ประวัติความเป็นมา คริสตศาสนจักรดั้งเดิมออร์โธด็อกซ์
สองพันกว่าปีมาแล้ว พระเยซูบุตรแห่งพระเจ้าเสด็จมาเยือนเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ และทรงก่อตั้งคริสต์ศาสนจักรผ่านทางอัครสาวกและเหล่าสานุศิษย์ในเวลาต่อมาบรรดาสาวกของพระองค์ออกไปเผยแพร่ศาสนาและคำสอนตามที่ต่างๆ พวกท่านได้ก่อตั้งโบสถ์หลายแห่ง รวมตัวกันด้วยความศรัทธา การสักการะบูชา และการเข้าร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักร (ในภาษาอังกฤษ ออร์โธด็อกซ์เรียกพิธีศักดิ์สิทธิ์ว่า Mysteries ส่วนทางตะวันตกเรียกว่า Sacraments)
โบสถ์ที่ก่อตั้งโดยอัครสาวกของพระองค์ประกอบไปด้วย สังฆมณฑลแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ล อเล็กซานเดรีย อันติโอเกีย เยรูซาเล็ม และโรม ศาสนจักรแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลก่อตั้งโดยนักบุญแอนดรูว์ศาสนจักรแห่งอเล็กซานเดรียก่อตั้งโดยนักบุญมาร์ค ศาสนจักรแห่งอันติโอเกียก่อตั้งโดยนักบุญพอลศาสนจักรแห่งเยรูซาเล็มก่อตั้งโดยนักบุญปีเตอร์และนักบุญเจมส์ศาสนจักรแห่งโรมก่อตั้งโดยนักบุญปีเตอร์และนักบุญพอลต่อมาศาสนจักรเหล่านี้เผยแพร่ศาสนาออกไปและก่อตั้งศาสนจักรต่างๆ ขึ้นอีกได้แก่ ศาสนจักรแห่งซีนาย รัสเซีย กรีซ เซอร์เบีย บัลกาเรีย โรมาเนีย ฯลฯ
ศาสนจักรเหล่านี้มีรูปแบบการปกครองเป็นอิสระต่อกัน เว้นแต่ศาสนจักรแห่งโรมซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1054 แยกตัวจากศาสนจักรอื่นๆ ศาสนจักรที่เหลือมีความศรัทธาร่วมกันในคำสอน ธรรมเนียม ศีล พิธีสวด และพิธีต่างๆ รวมเรียกศาสนจักรเหล่านี้ว่า ศาสนจักรดั้งเดิม (ออร์โธด็อกซ์)
คำสอนของศาสนจักรมีที่มาจากสองแหล่งคือ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลและประเพณีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นทั้งรากฐานของการบันทึกพระคัมภีร์และเป็นทั้งแนวทางในการตีความพระคัมภีร์ ดังที่บันทึกไว้ในพระวรสารนักบุญจอห์นว่า «ยังมีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูทรงทำ แต่ถ้าจะเขียนไว้หมด ข้าพเจ้าคาดว่าโลกทั้งใบก็ไม่น่าจะพอสำหรับหนังสือเหล่านั้น« (จอห์น 21:25) คำสอนมากมายจึงถ่ายทอดโดยเหล่าอัครสาวกด้วยวิธีมุขปาฐะผ่านทางประเพณีศักดิ์สิทธิ์
คำว่า «ออร์โธด็อกซ์» (Orthodox) มีความหมายตามตัวอักษรว่า คำสอนหรือการสักการะที่ถูกต้อง มาจากคำในภาษากรีกสองคำคือ orthosแปลว่าถูกต้อง และ doxa แปลว่าคำสอนหรือการสักการะ เนื่องจากในช่วงยุคต้นของศาสนาคริสต์ มีการเผยแพร่คำสอนที่ผิด ทำให้เกิดความคลุมเครือและเป็นภัยต่ออัตลักษณ์ของศาสนจักร จึงมีการนำคำว่าออร์โธด็อกซ์มาใช้เพื่อระบุถึงศาสนจักรดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องความจริง ต่อต้านการสอนที่ผิดและความแตกแยก มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องชาวคริสต์และสรรเสริญพระเยชูผู้ทรงเป็นหลักของศาสนา
ในปัจจุบันมีนิกายจำนวนมากอ้างว่าสืบทอดมาจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิมแต่จะพิสูจน์ได้ก็ต่อเมื่อนำสิ่งที่นิกายเหล่านี้อ้างมาเทียบกับความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาคริสต์ ถึงแม้เรามีสิทธิ์ในการเลือกเชื่อ แต่เราก็ควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ เพื่อจะเลือกได้อย่างสมเหตุสมผล
