ช่วงนี้มีกระทู้ที่เป็นประเด็นกันอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง
เรื่องที่ฮอตฮิตติดลม ขยันตั้งขยันโต้ ก็จะมีเรื่องวัดพระธรรมกาย แต่มีเรื่องที่เถียงกันไม่รู้จบสิ้น ต่างฝ่ายต่างมีเหตุมีผล
ยกกันขึ้นมาถกกัน อ้างอิงตั้งแต่หลักฐานชั้นต้นคือพระไตรปิฎก จนถึงอ้างครูบาอาจารย์ที่เป็นพระในสมัยปัจจุบันก็มี
เรื่อง นิพพานเป็น "อัตตา" หรือ "อนัตตา"
เพื่อเป็นความรู้สำหรับท่านที่ยังไม่รู้ และสำหรับท่านที่รู้แล้ว ก็จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นแบบไม่ลืมง่าย
จะเข้าใจความหมายของอนัตตา ก็ควรเข้าใจความหมายของอัตตาก่อน เพราะจะอยู่ในมุมกลับกันเสมอ
ความหมายของอัตตา แยกออกเป็น ๔ ความหมาย ตามที่เขารวมๆไว้ ได้แก่
จิตฺเต กาเย สภาเว จ โส อตฺตา ปรมตฺตนิ
อัตตะ มีอรรถ(ความหมาย) คือ จิต กาย สภาวะ และ ปรมาตมัน
อย่างแรก หมายถึง จิต ตามบาลีที่ว่า อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา บัณฑิตย่อมฝึกตน คำว่าตนในที่นี้หมายถึง จิต
ได้แก่การฝึกจิตนั่นเอง
อย่างที่สอง หมายถึง กาย ตามบาลีว่า นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ความรักเสมอด้วยตนไม่มี คำว่าตนในที่นี้หมายถึงกาย
ร่างกายของตนนั่นเอง สำนวนว่า รักตัวกลัวตาย ก็อันนี้เอง
อย่างที่สาม หมายถึง สภาวะ ตามบาลีว่า อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึงอยู่
คำว่าตนในที่นี้หมายถึงกุศลธรรม หรือสภาวะที่เป็นกุศล ในประโยคนี้ ตรัสหมายให้เอาความดีเป็นที่พึ่งนั่นเอง
อย่าสุดท้าย หมายถึง ปรมาตมัน ตามแบบลัทธิภายนอก ตามแบบเดียรถีย์ หมายถึงการมีตัวตนที่ยั่งยืน มั่นคง
ไม่มีการแตกดับไป ตามบาลีที่ว่า
อยํ อตฺตา นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม อัตตานี้ เที่ยง ยั่งยืน ไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
อัตตาตามความหมายสามอย่างแรก ดูจะไม่เป็นปัญหา เป็นการเข้าใจง่าย ตีความง่าย ส่วนที่เป็นปัญหาและมีปัญหา
อยู่เสมอ คือ อัตตาข้อสุดท้าย
อัตตาข้อสุดท้าย มีมาก่อนพระพุทธศาสนาเกิด และก็ยังมีล่วงเลยยาวนานมาจนทุกวันนี้ เป็นอัตตาที่มีความหมายเป็นปฏิปักษ์
ต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้ เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนปฏิเสธหลักการของอัตตาที่มีความหมายตามข้อสุดท้าย
มาตลอดพระชนม์ชีพ
สมัยนี้ แม้แต่ภิกษุในศาสนาเอง ก็ยังกล่าวสอนถึงอัตตาในทางที่ผิด เช่นมีการสอนในรูปแบบวิญญาณของผู้ตายที่เป็นตัวเป็นตน
เป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งการกล่าวสอนเช่นนี้ ย่อมตกไปสู่ความเห็นของอัตตาในอย่างที่สี่ แบบอย่างที่ลัทธิภายนอกบอกสอนกัน
การถกประเด็นของนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตา ก็คงถกเถียงกันในประเด็นที่สี่เช่นกัน
