Allen Iverson โคตรนักบาสร่างเล็ก ใจถึง และพึ่งได้ กับประวัติธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

:: การ์ดร่างเล็กแต่ใจใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นไอดอลของคนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก เจ้าของฉายา”ดิ อานเซอร์” หรือ “อัลเลน ไอเวอร์สัน” เอไอนั้นเกิดเมื่อ 7 มิถุนายน 1975 ที่เวอร์จิเนีย เอไออยู่กับแม่มาตั้งแต่เด็กๆในช่วงมัธยมปลายไอเวอร์สันได้เข้าร่วมทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนในฐานะควอเตอร์แบ๊ค ซึ่งการวิ่งของเค้านั้นช่วยโรงเรียนได้มาก และรวมถึงสร้างชื่อเสียงให้กับเค้าในฐานะควอเตอร์แบ๊คด้วย แต่เอไอนั้นเลือกที่จะเล่นกีฬา 2 ประเภท และอีกประเภทที่เค้าเล่นก็คือบาสเกตบอล จนกระทั่งโค้ชนั้นเอ่ยปากชมเลยว่าเค้าสามารถเอาดีด้านใดก็ได้เพราะมีพรสวรรค์ทั้งสองด้าน




ในวัยเด็กนั้นไอเวอร์สันมีเรื่องราวค่อนข้างเยอะ อย่างในปี 1993 เค้าอยู่ในลานโบลิ่งและถูกกล่าวหาว่าเอาเก้าอี้นั้นฟาดศรีษะของผู้หญิงคนหนึ่ง เค้าถูกดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย แม้ไอเวอร์สันจะบอกว่าไม่ได้ทำก็ตาม เค้าถูกพิพากษาจำคุก ในช่วง 4 เดือนที่ถูกพิพากษานั้นได้มีการอุทธรณ์ต่างๆ แต่ท้ายสุดหลักฐานก็ไม่เพียงพอ และในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนมัธยมโค้ชจอห์น ทอมป์สัน ยอดโค้ชของจอร์จทาวน์นั้นได้เข้ามาทาบทามเอไอ ด้วยข้อเสนอที่จะให้ทุนการศึกษาเต็มรูปแบบ



ในปีแรกของจอร์จทาวน์ ด้วยพรสวรรค์ของเค้าทำให้เค้าได้รางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมของสายบิ๊กอีสต์ และในปีที่สองของไอเวอร์สันเค้าได้ประกาศตัวเข้าสู่การดราฟ NBA ถือว่าเป็นผู้เล่นที่เรียนไม่จบ 4 ปีที่ออกไปดราฟภายใต้การคุมทีมของโค้ชจอห์น ทอมป์สัน และแน่นอนในปี 1996 ไอเวอร์สันถูกดราฟเข้ามาในฐานะตัวเลือกอันดับที 1 ของซิกเซอร์ และเค้าเป็นผู้เล่นที่ดราฟอันดับ 1 ที่เตี้ยที่สุดในประวัติศาสตร์ ( 6 ฟุต หรือ 183 ซม. แต่ถ้าวัดตอนถอดรองเท้าเจ้าตัวสูง 180 ซม.) การเข้ามาของไอเวอร์สันนั้นในปีแรกยังไม่สามารถช่วยทีมได้มากเท่าไร สถิติเดิมของทีมชนะ 18 นัด แต่เมื่อเอไอเข้ามาชนะเพิ่มเพียง 4 นัดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามด้วยความสามารถอันโดดเด่นเจ้าตัวนั้นได้รับรางวัลรุกกี้ยอดเยี่ยมแห่งปี ปีแรกทำไป 23.5 แต้มต่อเกมส์กับ 7.5 แอสซิสต์ นอกจากนั้นในช่วงออลสตาร์เจ้าตัวอยากที่จะประกวดสแลมดังค์ด้วย เพื่อจะแข่งกับโคบี้ แต่บาดเจ็บเลยไมได้แข่ง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “ผมเชื่อว่าถ้าผมลงแข่ง ผมสามารถชนะ และคว้าแชมป์มาได้นะ”
ในเกมส์แรกที่เจอกับจอร์แดนนั้นเจ้าตัวดีใจแต่ก็ไม่แสดงอาการตื่นเต้นมาก และบอกเพียงว่า “ผมไม่ต้องการที่จะเป็นจอร์แดน ผมไม่ต้องการที่จะเป็นแมจิคผมไม่ต้องการที่จะเป็นเบิร์ด ผมไม่ต้องการที่จะเป็นคนเหล่านั้น เมื่ออาชีพของผมจบผมต้องการมองกระจกและพูดว่า ผมทำมันตามทางของผม”  ไอเวอร์สันนั้นโดดเด่นมาโดยตลอด  จนในปี 2000 นั้นเริ่มที่จะมีปัญหาความขัดแย้งของเค้าและโค้ชลารี่ บราวน์เป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหานอกสนาม อาทิ ปัญหาครอบครัว ภรรยา รวมถึงนิสัยส่วนตัวของเค้า



อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2000-01 ซิกเซอร์มีสถิติชนะถึง 56 และแพ้เพียง 26 นัดเท่านั้น ปีนั้นถือว่าเป็นปีทองของเอไอเลย เค้าคว้ารางวัล MVP และ MVP ออลสตาร์ไปได้ เค้าเป็น MVP ที่ตัวเล็กที่สุดที่ได้รางวัลนี้ไปครองและในปีนี้เค้าได้ดีเคมเบ้ มูตอมโบ้ เซนเตอร์เกมส์รับขั้นเทพเข้ามาอยู่ด้วยในช่วงท้ายฤดูกาลจากฮอล์ค และเอไอผันบทบาทไปเป็นชู๊ตติ้งการ์ดเต็มตัวโดยให้เอริค สโนว์นั้นไปจ่ายบอล และมันทำให้เค้าเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลก็คือ ซิกเซอร์เข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1983 และไปเจอกับเลเกอร์ เอไอในเกมส์แรกทำไป 48 แต้ม ชนะเลเกอร์เรียกได้ว่าหักปากกาเซียนเพราะเลเกอร์ก่อนเกมส์นั้นเป็นต่อค่อนข้างเยอะ แต่จนแล้วจนรอดในซีรีย์ไฟนอล ซิกเซอร์ก็เป็นฝ่ายปราชัยไปและไม่สามารถคว้าแชมป์ NBA ไปได้




และในช่วงปี 2000 นี้เองไอเวอร์สันเริ่มใช้อาร์มสลีฟตรงบริเวณแขนของเค้า เพราะมีการบาดเจ็บบริเวณข้อศอก และตั้งแต่นั้นมาก็เป็นผู้นำแฟชั่นในด้านนี้ รวมถึงกางเกงไซส์ใหญ่กว่าปกติที่นำแบบมาจากฮิพฮอพ สองสิ่งนี้ทำให้คนเล่นบาสทั้ง NBA และทั่วโลกทำตาม เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติการแต่งตัวเลย ถึงขนาดคริส พอล ออกมาบอกว่า “เค้าคือคนที่สร้างปรากฏการณ์นี้ เค้าสร้างผลกระทบอย่างแท้จริง” แต่การใส่อาร์มสลีฟของเอไอยังคงใส่ตลอดไปแม้ว่าข้อศอกของเค้าจะหายแล้วก็ตาม โดยนักจิตวิทยาบอกว่า “ข้อศอกของเค้านั้นหายแล้ว แต่การใส่อาร์มสลีฟนั้นเป็นตัวที่ทำให้เค้าคิดว่าป้องกันอาการบาดเจ็บได้"



ในฤดูกาล 2001-02 เอไอได้แชมป์ทำคะแนนสูงสุดของลีคเป็นครั้งที่ 3 ซิกเซอร์เข้ารอบแต่ต้องไปพ่ายให้กับเซลติกส์ ในการพ่ายแพ้ครั้งนั้นแลรี่ บราวน์ออกมาวิจารณ์ไอเวอร์สันถึงเรื่องการมาซ้อมและปัญหานอกสนาม แต่เอไอนั้นบอกว่า “เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ ผมเป็นผู้เล่นเฟรนไชร์ส เรากำลังพูดถึงเรื่องการฝึกซ้อม...ฝึกซ้อม ?” เอไอย้ำคำว่าฝึกซ้อมประมาณ 14 ครั้ง ในปี 2003 เอไอและลารี่ บราวน์ก็ได้แยกทางกันเอไอย้ำว่าเป็นการจากกันด้วยดี เค้ายังรักและเคารพโค้ชบราวน์เสมอมา และในปี 2004 เอไอได้ร่วมงานกับโค้ชบราวน์ในกีฬาโอลิมปิค โค้ชบราวน์เป็นโค้ชทีมชาติชุดนี้และเอไอได้ประกาศไว้ก่อนหน้าเลยว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโค้ชบราวน์คือโค้ชที่ดีที่สุดในโลก"

……..