หวังว่าคำอธิบายที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้สามารถช่วยแนะนำเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ผ่านการถ่ายทอดจากเหล่าอัครสาวกของพระเยซู ต่อไปนี้คือเกณฑ์วัดความจริงของศาสนาคริสต์ซึ่งใช้ตรวจสอบความเชื่อต่างๆ
คำสอน
พระบิดาคือแหล่งกำเนิดพระตรีเอกานุภาพพระคัมภีร์เผยว่าพระเจ้าหนึ่งเดียว ประกอบไปด้วยสามพระบุคคลคือพระบิดาพระบุตรและพระจิตสามพระบุคคลนี้มีลักษณะความเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวชั่วนิรันดร์จากพระบิดาก่อให้เกิดพระบุตรก่อนกาลเวลาทั้งหลาย(บทสดุดี2:7; II โครินธ์11:31) จากพระบิดาบังเกิดพระจิต(จอห์น15:26) พระบิดาทรงเนรมิตทุกสิ่งผ่านทางพระบุตรด้วยอำนาจพระจิต(ปฐมกาล1 และ2; จอห์น1:3; โยบ33:4) และพวกเราได้รับมอบหมายให้สักการะบูชาพระองค์(จอห์น4:23) พระบิดาทรงรักพวกเราและทรงส่งพระบุตรมามอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่พวกเรา(จอห์น3:16)
พระเยซูคริสต์คือพระบุคคลที่สองของพระตรีเอกานุภาพทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลาพระองค์ทรงรับเป็นมนุษย์ดังนั้นทรงเป็นทั้งเป็นพระเจ้าและมนุษย์โดยสมบูรณ์ผู้เผยพระวัจนะได้พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระองค์ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมเนื่องจากพระเยซูทรงเป็นหลักแห่งศาสนาคริสต์ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์จึงให้ความสำคัญในการรู้จักพระองค์มากกว่าสิ่งใด
ในหลักข้อเชื่อไนซีนศาสนจักรออร์โธด็อกซ์มักยืนยันความเชื่อทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเยซูโดยกล่าวว่า«ข้าพเจ้าเชื่อในพระองค์เดียวพระเยซูพระบุตรแห่งพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้าทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลาและกัลปจักรวาลทั้งมวลแสงสว่างจากแสงสว่างพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ทรงบังเกิดไม่ได้ถูกสร้างขึ้นทรงเป็นสาระเดียวกันกับพระบิดาทรงสร้างสรรพสิ่งเสด็จลงมาแต่สวรรค์เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ทรงรับเป็นมนุษย์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทางมารีย์สาวพรหมจารีทรงสภาพมนุษย์และทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนโดยคำสั่งของปอนติอุสปิลาตุสทรงทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์ถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์และในวันที่สามทรงฟื้นคืนพระชนม์ตามที่คัมภีร์ทำนายไว้เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับณเบื้องขวาของพระบิดาพระองค์จะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริเพื่อพิพากษาคนเป็นและคนตายพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่รู้สิ้นสุด«