ความหมายของ " อตฺตา "
เรื่องที่ฮอตฮิตติดลม ขยันตั้งขยันโต้ ก็จะมีเรื่องวัดพระธรรมกาย แต่มีเรื่องที่เถียงกันไม่รู้จบสิ้น ต่างฝ่ายต่างมีเหตุมีผล
ยกกันขึ้นมาถกกัน อ้างอิงตั้งแต่หลักฐานชั้นต้นคือพระไตรปิฎก จนถึงอ้างครูบาอาจารย์ที่เป็นพระในสมัยปัจจุบันก็มี
เรื่อง นิพพานเป็น "อัตตา" หรือ "อนัตตา"
เพื่อเป็นความรู้สำหรับท่านที่ยังไม่รู้ และสำหรับท่านที่รู้แล้ว ก็จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นแบบไม่ลืมง่าย
จะเข้าใจความหมายของอนัตตา ก็ควรเข้าใจความหมายของอัตตาก่อน เพราะจะอยู่ในมุมกลับกันเสมอ
ความหมายของอัตตา แยกออกเป็น ๔ ความหมาย ตามที่เขารวมๆไว้ ได้แก่
จิตฺเต กาเย สภาเว จ โส อตฺตา ปรมตฺตนิ
อัตตะ มีอรรถ(ความหมาย) คือ จิต กาย สภาวะ และ ปรมาตมัน
อย่างแรก หมายถึง จิต ตามบาลีที่ว่า อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา บัณฑิตย่อมฝึกตน คำว่าตนในที่นี้หมายถึง จิต
ได้แก่การฝึกจิตนั่นเอง
อย่างที่สอง หมายถึง กาย ตามบาลีว่า นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ความรักเสมอด้วยตนไม่มี คำว่าตนในที่นี้หมายถึงกาย
ร่างกายของตนนั่นเอง สำนวนว่า รักตัวกลัวตาย ก็อันนี้เอง
อย่างที่สาม หมายถึง สภาวะ ตามบาลีว่า อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึงอยู่
คำว่าตนในที่นี้หมายถึงกุศลธรรม หรือสภาวะที่เป็นกุศล ในประโยคนี้ ตรัสหมายให้เอาความดีเป็นที่พึ่งนั่นเอง
อย่าสุดท้าย หมายถึง ปรมาตมัน ตามแบบลัทธิภายนอก ตามแบบเดียรถีย์ หมายถึงการมีตัวตนที่ยั่งยืน มั่นคง
ไม่มีการแตกดับไป ตามบาลีที่ว่า
อยํ อตฺตา นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม อัตตานี้ เที่ยง ยั่งยืน ไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
อัตตาตามความหมายสามอย่างแรก ดูจะไม่เป็นปัญหา เป็นการเข้าใจง่าย ตีความง่าย ส่วนที่เป็นปัญหาและมีปัญหา
อยู่เสมอ คือ อัตตาข้อสุดท้าย
อัตตาข้อสุดท้าย มีมาก่อนพระพุทธศาสนาเกิด และก็ยังมีล่วงเลยยาวนานมาจนทุกวันนี้ เป็นอัตตาที่มีความหมายเป็นปฏิปักษ์
ต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้ เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนปฏิเสธหลักการของอัตตาที่มีความหมายตามข้อสุดท้าย
มาตลอดพระชนม์ชีพ
สมัยนี้ แม้แต่ภิกษุในศาสนาเอง ก็ยังกล่าวสอนถึงอัตตาในทางที่ผิด เช่นมีการสอนในรูปแบบวิญญาณของผู้ตายที่เป็นตัวเป็นตน
เป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งการกล่าวสอนเช่นนี้ ย่อมตกไปสู่ความเห็นของอัตตาในอย่างที่สี่ แบบอย่างที่ลัทธิภายนอกบอกสอนกัน
การถกประเด็นของนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตา ก็คงถกเถียงกันในประเด็นที่สี่เช่นกัน