หลังจากที่โค้ชบราวน์ออกไปเอไอและซิกเซอร์นั้นไม่เคยเข้าถึงในรอบชิงชนะเลิศอีกเลย แม้ว่าจะเปลี่ยนคู่หูของเค้าหลากหลายไล่มาตั้งแต่โทนี่ คูโค้ช ซึ่งไอเวอร์สันบอกว่า “โทนี่เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม ตอนที่ผมรู้ข่าวว่าเค้าจะมาเล่นกับผม ผมแทบตื่นเต้นจนทนไม่ไหวอยากจะโทรไปหาเค้าในทันทีเลย” แต่เอไอ-คูโค้ชก็ไม่ใช่คำตอบของซิกเซอร์ และเอไอ หรือแม้กระทั้งคริส เวบเบอร์ เอไอบอกไว้ว่า “คนอาจคิดว่าผมและคริสเข้ากันไม่ได้ต้องแย่งบทบาทกัน แต่คุณดูจากสถิติเราทั้งคู่มันบ่งบอกได้ว่าเราคือคู่ที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้” หลังจากจบยุคของแลรี่ บราวน์ เอไอได้โค้ชคริส ฟอร์ดมาเป็นโค้ช ซึ่งเอไอไม่ค่อยมั่นใจในการเป็นโค้ช เค้าไม่เข้าซ้อมหรือแม้กระทั้งแจ้งว่าป่วยเพื่อจะไม่เข้าซ้อมในบางครั้งด้วยซ้ำ และความไม่ลงรอยกันระหว่างโค้ชฟอร์ดกับเค้าก็ทำให้ซิกเซอร์จ้างโค้ชใหม่คือจิม โอไบรอัน ซึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนโค้ชก็ตาม แต่ซิกเซอร์นั้นก็ไม่สามารถเข้าไปได้ไกลกว่าเดิม สื่อเริ่มเห็นพฤติกรรมที่ไม่ซ้อม มาสายของเอไอ และพากันลงข่าว อย่างในบางนัดเอไอและเวบเบอร์นั้นมาสาย ซึ่งตามกฏว่าต้องมาก่อนเวลา 90 นาทีก่อนเกมส์จะเริ่ม แต่ทั้งคู่มาถึงในช่วงจะทิปออฟ ทำให้ทีมต้องปรับเอไอ และแน่นอนว่าตอนนั้นแม้ว่าจะมีผู้เล่นหน้าใหม่อย่างอังเดร อิกัวดาล่ามาก็ตามแต่ข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับเอไอที่ว่าจะมีการเทรดไป เดนเวอร์ / แอตแลนตา / บอสตัน ก็มาเป็นระยะๆ แต่เจ้าตัวยืนกรานเสียงเดียวว่า “ผมต้องการที่จะอยู่ซิกเซอร์” และ ปี 2006 คือปีสุดท้ายที่เจ้าตัวได้สวมเสื้อเบอร์ 3 ในเสื้อซิกเซอร์



หลังจากที่มีข่าวคราวการเทรดต่างๆเป็นระยะๆ เอไอบอกสั้นๆง่ายๆว่า "ผมต้องการจะอยู่กับซิกเซอร์ต่อไป ผมบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกแล้ว" นั่นเป็นสิ่งที่เอไอกล่าว และหลังจากที่มีข่าวคราวเรื่องการเทรดของเค้าเพื่อไปเดนเวอร์นั้นเอไอเศร้าใจมาก เค้าถึงกับกล่าวว่า "ถ้าผมไม่เป็นที่ต้องการของทีม ผมก็ไม่อยากอยู่กับซิกเซอร์ มันเป็นเรื่องยากที่จะให้ผมไปอยู่กับทีมอื่นที่ไม่ใ่ช่ทีมนี้ ผมไม่ได้ต้องการไป ผมจงรักภักดีกับซิกเซอร์ ผมรักทุกๆคนที่นี่” แต่เจ้าตัวก็เข้าใจได้ว่ามันเป็นธุรกิจ "การเทรดครั้งนี้ผมทราบดีว่าทุกคนนั้นต่างจับจ้อง ต่างให้ความสนใจว่าผมจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่สำหรับผมมันไม่เท่าไรเมื่อเทียบกับภรรยาและครอบครัวที่มันส่งผลกระทบต่อจิตใจ พวกเค้าไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