การรับเป็นมนุษย์หมายถึงการที่พระเยซูทรงรับสภาพมนุษย์«มีเลือดเนื้อ«พระบุตรแห่งพระเจ้าทรงรับลักษณะความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ผ่านทางครรภ์พระแม่มารีย์ผู้ทรงพรหมจรรย์พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เดียวทรงมีความเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์จากพระบิดาและทรงมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์จากพระแม่มารีย์ผู้ทรงพรหมจรรย์การรับเป็นมนุษย์ทำให้พระองค์ทรงมีลักษณะของทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในพระองค์เดียวชั่วนิรันดร์พระบุตรผู้ซึ่งมีความไม่จำกัดของพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะยอมรับความจำกัดในธรรมชาติของมนุษย์ทำให้พระองค์ต้องเผชิญกับความหิวความกระหายความเหนื่อยล้าและในที่สุดคือความตายการรับเป็นมนุษย์ของพระองค์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคริสตศาสนาเพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงรับเป็นมนุษย์ก็คงไม่มีศาสนาคริสต์พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า«ไม่มีวิญญาณใดที่จะไม่ยอมรับว่าพระเยซูที่มีเลือดเนื้อนั้นคือพระเจ้า» (I จอห์น4:3) การรับเป็นมนุษย์ทำให้พระองค์ได้ไถ่บาปให้มนุษย์การไถ่บาปนี้สำหรับผู้ที่เชื่อและติดตามพระองค์
พระจิตศักดิ์สิทธิ์เป็นพระบุคคลในพระตรีเอกานุภาพและเป็นสาระเดียวกันกับพระบิดาชาวคริสต์ออร์โธด็อกซ์มักปฏิญาณว่า«ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิตพระผู้ให้กำเนิดชีวิต สืบมาจากพระบิดาพระผู้ซึ่งเราสักการะบูชาสรรเสริญพร้อมกันกับพระบิดาและพระบุตร«เรียกว่า«สัญญาแห่งพระบิดา» (กิจการ1:4) พระเยซูทรงมอบพระจิตให้เป็นสิ่งประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ศาสนจักรเพื่อให้อำนาจศาสนจักรในการประกอบพิธีสักการะบูชาพระเจ้า(กิจการ1:8) เพื่อประทานความรักของพระเจ้าในใจพวกเรา(พระธรรมโรม5:5) และเพื่อประทานพระพรวิญญาณบริสุทธิ์(I โครินธ์12:7-13) และคุณธรรม(กาลาเทีย5:22, 23) ในชีวิตและการเป็นประจักษ์พยานชาวคริสต์ออร์โธด็อกซ์เชื่อตามพระคัมภีร์ว่า เรารับพระจิตผ่านการเจิมในพิธีรับศีลแรก(กิจการ2:38) และพระจิตจะทรงสถิตอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
บาปแปลตามตัวอักษรว่า«ผิดพลาด» นักบุญพอลเขียนว่า«มนุษย์ทุกคนมีบาปกำเนิดและเหินห่างจากพระเจ้า« (พระธรรมโรม3:23) เราทำบาปเมื่อเราบิดเบือนสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าดีเราห่างเหินจากพระประสงค์ของพระองค์บาปของเราแยกเราออกจากพระเจ้า(อิสยาห์59:1, 2) ทำให้จิตวิญญาณของเราตาย(เอเฟซัส2:1) พระบุตรทรงรับความเป็นมนุษย์และทรงดำรงอยู่อย่างไร้บาปเพื่อช่วยพวกเรา«พระองค์ทรงทำให้บาปติดอยู่แต่เพียงเลือดเนื้อ« (พระธรรมโรม8:3) เมื่อเราสารภาพและเลิกทำบาปพระเจ้าทรงอภัยให้ด้วยพระกรุณาทรงมอบพลังแก่พวกเราเพื่อเอาชนะบาปในชีวิต«ถ้าเราสารภาพบาปพระองค์ผู้ทรงธรรมย่อมทรงอภัยและทรงชำระเราจากเหล่าอธรรมทั้งหลาย« (I จอห์น1:9)
การไถ่บาปคือสิ่งประทานจากพระเจ้าทำให้เหล่าชายหญิงพ้นจากบาปและความตายได้อยู่รวมกับพระองค์ในดินแดนอันเป็นนิรันดร์ผู้มาฟังนักบุญปีเตอร์เทศน์ในวันเพนเทคอสต์ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นจากบาปท่านตอบว่า«จงสำนึกผิดและรับศีลล้างบาปในนามของพระเยซู เพื่อรับการอภัยในบาปและท่านจะได้รับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์« (กิจการ2:38) การไถ่บาปประกอบด้วยสามขั้นตอนดังนี้1. สำนึกผิด2. รับศีลล้างบาป3. รับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์การสำนึกผิด หมายถึงการเปลี่ยนความคิดในเรื่องที่เราทำผิดไปเลิกทำบาปและยอมรับพระเจ้าการรับศีลล้างบาป หมายถึงการเกิดใหม่โดยการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและการรับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงการรับพระจิตทำให้เราได้เริ่มชีวิตใหม่กับพระเจ้าเพื่อติดตามแนวทางของพระองค์
