แบ่งปันเรื่องราว ชีวิตหลังติดเชื้อ HIV จากเรื่องจริงของผมเอง .....

สวัสดีครับทุกคน นี่เป็นกระทู้แรกของผม ความจริงไม่เคยเขียนอะไรยาวๆขนาดนี้มาก่อน แต่หลังจากที่ผมได้ก้าวผ่านจุดแย่ๆของชีวิตมาได้ ผมก็รู้สึกว่าอยากจะบอกเล่าเรื่องราวของผมเผื่อว่าจะเป็นข้อคิด ข้อเตือนใจ หรือมุมมองใหม่ๆให้คนที่ไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกันกับผม หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ผมอยากให้ทุกคนได้เข้าใจเรื่อง HIV และคนที่ติดเชื้อนี้มากขึ้น ว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว สิ่งที่พวกคุณคิดว่าคงไม่เกิดกับตัวเอง อาจจะเกิดขึ้นมาวันใดวันหนึ่งก็ได้ เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาในชีวิตคุณมีใครที่มีเชื้อ HIV บ้าง แม้แต่คนที่คุณรักและไว้ใจก็ตาม เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทจะได้ไม่พลาดเหมือนผม และสำหรับคนที่พลาดไปแล้ว ก็อยากจะให้มองโลกมองชีวิตในแง่บวก เพื่อจะได้ก้าวต่อไปได้ เหมือนผม
อาจจะยาวหน่อยนะครับ เพิ่งเขียนครั้งแรก นี่ก็นั่งเขียนๆลบๆอยู่นาน ถ้าเรียบเรียงไม่ถูกขออภัยด้วยนะครับ แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับผมเองครับ



ตอนนี้ผมอายุ 34 ปีครับ ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เริ่มรู้ตัวว่าติดเชื้อมาตั้งแต่ปลายปี 2556 ผมไม่เคยตรวจเลือดเลย จนกระทั่งต้องไปตรวจเลือดเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการสมัครงาน พอรู้ว่าติดเชื้อ HIV ตอนแรกช็อคมาก ยังไม่ได้บอกใครทั้งนั้น ทำอะไรไม่ถูก หมอก็บอกให้คำแนะนำการดูแลตัวเอง บอกว่ายังไม่อันตราย ที่เราเป็นยังไม่ใช่ AIDS นะ ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ปกติ แต่ตอนนั้นไม่มีสติจะรับรู้อะไรทั้งนั้น คิดแต่ว่า เราติดเชื้อ HIV จะทำยังไงดี เราจะต้องกลายเป็นเอดส์ใช่มั้ย ต่อไปจะเป็นยังไง งานก็เพิ่งออกจากที่เก่า จะยื่นสมัครที่ใหม่เค้าคงไม่รับแล้ว เพราะเค้าขอผลเลือด HIV ขนาดนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าเค้าไม่รับผู้ติดเชื้อ HIV แน่นอน คิดแต่เรื่องแย่ๆ ไม่ได้เอาคำแนะนำอะไรจากหมอมาคิดเลย รู้สึกแค่ว่า เค้าแค่ปลอบใจเราเท่านั้นเอง

พอกลับบ้านมาก็คิดแต่เรื่องนี้วนไปวนมา เลื่อนลอยอยู่ประมาณ 3-4 วัน แล้วก็เริ่มไล่คิดว่าไปติดมาได้ยังไง ทั้งที่ผมก็ไม่เคยไปมีอะไรมั่วๆเลย ผมเคยมีแฟนมาแค่ 2 คนเท่านั้น