     สื่อมักบอกว่าทั้งเอไอและเวบเบอร์นั้นต่างเล่นไม่เข้ากัน จนเป็นที่มาของการเทรด และทีมต้องการผลัดเปลี่ยใบ ในวันที่ 19 ธันวาคม 2006 ซิกเซอร์ได้ทำการเทรดไอเวอร์สันกับเดนเวอร์ นักเก็ตส์ ทำให้เอไอนั้นไปประสานงานกับคาเมโล่ แอนโธนี่ คู่หูคนใหม่จากไซราคิวส์ "ผมพอใจกับการเทรดมาก นักเก็ตส์นั้นตรงตามสไตล์การเล่นของผมเลย ผมอยากลงเล่นกับคาเมโล่ และทำงานกับจอร์จ คาร์ล"นอกจากนั้นเอไอกล่าวถึงทีมเก่าว่า "มันยากที่จะยอมรับได้ อย่างไรก็ตามผมต้องขอขอบคุณ แฟนๆ สโมสนที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอด 11 ปี” ในเกมส์แรกของเค้ากับนักเก็ตส์นั้นเอไอมีไป 22 คะแนน กับ 10 แอสซิสต์ แฟนๆเดนเวอร์นั้นต่างต้อนรับและแสดงความยินดีกับอดีต MVP คนนี้ และเค้าประสานกับเมโลแมนช่วยให้ทีมเข้ารอบเพลย์ออฟ แต่ก็ไปพ่ายให้กับสเปอร์



แม้ว่าแฟนๆจะให้การต้อนรับก็ตาม แต่ด้วยความที่เอไอเป็นผู้เล่นที่เอาจริงและเต็มร้อยทุกๆเกมส์ดังนั้นการมีอารมณ์เข้ามามันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ หลายครั้ง หลายจังหวะที่เค้าไม่ได้ฟาล์ว และในปี 2007 เค้าได้ไปวิจารณ์การตัดสินของสตีฟ จาวี่ กรรมการของลีคและโดนปรับ ซึ่งเอไอพยายามตั้งแง่ว่า “ผมว่าผมได้ฟาล์วในเพลย์นั้นและหลายๆเพลย์ ผมโดนเล่นงาน แต่มันไม่มีนกหวีดเลย มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมและเขา(สตีฟ จาวี่) ตั้งแต่ผมเข้าในลีคแล้วล่ะ ผมพยายามทำให้มันเป็นเกมส์ที่ดีนะ แต่เค้าก็พยายามทำให้ผมดูไม่ดีอีกนั่นแหละ” แต่มันก็มีเค้าเช่นกัน เพราะอดีตผู้ตัดสินจอมฉาว ทิม โดนัคฮี ได้ออกมาแฉว่ามีความเกลียดชังกันอย่างยาวนานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วระหว่างไอเวอร์สันและสตีฟ แจวี่ แม้ว่าการเล่นกับเดนเวอร์จะเป็นคู่คอมโบที่สุดยอดก็ตามหรือในปีที่ 2 กับนักเก็ตส์เอไอทำเฉลี่ย 26.4 แต้ม กับ 7.1 แอสซิสต์ก็ตาม แต่เดนเวอร์ก็ไปไม่เกินเพลย์ออฟรอบแรก นั่นทำให้ทีมเริ่มคิดถึงการเทรดเค้าไปให้กับทีมอื่น และแน่นอนข่าวคราวหลายต่อหลายข่าวก็ประโคมมา



หลังจากที่เล่นไปได้เพียงแค่สามเกมส์กับเดนเวอร์ในปี 2008 ไอเวอร์สันก็ถูกเทรดไปที่ดีทรอยท์ พิสตัน ไอเวอร์สันได้สวมเสื้อหมายเลข 1 แทนเสื้อหมายเลข 3 ของเค้า ซึ่งตอนนั้นหมายเลข 3 ร๊อดนี่ สตั๊คกี้ได้สวมอยู่แล้ว ลีออน โรส เอเย่นต์ของไอเวอร์สันในขณะนั้นได้บอกว่า “เค้าตื่นเต้นมากๆกับการที่จะได้มาอยู่พิสตัน” ไอเวอร์สันเล่นให้กับพิสตันไป 54 เกมส์และทำไป 17.4 แต้มต่อเกมส์ และในเดือนเมษายนประธานพิสตัน โจ ดูมาร์ไอ้ออกมาบอกว่าไอเวอร์สันจะไม่เล่นในเกมส์ที่เหลือของฤดูกาลแล้ว เพราะบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเจ็บหลัง ข้อเท้า หรือไหล่ และนั่นทำให้โค้ชไมเคิล เคอรี่จับเอไอไปเป็นตัวสำรองถึง 4 นัด นั่นทำให้เคารู้สึกไม่ชอบและบวกกับอาการบาดเจ็บที่กำเริบทำให้ฟอร์มนั้นตกลงไปด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่