“เครื่องพิมพ์สามมิติ” ถ้าคนไทยนำเข้ามา สามารถ เอาไปประดิษฐเป็นอาวุธ สงครามได้ไหม

รัฐ ประกาศคุมการนำเข้าเครื่องพิมพ์ 3D หวั่นนำมาใช้ไม่เหมาะสม เช่นทำอาวุธปืน

เว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวง เรื่อง กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฎิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2559 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 ซึ่งประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 28 มิถุนายน 2559 โดยตามประกาศดังกล่าว ให้ผู้นำเข้าเครื่องพิมพ์ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเครื่องพิมพ์ และให้แจ้งเป้าหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ หรือผู้แทนรับทราบก่อนการนำเข้า และจะต้องนำใบแจ้งอนุญาตดังกล่าวไปแสดงยังกรมศุลกากร นอกจากนี้ยังต้องรายละเอียดการนำเข้า การครอบครอง การจำหน่ายจ่ายโอน การให้เช่า ต่ออธิบดีฯหรือผู้แทนอีกด้วย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 59 คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้ อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติ (3D printer) เป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตาม “มาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร” กระทรวงพาณิชย์ให้เหตุผลในการเสนอร่างประกาศดังกล่าวว่า เพราะเครื่องพิมพ์สามมิติสามารถนำไปใช้ได้ทั้งทางบวกและทางลบ โดยในทางบวกสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ วิศวกรรมและการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในทางลบมีผู้นำไปผลิตวัตถุที่ผิดกฎหมายและวัตถุอันตราย เช่น อาวุธปืน ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

โดยก่อนหน้านี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติ (29 ก.ค. 57) มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาเพิ่มเติมถึงความจำเป็นเหมาะสมในการออกประกาศควบคุมการนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องพิมพ์สามมิติ เพื่อป้องกันการนำมาใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ กำหนดคำนิยามของ “เครื่องพิมพ์สามมิติ” และกำหนดให้เครื่องพิมพ์สามมิติเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ดังนี้

1. ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเครื่องพิมพ์สามมิติไว้กับกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่กรมการค้าต่างประเทศมอบหมาย

2. จดแจ้งการนำเข้าก่อนวันที่นำเข้าก่อนวันที่นำเข้าเครื่องพิมพ์สามมิติไว้กับกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่กรมการค้าต่างประเทศมอบหมาย และนำแบบรับจดแจ้งไปแสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร

3. รายงานการนำเข้า การครอบครอง และการจำหน่ายจ่ายโอนเครื่องพิมพ์สามมิติต่อกรมการค้าต่างประเทศ
http://www.matichon.co.th/news/166095
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
คนของรัฐโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่มีสมองมากพอจะดูแลจัดการ ไม่มีปัญญาติดตามปัญหา ขี้เกียจสันหลังยาว วิธีแก้แบบมักง่ายที่สุดเลยก็คือห้ามมันไปเลย

สุดท้ายก็เลยไม่ต้องทำอะไร ผู้คนไม่ต้องคิด เข้าไม่ถึงความรู้ใหม่ ๆ อยากคิด อยากทำอะไรก็ติดขัดไปเสียทุกอย่าง กฏระเบียบกลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินของเจ้าหน้าที่ กลายเป็นเครื่องมือกลั่นแกลงฝ่ายตรงข้าม

ผู้คนได้ประโยชน์อะไรมากขึ้นไหมจากห้าม จากกฏระเบียบที่หยุมหยิมที่มีอยู่จนล้นกระดาน ก็เปล่า สุดท้ายคนในสังคมก็จะกลายเป็นคนที่ทำเป็นแต่ขอ กับ รอโชคลาภวาสนา

พวกสังคมที่มียีนส์ด้อยพัฒนาเยอะ ๆ มันมักจะอยู่กันเช่นนี้แล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่