คนแรกคบมาตั้งแต่เรียน ปี 2 คบกันได้ประมาณ 7 ปีกว่าๆ ก็เลิกกันไปเพราะเราทำงานที่เวลาไม่ตรงกันอะไรก็เริ่มไม่เข้าใจกัน เราให้ความสุขเอาใจกันไม่ได้เหมือนเดิม ก็คุยกันปรับความเข้าใจกันแล้วเราก็ตกลงเลิกกันไปแบบดีๆ ไม่ได้มีเรื่องนอกใจกัน หลังจากนั้นผมก็ตั้งใจทำงานอย่างเดียวไม่ได้คบกับใครอีกเลยเกือบ 3 ปี แล้วก็มีแฟนคนที่ 2 คบกันได้ประมาณ 2 ปีก็เลิกกันเพราะเค้ายังค่อนข้างเด็ก ระหว่างที่คบกันทะเลาะกันบ่อยมาก เค้ายังเป็นนักศึกษาอยู่ไลฟ์สไตล์ของเราต่างกันพอสมควร หลายครั้งที่เค้าอยากให้ผมเอาใจแต่ผมก็ทำได้ไม่ดีพอ ผมให้ความสุขเค้าได้ไม่เต็มที่ ก็เลยต้องเลิกลากันไป หลังจากนั้นก็เหมือนเดิมครับ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพราะเริ่มจะเข็ดและเหนื่อยกับการมีแฟนแล้ว ส่วนน้องเค้าก็ใช้ชีวิตปกติต่อไป ดูเค้าก็แฮปปี้ดีซึ่งผมก็ยินดีด้วย

แต่แล้วประมาณเดือนนึงหลังจากนั้นอยู่ดีๆก็มีเหตุที่ไม่ได้ตั้งตัวเกิดขึ้นอย่างแรก นั่นคือ บริษัทที่ผมทำงานอยู่เกิดขาดทุนจนต้องปลดพนักงานชุดใหญ่ และ ผมก็เป็น 1 ในนั้น   ....

จากที่ผมเคยเป็นคนบ้างาน พอตกงานก็เริ่มฟุ้งซ่าน แฟนก็เพิ่งเลิกจากที่ไม่คิดมากพอตอนนี้คือเก็บทุกอย่างมาคิด ว่าทำไมต้องสูญเสียทุกอย่างที่ผมรักไปพร้อมๆกัน พอคิดมากก็เลยต้องรีบหาทางหยุดคิด ผมเลยออกไปสมัครงานสักเดือนนึงมั้งก็มีบริษัทที่ผมสมัครไว้เรียกตัวไปสัมภาษณ์และผมก็ผ่านขั้นตอนนั้นมาได้อย่างราบรื่น ผมดีใจมากเพราะอยากทำงานที่บริษัทนี้อยู่แล้วแถมยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านอีกด้วย จากนั้นเค้าก็ยื่นเอกสารชี้แจงเบื้องต้นมาให้ว่าเราต้องเอาใบตรวจสุขภาพมาให้เค้าอีกครั้งนึงโดยในสิ่งที่ให้ตรวจเป็นพิเศษนอกจากปอดแล้วก็คือ ผลเลือดว่าเรามีเชื้อ HIV รึป่าว ผมก็ตกลงและกลับบ้านมาด้วยความดีใจคืนนั้นผมพักผ่อนเต็มที่เตรียมไปตรวจสุขภาพในวันถัดไป

เช้าวันต่อมาผมไปโรงพยาบาล ตรวจร่างกายทุกอย่างตามที่บริษัทแจ้ง ตอนรับผลตรวจพยาบาลบอกให้นั่งรอในห้อง จากนั้นเค้าก็เดินมาคุยเรื่องสุขภาพทั่วไปแล้วก็พูดประมาณว่ารู้มั้ยว่า HIV เนี่ยไม่ได้น่ากลัวนะ ไม่ได้ติดกันง่ายๆ สามารถรักษาไม่ให้เชื้อทำลายภูมิคุ้มกันได้ บลาๆๆ ผมก็เริ่มตะหงิดๆแล้ว  ทำไมอยู่ดีๆพูดเรื่องนี้

แล้วหมอก็บอกข่าวร้ายกับผมจริงๆ ผมติดเชื้อ HIV ….