การพ้นบาปจำเป็นต้องเชื่อศรัทธาพระเยซูพวกเราไม่สามารถไถ่บาปได้ด้วยตัวเองการไถ่บาปคือ«ความเชื่อมั่นศรัทธาผ่านความรัก«อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตการไถ่บาปมาจากเรื่องในอดีตที่พระเยซูทรงสละพระชนม์ชีพและทรงฟื้นจากความตายเพื่อช่วยพวกเราเป็นเรื่องในปัจจุบันที่เราจะได้รับการไถ่บาปด้วยความเชื่อศรัทธาในการรวมกับพระองค์ด้วยพลังแห่งพระจิตศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องในอนาคตที่เราจะยังต้องได้รับการช่วยให้พ้นบาปจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง
พิธีศีลล้างบาปเป็นวิธีที่ทำให้เราได้รวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าการพ้นบาปเริ่มต้นโดยการชำระด้วยน้ำในพิธีศีลล้างบาปนักบุญพอลสอนในพระธรรมโรม6:1-6 ว่าในพิธีศีลล้างบาปเรารับรู้การสละพระชนม์ชีพและการฟื้นคืนจากความตายของพระเยซูในพิธีนั้นบาปของเราจะได้รับการยกโทษและเราจะได้รับพลังเพื่ออยู่ร่วมกับพระเยซูในชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ทำพิธีศีลล้างบาปด้วยการลงจุ่มแช่น้ำทั้งตัว
ในปัจจุบันมีบางท่านมองว่าพิธีศีลล้างบาปเป็นเพียง “สัญญะภายนอก” ในการแสดงความศรัทธาต่อพระเยซูแต่ความคิดเช่นนี้ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบางท่านมองว่าเป็นเพียงแค่พิธีที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูเท่านั้น(เทียบจากหนังสือมัทธิว28:19-20) หรือบางท่านถึงกับละเลยพระคัมภีร์โดยปฏิเสธถึงความจำเป็นของพิธีศีลล้างบาปทางศาสนาเห็นว่าความคิดที่ว่าเหล่านี้ทำให้ผู้คนเสียศรัทธาในความจำเป็นของพิธีศีลล้างบาปขอยืนยันว่าพิธีนี้ทำให้ได้รวมเป็นหนึ่งกับพระเยซูคริสต์ และพิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งในศาสนาจักรของพระองค์
การเกิดใหม่คือการรับชีวิตใหม่เป็นวิธีในการเข้าสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าและศาสนาจักรของพระองค์พระเยซูตรัสว่า«ถ้าไม่ได้เกิดใหม่โดยรับน้ำและพระจิตแล้ว จะไม่สามารถเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าได้« (จอห์น3:5) ตลอดมาทางศาสนจักรตีความว่าน้ำ ที่ว่าคือน้ำในพิธีศีลล้างบาป และพระจิต ก็คือพระจิตศักดิ์สิทธิ์การเกิดใหม่เกิดขึ้นในพิธีศีลล้างบาปกล่าวคือในพิธีเราตายพร้อมกับพระเยซูถูกฝังกับพระองค์และฟื้นคืนมาเฉกเช่นพระองค์จากนั้นเราจะได้รวมกับพระองค์ในพระฉายาของมนุษย์ผู้มีเกียรติ(กิจการ2:38; พระธรรมโรม6:3-4) การเกิดใหม่ต้องเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับพิธีศีลล้างบาปเท่านั้นความเชื่อที่ว่ามี “การเกิดใหม่” รูปแบบอื่นที่ไม่ผ่านพิธีศีลล้างบาปเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อพิสูจน์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ประวัติความเป็นมาของ ศาสนาคริสต์ดั้งเดิม
