิทยาลัยในจังหวัดของผม ... อีกอย่าง ตอนนี้ผมทำงานอยู่ในจังหวัดเล็กๆ ผมอยากไปหาความก้าวหน้าในเมืองใหญ่ๆมากกว่า ... ตอบเขาไปแบบนี้ เจ้าหน้าที่กงศุลจะเชื่อไหมครับ ว่าผมจะไม่ไปตั้งรกรากถาวรอยู่ที่อเมริกา
ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ ว่ามีจุดไหนที่ผมไม่ควรพูด หรือมีอะไรที่ควรเพิ่มเติมตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า ... เอาจริงๆ ส่วนตัวก็ไม่เคยคิดจะไปตั้งรกรากถาวรอยู่อเมริกาเลยครับ อยากกลับมาอยู่กับพ่อมากกว่า
จะไปขอวีซ่า F-1 เพื่อเรียนต่อเอกที่อเมริกา อยากปรึกษาครับ
เรื่องแรก . . .
ผมได้ tuition waiver และ TA มาด้วย จะได้เบี้ยเลี้ยงเป็นค่าครองชีพ $15,875 ต่อปี (หาร 12 = $1,322 ต่อเดือน) แต่ที่ U กำหนดว่า นศ ต้องมีค่าครองชีพขั้นต่ำ $18,625 ต่อปี (หาร 12 = $1,552 ต่อเดือน) ผมเลยต้องแสดงหลักฐาน personal funding ในปีแรกเป็นเงิน $2,750 (หาร 12 = $229 ต่อเดือน) เพื่อเติมให้มีเงินค่าครองชีพเท่ากับที่ U กำหนด (ผมส่ง bank statement ให้ U ไปแล้ว แล้วก็ได้ I-20 มาแล้ว)
ปัญหาคือ ผมมีเงินในบัญชีส่วนตัวทั้งหมด $6,000 ซึ่งเพียงพอเป็น personal funding สำหรับสองปีแรก ฟังดูก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ที่ผมกังวลก็คือ ผมกำลังจะลาออกจากงานที่ทำอยู่ตอนนี้ ก็คือบัญชีของผมจะไม่มีเงินเดือนเข้าอีกแล้ว ตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า เขาจะถามผมไหมครับ ว่าปีที่เหลือในการเรียนปริญญาเอก จะหาเงิน $2,750/ปี จากไหนมาเป็น personal funding สมทบค่าครองชีพ
ตอนไปสัมภาษณ์ ถ้าผมบอกเขาไปว่า เงินเบี้ยเลี้ยง TA ที่ได้ ยังไงก็พอ แถมเหลือเก็บได้ด้วย เขาจะฟังไหมครับ (U นี้อยู่ในเมืองเล็กๆ อพาร์ทเมนท์เช่าอยู่คนเดียว ส่วนใหญ่แค่เดือนละ $500-$600 แต่ผมกำลังหาอพาร์ทเมนท์แบบ 2 bedroom / 3-bedroom ซึ่งก็ถูกลงไปอีก แชร์กันก็คนละ $300-$400) ... ถ้าเขายังยืนยันว่า ยังไงผมก็ต้องมีเงินสำรองส่วนนี้ในปีต่อๆไป ผมจะเสริมไปว่า ผมสามารถรับงาน on-campus อย่างถูกกฎหมาย เช่น ทำงานในหอสมุด แล้วก็ยังมีโอกาสสมัคร fellowship ชื่อนั้นชื่อนี้ของภาควิชาได้อีก แล้วผมก็ยังมีโอกาสเป็น TA ช่วง summer ซึ่งก็จะได้เงินเดือนต่างหากจากเทอมปกติด้วย ... ประมาณว่า personal funding แค่ $2,750 ผมหามาเสริมได้อย่างถูกกฎหมายแน่ๆ ถึงแม้จะลาออกจากงานที่ไทยไปแล้ว ตอบเขาไปแบบนี้จะโอเคไหมครับ
แล้วถ้าผมบอกเขาไปอีกว่า ถ้าเกิดหาเงินส่วนนั้นไม่ได้จริงๆ ผมสามารถขอเงินจากน้องชายได้ แล้วพก bank statement ของน้องชายไปแสดงให้เขาดูด้วย เขาจะรับฟังไหมครับ ... คือถ้าเงินนั้นเป็นเงินของพ่อ ก็คงไม่มีปัญหาแน่ๆ แต่มันเป็นเงินของน้อง การเอาน้องชายเป็นสปอนเซอร์นี่ มีใครเขาทำกันไหมครับ
เรื่องที่สอง . . .
ผมอ่านกระทู้เก่าๆ เห็นว่าตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า ผมต้องพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่กงศุลเชื่อให้ได้ ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่ที่อเมริกาอย่างถาวร ซึ่งตรงนี้ผมกังวลมาก ตอนนี้ผมอายุ 33 ไม่เคยแต่งงาน สมาชิกในครอบครัวของผมที่ยังเหลืออยู่ มีแค่พ่อกับน้องชาย ซึ่งน้องชายก็ไม่เคยแต่งงานเหมือนกัน (พ่อกับน้องชายอยู่ด้วยกันที่จังหวัดหนึ่ง แต่ผมออกมาทำงานอยู่คนเดียวต่างจังหวัด) แถมผมกำลังจะลาออกจากงานเพื่อไปเรียน ... คือผมมีคุณสมบัติเกือบทุกอย่างที่ส่อแววว่าจะไปตั้งรกรากถาวรที่อเมริกา!!!
อีกอย่าง ทรัพย์สินส่วนตัวของผม มีแค่เงินในบัญชีส่วนตัวประมาณ $6,000 ตามที่บอกไว้ข้างบน อสังหาริมทรัพย์มีแค่บ้านพักเล็กๆหลังเดียว แถมยังเป็นบ้านที่เป็นชื่อของผมกับน้องชายเป็นเจ้าของร่วมกัน ผมอายุ 33 แต่มีทรัพย์สินเท่านี้จริงๆ (พ่อผมไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย คนที่พอมีทรัพย์สินหน่อยคือน้องชาย เขาทำธุรกิจ)
ถ้าผมถูกถามเรื่องนี้ตอนสัมภาษณ์วีซ่า ผมกะจะบอกไปว่า ที่ผมลาออกจากงาน เพราะงานที่ทำตอนนี้อยู่คนละจังหวัดกับภูมิลำเนา ผมตั้งใจจะย้ายกลับบ้านไปอยู่กับพ่อและน้องหลังจากเรียนจบ โดยที่ผมจะไปสมัครสอนตามมหาวิทยาลัยในจังหวัดของผม ... อีกอย่าง ตอนนี้ผมทำงานอยู่ในจังหวัดเล็กๆ ผมอยากไปหาความก้าวหน้าในเมืองใหญ่ๆมากกว่า ... ตอบเขาไปแบบนี้ เจ้าหน้าที่กงศุลจะเชื่อไหมครับ ว่าผมจะไม่ไปตั้งรกรากถาวรอยู่ที่อเมริกา
ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ ว่ามีจุดไหนที่ผมไม่ควรพูด หรือมีอะไรที่ควรเพิ่มเติมตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า ... เอาจริงๆ ส่วนตัวก็ไม่เคยคิดจะไปตั้งรกรากถาวรอยู่อเมริกาเลยครับ อยากกลับมาอยู่กับพ่อมากกว่า