ก็อย่างที่บอกไปตอนแรกแหละครับ ผมไม่ได้สนใจอะไรที่หมอพูดหลังจากนั้นอีกแล้ว เหมือนโลกกำลังเหวี่ยงรู้สึกหูอื้อไปหมด เหมือนเว่อนะแต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ กลับมาถึงบ้านผมก็เก็บตัวอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน พ่อแม่ก็ถามว่าเป็นอะไร ไม่ลงมากินข้าวหรอ ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกเพลียๆอยากนอน เดี๋ยวลงไปกินเองหลังจากนั้นผมก็กลายเป็นคนซึมเศร้าหงุดหงิดง่าย ไม่ค่อยอยากคุยกับใครอยู่พักใหญ่ ผมไม่ได้บอกใครเลยนะแม้แต่คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ผมกลัวเค้าจะรับไม่ได้ กลัวเค้าจะเป็นห่วง กลัวทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง กลัวผมจะต้องเหลือตัวคนเดียว และที่สำคัญคือส่วนตัวผมคิดว่า ถึงบอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเอง คิด คิด คิด ว่าจะทำยังไงดี

ตอนนั้นคนที่ผมคิดถึงที่สุดคือ แฟนเก่าทั้ง 2 คน ผมอยากรู้ว่าผมติดมาจากพวกเค้าคนใดคนหนึ่งรึป่าว เพราะผมมั่นใจในตัวเองว่าไม่เคยมีพฤติกรรมเสี่ยงอย่างอื่นจริงๆ แฟนคนแรก เราคบกันมาตั้ง 7 ปี นานพอที่ผมจะมั่นใจได้ว่าเค้าไม่มีทางไปเอาเชื้อมาติดที่ผมแน่นอน ทั้งการใช้ชีวิตและทุกอย่างที่เค้าเป็น ทำให้ผมมั่นใจในตัวเค้า อีกอย่างนึงคือเค้าไปบริจาคเลือดมาหลายครั้งแล้ว จึงไม่น่าจะมีเชื้อเพราะถ้ามีคงบริจาคไม่ได้ใช่มั้ย ทุกวันนี้ตามชีวิตเค้าจากในเฟสบ้าง ก็ดูมีความสุขราบรื่นดีกับแฟนคนปัจจุบัน

ผมเลยติดต่อไปที่แฟนคนที่ 2 อันที่จริงผมก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อ 100% ว่าจะติดมาจากน้องเค้า แต่เพราะว่านึกไม่ออกแล้วจริงๆว่าจะติดมาจากไหน ผมลองทักแชทน้องเค้าไปแล้วขอนัดมาเจอบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาหน่อย วันที่เจอกัน ผมก็เปิดประเด็น ว่า

“เรามีอะไรปิดบังพี่รึป่าว ระหว่างที่คบกันเรามีความลับอะไรกับพี่มั้ย” น้องเค้าก็อึ้งและถามว่า “พี่มีอะไรหรอ พี่เป็นอะไร?”
ผมบอกว่า “พี่เพิ่งไปตรวจเลือดมา หมอบอกพี่ติดเชื้อ HIV” หลังจากนั้นน้องเค้าก็อึ้งแล้วบอกว่า
เค้าขอโทษ เค้าก็เพิ่งรู้หลังจากที่เลิกกับผมเหมือนกัน แต่เค้าได้รับเชื้อมาเกือบปีแล้วแค่ไม่ออกอาการอะไร แต่เค้าก็ไม่ได้บอกผม คิดว่าเลิกกันไปแล้วก็ไม่อยากติดต่อกลัวผมต่อว่าเค้าด้วย เค้าบอกว่าเค้าก็เริ่มกินยาต้านแล้ว