สองพันกว่าปีมาแล้ว พระเยซูบุตรแห่งพระเจ้าเสด็จมาเยือนเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ และทรงก่อตั้งคริสต์ศาสนจักรผ่านทางอัครสาวกและเหล่าสานุศิษย์ในเวลาต่อมาบรรดาสาวกของพระองค์ออกไปเผยแพร่ศาสนาและคำสอนตามที่ต่างๆ พวกท่านได้ก่อตั้งโบสถ์หลายแห่ง รวมตัวกันด้วยความศรัทธา การสักการะบูชา และการเข้าร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักร (ในภาษาอังกฤษ ออร์โธด็อกซ์เรียกพิธีศักดิ์สิทธิ์ว่า Mysteries ส่วนทางตะวันตกเรียกว่า Sacraments)
โบสถ์ที่ก่อตั้งโดยอัครสาวกของพระองค์ประกอบไปด้วย สังฆมณฑลแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ล อเล็กซานเดรีย อันติโอเกีย เยรูซาเล็ม และโรม ศาสนจักรแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลก่อตั้งโดยนักบุญแอนดรูว์ศาสนจักรแห่งอเล็กซานเดรียก่อตั้งโดยนักบุญมาร์ค ศาสนจักรแห่งอันติโอเกียก่อตั้งโดยนักบุญพอลศาสนจักรแห่งเยรูซาเล็มก่อตั้งโดยนักบุญปีเตอร์และนักบุญเจมส์ศาสนจักรแห่งโรมก่อตั้งโดยนักบุญปีเตอร์และนักบุญพอลต่อมาศาสนจักรเหล่านี้เผยแพร่ศาสนาออกไปและก่อตั้งศาสนจักรต่างๆ ขึ้นอีกได้แก่ ศาสนจักรแห่งซีนาย รัสเซีย กรีซ เซอร์เบีย บัลกาเรีย โรมาเนีย ฯลฯ
ศาสนจักรเหล่านี้มีรูปแบบการปกครองเป็นอิสระต่อกัน เว้นแต่ศาสนจักรแห่งโรมซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1054 แยกตัวจากศาสนจักรอื่นๆ ศาสนจักรที่เหลือมีความศรัทธาร่วมกันในคำสอน ธรรมเนียม ศีล พิธีสวด และพิธีต่างๆ รวมเรียกศาสนจักรเหล่านี้ว่า ศาสนจักรดั้งเดิม (ออร์โธด็อกซ์)
คำสอนของศาสนจักรมีที่มาจากสองแหล่งคือ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลและประเพณีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นทั้งรากฐานของการบันทึกพระคัมภีร์และเป็นทั้งแนวทางในการตีความพระคัมภีร์ ดังที่บันทึกไว้ในพระวรสารนักบุญจอห์นว่า «ยังมีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูทรงทำ แต่ถ้าจะเขียนไว้หมด ข้าพเจ้าคาดว่าโลกทั้งใบก็ไม่น่าจะพอสำหรับหนังสือเหล่านั้น« (จอห์น 21:25) คำสอนมากมายจึงถ่ายทอดโดยเหล่าอัครสาวกด้วยวิธีมุขปาฐะผ่านทางประเพณีศักดิ์สิทธิ์
คำว่า «ออร์โธด็อกซ์» (Orthodox) มีความหมายตามตัวอักษรว่า คำสอนหรือการสักการะที่ถูกต้อง มาจากคำในภาษากรีกสองคำคือ orthosแปลว่าถูกต้อง และ doxa แปลว่าคำสอนหรือการสักการะ เนื่องจากในช่วงยุคต้นของศาสนาคริสต์ มีการเผยแพร่คำสอนที่ผิด ทำให้เกิดความคลุมเครือและเป็นภัยต่ออัตลักษณ์ของศาสนจักร จึงมีการนำคำว่าออร์โธด็อกซ์มาใช้เพื่อระบุถึงศาสนจักรดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องความจริง ต่อต้านการสอนที่ผิดและความแตกแยก มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องชาวคริสต์และสรรเสริญพระเยชูผู้ทรงเป็นหลักของศาสนา
ในปัจจุบันมีนิกายจำนวนมากอ้างว่าสืบทอดมาจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิมแต่จะพิสูจน์ได้ก็ต่อเมื่อนำสิ่งที่นิกายเหล่านี้อ้างมาเทียบกับความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาคริสต์ ถึงแม้เรามีสิทธิ์ในการเลือกเชื่อ แต่เราก็ควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ เพื่อจะเลือกได้อย่างสมเหตุสมผล