เราก็นั่งคุยกันสักพักแล้วก็แยกย้ายไป เอาจริงๆคือตอนนั้นผมไม่รู้จะพูดอะไรด้วยแหละ อึ้งบวกกับงง ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมติดมาจากแฟนคนที่ 2 แต่แบบนี้หมายความว่าไง หมายความว่าตอนคบกันน้องเค้าไม่ซื่อสัตย์กับผมหรอ? เค้านอกใจผมใช่มั้ยถึงได้ไปเอาเชื้อมาให้ผมด้วย เราคบกันมา 2 ปี แต่เค้าติดเชื้อมาเป็นปีแล้ว คือระหว่างนี้เค้าไปมีอะไรกับคนอื่นสินะ แบบนี้ก็แปลว่าเค้าก็เอาเชื้อไปให้คนอื่นด้วยรึป่าว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วที่สำคัญเค้ารู้แล้วแต่ก็ไม่ยอมบอกผม เค้าไม่ห่วงผมเลยใช่มั้ย ว่าผมต้องติดไปด้วย เค้ากลัวแต่ว่าผมจะโกรธจะด่าเค้าหรอ?

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้ผมจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าผมจะถูกหักหลังโดยคนที่ผม(เคย)รักและไว้ใจ
แต่ตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมต้องจัดการกับปัจจุบันและอนาคตของตัวเองเท่านั้น

หลังจากที่ผมเครียดแบบจิตตกมานาน น่าจะซักสองเดือนได้ ผมก็เริ่มมีความคิดใหม่ ผมทิ้งความโกรธความกลัวทุกอย่างแล้วก็เริ่มมาหาข้อมูลเกี่ยวกับไอ้เชื้อ HIV เพราะผมคิดว่า ผมต้องอยู่กับมันไปจนตายนั่นแหละ ผมจะต้องทำตัวยังไง จะสู้มันได้มั้ย มีทางไหนที่จะเอาชนะมันรึป่าว ….



ผมนั่งเซิร์ชในเน็ตดู เจอข้อมูลเรื่องนี้เยอะมาก และก็เพิ่งรู้ว่ามีอีกหลายคนมากๆที่เป็นแบบผม คือได้รับเชื้อมาแบบไม่รู้ตัว หลายคนก็ยังเข้าใจผิด หลายคนรังเกียจ หลายคนเข้าใจ หลายคนเปิดใจยอมรับผู้ติดเชื้อ ผมเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยคิด ถ้าผมกินยาต้านไวรัสแบบที่หมอเคยบอกก็จะสามารถใช้ชีวิตปกติและอยู่ได้อีกนานจนแก่ตายได้ แต่หลายคนไม่ได้กินยาต้านก็อยู่ได้ตั้งเป็น 10 ปีถ้าสุขภาพแข็งแรง (แต่ยังไงแล้ว กินยาก็ดีกว่าครับ) ที่หลายคนไม่กินยาเพราะอาจจะยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น ต้องกินยาเวลาเดิมทุกวันตลอดชีวิตไม่งั้นจะดื้อยา บางคนกลัวอาการข้างเคียง บางคนท้อไม่อยากสู้ต่อ และบางคนไม่รู้ว่ายาต้านนี้ไม่เสียตัง ที่แย่ที่สุดคือ บางคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ HIV ด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยตรวจเลือดเลย เคสนี้จะแย่หน่อยตรงที่ไม่ได้ดูแลตัวเองและอาจจะไปแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อแบบไม่ตั้งใจ

ผมตัดสินใจกลับไปที่โรงพยาบาลเดิมที่เคยไปตรวจ เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังกับคุณหมอ ผมถามคุณหมอเรื่องการติดต่อของเชื้อ HIV อย่างละเอียด จะได้ไม่พลาดเอาไปติดคนอื่น เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บอกใคร