หวังว่าคำอธิบายที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้สามารถช่วยแนะนำเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ผ่านการถ่ายทอดจากเหล่าอัครสาวกของพระเยซู ต่อไปนี้คือเกณฑ์วัดความจริงของศาสนาคริสต์ซึ่งใช้ตรวจสอบความเชื่อต่างๆ
คำสอน
พระบิดาคือแหล่งกำเนิดพระตรีเอกานุภาพพระคัมภีร์เผยว่าพระเจ้าหนึ่งเดียว ประกอบไปด้วยสามพระบุคคลคือพระบิดาพระบุตรและพระจิตสามพระบุคคลนี้มีลักษณะความเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวชั่วนิรันดร์จากพระบิดาก่อให้เกิดพระบุตรก่อนกาลเวลาทั้งหลาย(บทสดุดี2:7; II โครินธ์11:31) จากพระบิดาบังเกิดพระจิต(จอห์น15:26) พระบิดาทรงเนรมิตทุกสิ่งผ่านทางพระบุตรด้วยอำนาจพระจิต(ปฐมกาล1 และ2; จอห์น1:3; โยบ33:4) และพวกเราได้รับมอบหมายให้สักการะบูชาพระองค์(จอห์น4:23) พระบิดาทรงรักพวกเราและทรงส่งพระบุตรมามอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่พวกเรา(จอห์น3:16)
พระเยซูคริสต์คือพระบุคคลที่สองของพระตรีเอกานุภาพทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลาพระองค์ทรงรับเป็นมนุษย์ดังนั้นทรงเป็นทั้งเป็นพระเจ้าและมนุษย์โดยสมบูรณ์ผู้เผยพระวัจนะได้พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระองค์ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิมเนื่องจากพระเยซูทรงเป็นหลักแห่งศาสนาคริสต์ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์จึงให้ความสำคัญในการรู้จักพระองค์มากกว่าสิ่งใด
ในหลักข้อเชื่อไนซีนศาสนจักรออร์โธด็อกซ์มักยืนยันความเชื่อทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเยซูโดยกล่าวว่า«ข้าพเจ้าเชื่อในพระองค์เดียวพระเยซูพระบุตรแห่งพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้าทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลาและกัลปจักรวาลทั้งมวลแสงสว่างจากแสงสว่างพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ทรงบังเกิดไม่ได้ถูกสร้างขึ้นทรงเป็นสาระเดียวกันกับพระบิดาทรงสร้างสรรพสิ่งเสด็จลงมาแต่สวรรค์เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ทรงรับเป็นมนุษย์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทางมารีย์สาวพรหมจารีทรงสภาพมนุษย์และทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนโดยคำสั่งของปอนติอุสปิลาตุสทรงทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์ถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์และในวันที่สามทรงฟื้นคืนพระชนม์ตามที่คัมภีร์ทำนายไว้เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับณเบื้องขวาของพระบิดาพระองค์จะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริเพื่อพิพากษาคนเป็นและคนตายพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่รู้สิ้นสุด«
การรับเป็นมนุษย์หมายถึงการที่พระเยซูทรงรับสภาพมนุษย์«มีเลือดเนื้อ«พระบุตรแห่งพระเจ้าทรงรับลักษณะความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ผ่านทางครรภ์พระแม่มารีย์ผู้ทรงพรหมจรรย์พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เดียวทรงมีความเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์จากพระบิดาและทรงมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์จากพระแม่มารีย์ผู้ทรงพรหมจรรย์การรับเป็นมนุษย์ทำให้พระองค์ทรงมีลักษณะของทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในพระองค์เดียวชั่วนิรันดร์พระบุตรผู้ซึ่งมีความไม่จำกัดของพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะยอมรับความจำกัดในธรรมชาติของมนุษย์ทำให้พระองค์ต้องเผชิญกับความหิวความกระหายความเหนื่อยล้าและในที่สุดคือความตายการรับเป็นมนุษย์ของพระองค์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคริสตศาสนาเพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงรับเป็นมนุษย์ก็คงไม่มีศาสนาคริสต์พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า«ไม่มีวิญญาณใดที่จะไม่ยอมรับว่าพระเยซูที่มีเลือดเนื้อนั้นคือพระเจ้า» (I จอห์น4:3) การรับเป็นมนุษย์ทำให้พระองค์ได้ไถ่บาปให้มนุษย์การไถ่บาปนี้สำหรับผู้ที่เชื่อและติดตามพระองค์
พระจิตศักดิ์สิทธิ์เป็นพระบุคคลในพระตรีเอกานุภาพและเป็นสาระเดียวกันกับพระบิดาชาวคริสต์ออร์โธด็อกซ์มักปฏิญาณว่า«ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิตพระผู้ให้กำเนิดชีวิต สืบมาจากพระบิดาพระผู้ซึ่งเราสักการะบูชาสรรเสริญพร้อมกันกับพระบิดาและพระบุตร«เรียกว่า«สัญญาแห่งพระบิดา» (กิจการ1:4) พระเยซูทรงมอบพระจิตให้เป็นสิ่งประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ศาสนจักรเพื่อให้อำนาจศาสนจักรในการประกอบพิธีสักการะบูชาพระเจ้า(กิจการ1:8) เพื่อประทานความรักของพระเจ้าในใจพวกเรา(พระธรรมโรม5:5) และเพื่อประทานพระพรวิญญาณบริสุทธิ์(I โครินธ์12:7-13) และคุณธรรม(กาลาเทีย5:22, 23) ในชีวิตและการเป็นประจักษ์พยานชาวคริสต์ออร์โธด็อกซ์เชื่อตามพระคัมภีร์ว่า เรารับพระจิตผ่านการเจิมในพิธีรับศีลแรก(กิจการ2:38) และพระจิตจะทรงสถิตอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
บาปแปลตามตัวอักษรว่า«ผิดพลาด» นักบุญพอลเขียนว่า«มนุษย์ทุกคนมีบาปกำเนิดและเหินห่างจากพระเจ้า« (พระธรรมโรม3:23) เราทำบาปเมื่อเราบิดเบือนสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าดีเราห่างเหินจากพระประสงค์ของพระองค์บาปของเราแยกเราออกจากพระเจ้า(อิสยาห์59:1, 2) ทำให้จิตวิญญาณของเราตาย(เอเฟซัส2:1) พระบุตรทรงรับความเป็นมนุษย์และทรงดำรงอยู่อย่างไร้บาปเพื่อช่วยพวกเรา«พระองค์ทรงทำให้บาปติดอยู่แต่เพียงเลือดเนื้อ« (พระธรรมโรม8:3) เมื่อเราสารภาพและเลิกทำบาปพระเจ้าทรงอภัยให้ด้วยพระกรุณาทรงมอบพลังแก่พวกเราเพื่อเอาชนะบาปในชีวิต«ถ้าเราสารภาพบาปพระองค์ผู้ทรงธรรมย่อมทรงอภัยและทรงชำระเราจากเหล่าอธรรมทั้งหลาย« (I จอห์น1:9)
การไถ่บาปคือสิ่งประทานจากพระเจ้าทำให้เหล่าชายหญิงพ้นจากบาปและความตายได้อยู่รวมกับพระองค์ในดินแดนอันเป็นนิรันดร์ผู้มาฟังนักบุญปีเตอร์เทศน์ในวันเพนเทคอสต์ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นจากบาปท่านตอบว่า«จงสำนึกผิดและรับศีลล้างบาปในนามของพระเยซู เพื่อรับการอภัยในบาปและท่านจะได้รับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์« (กิจการ2:38) การไถ่บาปประกอบด้วยสามขั้นตอนดังนี้1. สำนึกผิด2. รับศีลล้างบาป3. รับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์การสำนึกผิด หมายถึงการเปลี่ยนความคิดในเรื่องที่เราทำผิดไปเลิกทำบาปและยอมรับพระเจ้าการรับศีลล้างบาป หมายถึงการเกิดใหม่โดยการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและการรับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงการรับพระจิตทำให้เราได้เริ่มชีวิตใหม่กับพระเจ้าเพื่อติดตามแนวทางของพระองค์