การกลับมาหาหมอครั้งนี้ทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปเยอะ จากที่เคยคิดว่า ติดเชื้อ HIV = เป็นเอดส์ ซึ่งความจริง HIV เป็นแค่ไวรัสที่จะมาทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกายเรา ถ้าเราอ่อนแอ แพ้มัน ก็จะโดนโรคแทรกซ้อนทำให้เราเป็นเอดส์ และเอดส์รักษาหายได้ เมื่อหายก็จะกลายเป็นแค่ผู้ติดเชื้อ HIV ธรรมดา และถ้ากินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ก็จะสามารถยับยั้งไวรัสให้เหลือน้อยจนตรวจไม่พบได้ พอฟังแบบนี้แล้วความกลัวมันหายไปหมดเลย เริ่มเข้าใจอะไรๆมากขึ้น นี่มันเหมือนกับว่าที่เราเคยรู้มามันผิดหมดเลย เราถูกสอนให้กลัวอย่างเดียวแต่ไม่เข้าใจมันเลย ที่สำคัญ มันไม่ได้ติดกันง่ายๆอย่างที่หลายคนกลัว ผมว่าเอาเข้าจริงๆแล้วติดยากกว่าไข้หวัดอีกนะ อันนั้นแค่หายใจรดกันก็ติดได้แล้ว แต่ HIV ต่อให้คุณไปพูดคุย โอบกอด กินข้าวด้วยกัน นอนห้องเดียวกัน หรือ จูบกัน ก็ไม่ติดหรอกครับ (ถ้าไม่มีแผลเหวอะหวะในปากนะ) ตอนนี้หลายคนก็ยังไม่เข้าใจนะ เห็นกระแสเท่าที่อ่านเจอก็ยังรังเกียจอยู่ คงติดภาพว่าน่าเกลียดน่ากลัวมาจากละครละมั้ง (นี่แหละ เหตุผลที่ผมไม่อยากบอกใคร) แล้วผมก็คุยกับหมอเรื่องกินยาต้านไวรัส เค้าก็ชี้แจงเรื่องการกินยา ต้องกินให้สม่ำเสมอมีวินัยแล้วก็ตรงต่อเวลาทุกวัน ถ้ากลัวลืมก็ต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้เลย ถ้าเรากินไม่ตรงเวลากินบ้างไม่กินบ้างจะทำให้ดื้อยาได้ อาจจะมีปัญหาเวลากินยานะถ้าเราไม่บอกคนอื่น เค้าจะถามมั้ยว่ากินยาอะไรทุกวัน เราจะกดดันรึป่าว แต่เรื่องนี้ผมไม่ห่วงนะ ผมมีวิธีบอกในแบบของผมครับ อีกอย่างคืออาจจะมีอาการแพ้ยาด้วย ถ้ารู้สึกไม่โอเคก็ให้มาปรึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนสูตรยาได้เลย (ฟังดูแล้วมันง่ายจัง แต่ทำไมหลายคนเลือกที่จะไม่กินยาแล้วปล่อยตัวเองติดโรคแทรกซ้อน บางรายถึงกับปล่อยให้ตัวเองอยู่กับเชื้อจนเสียชีวิต ผมก็ยังไม่เข้าใจ)

ผมกลับบ้านมาแบบสบายใจมากขึ้น เหมือนเริ่มชีวิตใหม่ ชีวิตที่เข้าใจอะไรๆมากขึ้น ผมดูแลสุขภาพมากขึ้น มากกว่าตอนที่ยังไม่เป็นอะไรอีก อาหารการกินทุกอย่างต้องสะอาดและมีประโยชน์ ออกกำลังกายทุกวัน กินยาตรงเวลาทุกวัน ทำทุกอย่างไม่ให้ไอ้ HIV มันชนะผม ผมกลับมามีชีวิตปกติ พูดคุยกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับที่บ้าน ไปเจอเพื่อนฝูงเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่บอกใครเหมือนเดิมเช่นกัน ผมเริ่มหางานอีกครั้ง คราวนี้ผมได้งานใหม่ที่ไม่ต้องตรวจเลือด (ซึ่งงานไหนๆก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจเลือดนะผมว่า)

............................ ขอเล่าต่อที่ช่องความคิดเห็นนะครับ ............................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่