การพ้นบาปจำเป็นต้องเชื่อศรัทธาพระเยซูพวกเราไม่สามารถไถ่บาปได้ด้วยตัวเองการไถ่บาปคือ«ความเชื่อมั่นศรัทธาผ่านความรัก«อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตการไถ่บาปมาจากเรื่องในอดีตที่พระเยซูทรงสละพระชนม์ชีพและทรงฟื้นจากความตายเพื่อช่วยพวกเราเป็นเรื่องในปัจจุบันที่เราจะได้รับการไถ่บาปด้วยความเชื่อศรัทธาในการรวมกับพระองค์ด้วยพลังแห่งพระจิตศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องในอนาคตที่เราจะยังต้องได้รับการช่วยให้พ้นบาปจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง
พิธีศีลล้างบาปเป็นวิธีที่ทำให้เราได้รวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าการพ้นบาปเริ่มต้นโดยการชำระด้วยน้ำในพิธีศีลล้างบาปนักบุญพอลสอนในพระธรรมโรม6:1-6 ว่าในพิธีศีลล้างบาปเรารับรู้การสละพระชนม์ชีพและการฟื้นคืนจากความตายของพระเยซูในพิธีนั้นบาปของเราจะได้รับการยกโทษและเราจะได้รับพลังเพื่ออยู่ร่วมกับพระเยซูในชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ทำพิธีศีลล้างบาปด้วยการลงจุ่มแช่น้ำทั้งตัว
ในปัจจุบันมีบางท่านมองว่าพิธีศีลล้างบาปเป็นเพียง “สัญญะภายนอก” ในการแสดงความศรัทธาต่อพระเยซูแต่ความคิดเช่นนี้ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบางท่านมองว่าเป็นเพียงแค่พิธีที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูเท่านั้น(เทียบจากหนังสือมัทธิว28:19-20) หรือบางท่านถึงกับละเลยพระคัมภีร์โดยปฏิเสธถึงความจำเป็นของพิธีศีลล้างบาปทางศาสนาเห็นว่าความคิดที่ว่าเหล่านี้ทำให้ผู้คนเสียศรัทธาในความจำเป็นของพิธีศีลล้างบาปขอยืนยันว่าพิธีนี้ทำให้ได้รวมเป็นหนึ่งกับพระเยซูคริสต์ และพิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งในศาสนาจักรของพระองค์
การเกิดใหม่คือการรับชีวิตใหม่เป็นวิธีในการเข้าสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าและศาสนาจักรของพระองค์พระเยซูตรัสว่า«ถ้าไม่ได้เกิดใหม่โดยรับน้ำและพระจิตแล้ว จะไม่สามารถเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าได้« (จอห์น3:5) ตลอดมาทางศาสนจักรตีความว่าน้ำ ที่ว่าคือน้ำในพิธีศีลล้างบาป และพระจิต ก็คือพระจิตศักดิ์สิทธิ์การเกิดใหม่เกิดขึ้นในพิธีศีลล้างบาปกล่าวคือในพิธีเราตายพร้อมกับพระเยซูถูกฝังกับพระองค์และฟื้นคืนมาเฉกเช่นพระองค์จากนั้นเราจะได้รวมกับพระองค์ในพระฉายาของมนุษย์ผู้มีเกียรติ(กิจการ2:38; พระธรรมโรม6:3-4) การเกิดใหม่ต้องเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับพิธีศีลล้างบาปเท่านั้นความเชื่อที่ว่ามี “การเกิดใหม่” รูปแบบอื่นที่ไม่ผ่านพิธีศีลล้างบาปเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อพิสูจน์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล